บทที่ 347 ทุกคนรวมใจเป็นหนึ่งเดียว
เมื่อเซี่ยเซวียนมาถึงประตูอู่เหมิน ก็เห็นว่าที่ประตูวังมีผู้ตรวจการคุกเข่าอยู่ที่พื้นรวมถึงพวกเสิ่นฉางซาน คิ้วของเขาก็กระตุกทันที แม้แต่หนังตาก็ไม่สามารถควบคุมได้
ผู้คนมารวมตัวกันที่หน้าประตูวังมากขึ้นเรื่อย ๆ ความร้ายแรงของเรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่ราชวงศ์จะปกปิดได้อีกต่อไป
สองวันมานี้ฮ่องเต้เซี่ยเจินแม้แต่กำยานก็ใช้ไม่ได้ผลอีก เขากำลังให้เจียงเช่อช่วยรักษาให้เขาอยู่ แต่เมื่อนึกถึงหายนะที่เซี่ยเซวียนก่อขึ้น ดวงตาทั้งสองข้างของฮ่องเต้เซี่ยเจินก็แดงก่ำและอยากจะฆ่าเขาให้ตายในดาบเดียว
เจียงเต๋อไม่อยู่ บรรดาคนในวังก็ไม่มีใครกล้าเข้าไป
เจียงเช่อตาบอดย่อมมองไม่เห็นความผิดปกติบนใบหน้าของฮ่องเต้เซี่ยเจินที่เกิดจากการกินยาอายุวัฒนะเกินขนาด
โชคดีที่ไม่นานเจียงเต๋อก็กลับมา เต๋อเฟยคุกเข่าอยู่ด้านนอก เมื่อเห็นเซี่ยเซวียนก็ขยิบตาให้เขาไม่หยุด แต่ตอนนี้เซี่ยเซวียนไหนเลยจะมีอารมณ์ไปสนใจแม่ตัวเอง เขากำลังคิดหาวิธีปัดเรื่องนี้ให้พ้นตัวอยู่
“เข้ามา!” เสียงตะคอกด้วยความโมโหของฮ่องเต้เซี่ยเจินดังออกมาจากตำหนัก เซี่ยเซวียนจึงก้มหน้าเดินเข้าไป
อย่างไรเสียเต๋อเฟยก็ไม่ใช่สาว ๆ แล้ว คุกเข่าบนพื้นเย็น ๆ ด้านนอก ร่างกายจึงทนไม่ไหวนานแล้ว เมื่อได้ยินว่าภายในตำหนักเงียบเป็นอย่างมาก ในใจก็หวังว่าเซี่ยเซวียนจะรอดจากหายนะครั้งนี้ไปได้
ก่อนจะเห็นเจียงเต๋อออกมาอีกครั้งและเรียกผู้คนมากมายเข้าไป ในใจก็เริ่มสั่นระรัว
หลังจากรอมานาน โคมไฟในวังที่อยู่ใต้ชายคาก็ถูกลมพัดจนแกว่งไกว กระทั่งมีเสียงถ้วยแตกดังมาจากภายในตำหนัก จากนั้นก็ได้ยินว่ามีคนให้ตามหมอหลวงมาอย่างเร่งด่วน โดยบอกว่าฮ่องเต้เซี่ยเจินทรงพระพิโรธอย่างมากจนกระอักพระโลหิตออกมา
เต๋อเฟยตื่นตระหนกจนล้มลงไปกองกับพื้น เป็นไปได้อย่างไร? เป็นไปได้อย่างไร!
ฝ่าบาททรงมีพระวรกายที่แข็งแรงดี เหตุใดถึงกระอักเลือดได้?
หากผลักความผิดนี้ให้เซี่ยเซวียนนั่นก็เท่ากับว่าเขาเป็นคนอกตัญญู! และคงไม่มีโอกาสเข้าไปอยู่ตำหนักบูรพาได้อีกแล้ว
…
ตำหนักคุนหนิง
ซู่ซินเข้ามาด้านใน ก่อนจะกระซิบกระซาบขึ้นมา “พระนางเพคะ ฝ่าบาททรงกริ้วอย่างมากจนกระอักเลือดออกมาเพคะ”
หลี่ฮองเฮาลืมตาขึ้น ในมือยังนับลูกประคำอยู่ “เพื่อให้เขาหลับสบายทุกวันนักต้มตุ๋นนั่นจึงเพิ่มปริมาณยาเป็นสองเท่า หากให้ยาแรงกว่านี้ก็เพียงพอที่จะฆ่าเขาได้แล้ว ใช่เพราะความโมโหที่ใดกัน ไม่แน่การกระอักเลือดออกมาเช่นนี้ อาจจะช่วยขับพิษในร่างกายได้อีกทางหนึ่ง”
ซู่ซินมีสีหน้าเรียบนิ่ง อย่างไรเสียฮ่องเต้เซี่ยเจินก็ล้วนทำตัวเอง “ไม่รู้ว่าพระราชนัดดาอยู่หลูโจวจะทรงปลอดภัยดีหรือไม่นะเพคะ”
“ในเมื่อไท่ซ่างหวงตัดสินใจเช่นนั้น พระองค์ต้องปกป้องอาฉือได้อย่างแน่นอน ส่วนการที่ฮ่องเต้เซี่ยเจินกินยาที่ไม่รู้ที่มาที่ไปพวกนั้น พวกเราก็แค่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นก็พอ”
“เต๋อเฟยยังคุกเข่าอยู่ พวกเราต้องไปแสดงความเป็นห่วงหรือไม่เพคะ?”
“คอยสังเกตซูเฟยเอาไว้ เรื่องอื่นไม่ต้องสนใจ”
เซี่ยเซวียนรนหาที่ตายเอง นางเพียงแค่นั่งบนภูดูเสือกัดกันก็พอแล้ว สิ่งเดียวที่นางทำได้ก็คือขอพรให้สวรรค์ปกป้องอาฉือของนาง
หมอหลวงเดินเข้า ๆ ออก ๆ ตำหนักฉินเจิ้ง เหล่าเจ้าหน้าที่ต่างคุกเข่าอยู่บนพื้น เต๋อเฟยและองค์ชายสามสองคนแม่ลูกก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว สิ่งเดียวที่พวกเขาคาดหวังในตอนนี้ก็คือ ขออย่าให้เขื่อนที่หลูโจวพังลงมาก็พอ เช่นนี้ข่าวลือทั้งหมดก็จะหายไป
แต่สวรรค์กลับไม่ฟังคำขอร้องของพวกเขา เมื่อข่าวเขื่อนในหลูโจวพังทลายแพร่กระจายมาถึงเมืองหลวงในตอนที่ฮ่องเต้เซี่ยเจินประชวรหนัก ผู้คนจำนวนมากจึงมารวมตัวกันที่ประตูวังและกลายเป็นสักขีพยาน
ถึงขนาดมีคนพูดว่าผู้คนนับหมื่นจากพื้นที่ประสบภัยพิบัติในหลูโจวได้อพยพเข้ามาเมืองหลวง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้คนที่กระจัดกระจายไปที่อื่น
หลังจากตื่นขึ้นมาฮ่องเต้เซี่ยเจินก็ได้ยินข่าวร้ายนี้ จึงสั่งให้คนนำตัวองค์ชายสามไปขังไว้ในตำหนักทันที รอตรวจสอบเรื่องนี้อย่างชัดเจนแล้วค่อยตัดสิน จากนั้นก็ส่งคนไปที่หลูโจวแล้วเรียกทั้งหกกรมเพื่อหารืออย่างเร่งด่วน
เมื่อเทียบกับสถานการณ์ปัจจุบันของหลูโจวแล้ว เรื่องของเซี่ยเซวียนสามารถพักไว้ชั่วคราวก่อนได้
…
ด้านเมืองหลูโจวในขณะนี้
เกิดฝนตกหนัก และถนนบนภูเขาก็เต็มไปด้วยดินโคลน ผู้คนจำนวนมากเดินไปตามร่องเขาขนาดใหญ่ราวกับฝูงมด
เหล่าทหารเกราะเหล็กสวมเสื้อกันฝนที่ทำจากฟาง คอยคุ้มกันพวกเขาไปตามทาง มีเด็กบางคนที่ไม่ค่อยแข็งแรงจึงลื่นล้ม พวกเขาจึงต้องแบกเด็กไว้บนหลัง ทั้งเนื้อทั้งตัวเปียกโชกไปหมดไม่มีเวลาแม้แต่จะเช็ด
“ค่อย ๆ เดิน! ถึงในเมืองแล้วย่อมมีที่พัก ทุกคนวางใจได้!”
พวกชาวบ้านมองดูพวกเขาและตามพวกเขาไปอย่างเงียบ ๆ ชาวบ้านสามารถมองออกว่าพวกเขาเป็นทหารที่ดีหรือไม่ ก่อนหน้านี้ทางการก็เคยส่งคนมา แต่กลับมาขับไล่พวกเขาออกจากหมู่บ้าน เพื่อไม่ให้ราชสำนักตำหนิหากพวกเขาตายขึ้นมาเท่านั้น และไม่บอกด้วยว่าจะให้พวกเขากลับมาเมื่อใด และจะให้ค่าชดเชยอะไรบ้าง
เช่นนี้ใครจะยอมไปกัน? บ้านเรือนที่นาของพวกเขาไม่มีคนดูแล พวกเขาจะเอาอะไรมากินดื่มกัน?
มีทหารยอมแบกลูก อุ้มลูกแทนพวกเขาที่ไหนกัน?
แทบจะเอาแส้ม้าฟาดพวกเขาด้วยซ้ำ
ตอนนั้นเองพวกเขาจึงคิดออกว่า ตอนที่คนเหล่านี้มาถึงได้แนะนำตัวเองว่าอย่างไร
กองทัพทหารเกราะเหล็ก เป็นกองทัพทหารเกราะเหล็กนี่เอง
ที่แท้นี่ก็คือกองทัพทหารเกราะเหล็กที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ควรค่าแก่การเคารพ!
หมู่บ้านใกล้เขื่อนไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ใกล้หรือไกล ช่วงสองสามวันที่ผ่านมาพวกเขาต่างวิ่งไปจนทั่วแล้ว โดยเกลี้ยกล่อมให้พวกชาวบ้านย้ายออกเพื่อลดความสูญเสียให้น้อยที่สุด
ต่อให้จะวิ่งจนขาหัก พวกเขาก็จะต้องพาทุกคนออกจากพื้นที่อันตรายให้ได้ นั่นคือภารกิจเมื่อพวกเขาสวมเครื่องแบบทหาร
ฤดูน้ำหลากถึงช่วงที่วิกฤตที่สุดแล้ว หากไม่มีคนบาดเจ็บล้มตายก็จะเป็นการดีที่สุด ของหายไปยังสามารถสร้างใหม่ได้ เงินที่ได้มาจากราชสำนักก็เพียงพอที่จะสร้างเมืองหลูโจวขึ้นมาใหม่แล้ว
เสิ่นหงเหวินก็ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ยุ่งจนเท้าแทบไม่ได้แตะพื้น ทั้งจัดคนไปเฝ้าดูเขื่อน ทั้งยังตระเวนพูดโน้มน้าวคนแก่ดื้อรั้นที่ไม่ยอมทิ้งบ้านเหล่านั้น ทำจนกระทั่งได้รับความร่วมมือจากทุกหลังคาเรือน รอจนชุดสุดท้ายย้ายออกไปเรียบร้อยแล้ว เสิ่นหงเหวินก็ไม่กังวลอีกแล้ว ที่เหลือก็คือรวบรวมผู้ชายที่แข็งแรงไปช่วยงานที่เขื่อน
ภายในเมืองหลูโจว เนื่องจากรับชาวบ้านจากหมู่บ้านใกล้เคียงเข้ามา จึงมีการสร้างบ้านขึ้นบนถนน ใครที่เต็มใจรับคนไปพักด้วยก็จะได้รับค่าตอบแทน โรงเตี๊ยมและจวนในเมืองล้วนถูกแบ่งออก ทุกคนรวมใจเป็นหนึ่งเดียวเพื่อต่อสู้กับน้ำท่วม
กลุ่มกองเรือก็มาถึงตามกำหนด นำข้าวสารและสมุนไพรจำนวนมากเข้ามาภายในเมือง ทำให้จิตใจของผู้คนในหลูโจวสงบลง
ในวันที่ของถูกส่งมาถึงเมือง ก็ได้มีการเปิดให้ผู้คนเข้ามาตรวจสอบ ข้าวสารคุณภาพดีและยังมีผักกับเนื้อสัตว์ด้วย เพื่อให้ราษฎรได้รู้ว่าองค์หญิงใหญ่กับพระราชนัดดาไม่ได้โกหก! รับรองว่าราษฎรทุกคนจะสามารถผ่านความยากลำบากในครั้งนี้ไปได้ พวกเขาจะไม่ถอย จะยืนหยัดร่วมกับราษฎรอยู่ที่นี่!
ทั้งยังมีการปิดป้ายประกาศ หากมีคนอาสาไปซ่อมเขื่อนก็จะได้รับค่าแรงด้วย ได้เงินมากกว่าทำงานรับจ้างภายในเมืองเสียอีก คราวนี้พวกผู้ชายที่ร่างกายแข็งแรงต่างก็อาสาไปทำงานที่เขื่อน ส่วนพวกผู้หญิงก็ช่วยกันต้มยาบำรุง เพื่อป้องกันไข้หวัดให้พวกเขาภายใต้การนำขององค์หญิงใหญ่
“พระราชนัดดา พวกเราจะได้กลับบ้านจริงหรือขอรับ?”
เผยจี้ฉือเพิ่งยื่นโจ๊กให้เด็กคนหนึ่ง เมื่อได้ยินดังนี้ก็นั่งยอง ๆ และพูดอย่างอ่อนโยน “ข้าสัญญากับเจ้า ว่าจะได้กลับบ้านอย่างแน่นอน”
เด็กน้อยยิ้มตาหยีอย่างมีความสุข ประคองชามโจ๊กแล้วเดินกลับไปอยู่ข้าง ๆ แม่ของเขาอย่างระมัดระวัง “ท่านแม่ พระราชนัดดาอ่อนโยนมากเลยขอรับ”
เผยจี้ฉือลุกขึ้นยืน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ เขาต้องไปช่วยทำโจ๊กและทำซาลาเปาต่อ เรี่ยวแรงของเขายังน้อยเกินไป จึงไม่สามารถไปช่วยทำงานที่เขื่อนได้ ที่ทำได้ก็มีเพียงสิ่งเหล่านี้เท่านั้น
สิ่งที่สามารถทำให้กับราษฎรได้ ก็คือการยืนหยัดอยู่เคียงข้างพวกเขา
จางหยวนเฉียวเองก็พาหมอในเมืองหลูโจวมาช่วยทำแผลให้กับผู้บาดเจ็บทุกวัน เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาเจ็บป่วยไปมากกว่านี้
เมืองหลูโจวมั่นคง ด้านหลังมีที่พึ่ง ย่อมได้หัวใจของราษฎร!
.
.