บทที่ 366 ปีศาจน้อยจอมเจ้าเล่ห์
องค์ชายสิบได้ยินคำพูดของเขาก็ขนลุกด้วยความกลัวขึ้นมาทันที
ช่างกล้าดียิ่งนัก ดูท่าต้องส่งเจ้าไปเป็นเชลยที่หมู่บ้านตระกูลเฉินสักครั้ง เจ้าจะได้รู้จุดจบของคนปากไม่ดี!
เซี่ยห่วงแม้อายุจะยังน้อยแต่เขาก็รู้เรื่องแล้ว ไม่ใช่เด็กที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างเมื่อก่อนอีก!
ครอบครัวที่เลี้ยงเสือได้ ไม่ใช่ครอบครัวที่จะต่อกรด้วยได้ง่าย ๆ
“เจ้าหุบปากไปเถอะ”
“…”
ข้ากำลังปกป้องศักดิ์ศรีองค์ชายของท่านอยู่นะ!!!
เมื่อเห็นองค์ชายสิบที่สูงเกินเอื้อมวิ่งตามหลังสองพี่น้องนั้นต้อย ๆ เหล่าลูกหลานตระกูลใหญ่ก็เริ่มสงสัยในชีวิตขึ้นมา
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาไม่สบายใจมากที่สุดก็คือ สองพี่น้องนั่นไม่รู้ว่าเป็นผียากจนที่โผล่มาจากที่ใด คนที่ติดสอยห้อยตามหากไม่แขนขาดก็ขาขาด หรือไม่ก็นิ้วไม่ครบ ดูแล้วน่าขยะแขยงยิ่งนัก
ระหว่างทางวันนี้เป็นการรวมตัวที่หาได้ยาก คนก็เยอะ ตอนที่เดินย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องแตะเนื้อต้องตัวกัน
“หลีกไปหน่อย! เสื้อผ้าบนตัวเจ้าไม่ได้ซักมานานเพียงใดแล้ว!”
“ข้า…เสื้อข้าเป็นของใหม่!”
เมื่อมาอยู่ที่บ้านใหม่ พวกพี่ชายพี่สาวต่างก็ซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้พวกเขา! ไม่สกปรกเลยสักนิด
“เจ้าอย่ามาพูดกับข้า ตัวซวย!”
อาอินแม้ว่าจะเดินนำหน้า แต่ก็คอยสนใจสหายตัวน้อยของนางอยู่ตลอด หูของนางจึงกระดิกไม่หยุด ทันใดนั้นก็หันหน้ากลับไปมองคนที่ตะโกนเสียงดังที่สุด
“มีอะไรหรือ?”
เสี่ยวเฮยเอ่ยด้วยความน้อยใจ “เสี่ยวเย่จื่อไม่ทันระวังเดินไปอยู่ใกล้เขา เขาจึงหันมารังแก บอกว่าเสื้อผ้าของพวกเราสกปรก บอกว่าพวกเราเป็นตัวซวย”
“ใช่ ข้าเป็นคนพูดแล้วอย่างไร? การที่เจ้าเดินกับข้าได้นั้นนับเป็นบุญกี่ชาติของเจ้ากัน ที่จวนของพวกเราคนรับใช้อย่างเจ้าไม่มีใครเอาหรอก”
องค์ชายสิบใจสั่นขึ้นมา ก่อนที่อาอินจะระเบิดอารมณ์ออกมาเขาก็รีบเอ่ยขึ้น “เอ่อ คงเข้าใจผิดกัน รีบขอโทษซะ ๆ”
“องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ!”
“ข้าทำเพื่อตัวเจ้าอยู่นะ”
อาอินผลักองค์ชายสิบที่ร่างสูงใหญ่กว่าตนออกไป พลางจ้องลูกหลานตระกูลใหญ่ผู้นั้นแล้วเอ่ยขึ้นมา “หึ เจ้าสูงส่งมากอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นพวกเราก็เดินคนละเส้นทาง ไปด้วยกันไม่ได้หรอก เสี่ยวเฮย พวกเราไปดูละครกันเถอะ”
อาอินดื้อรั้นขึ้นมา ไม่ว่าจะพูดเช่นไรก็ไม่ยอมไปกับพวกองค์ชายสิบอีก เพราะนางเองก็ถือเป็นเศรษฐีนีน้อยผู้หนึ่ง เงินแค่นี้จึงไม่ได้ขาดแคลน
ท่านอาเสี่ยวลิ่วจื่อย่อมไปหาที่ให้ได้อยู่แล้ว
โอกาสที่จะได้เล่นกับสองพี่น้องต้องจบลงเช่นนี้ องค์ชายสิบจึงไม่สามารถเสแสร้งทำเป็นนิสัยดีได้อีกต่อไป
“เจ้าทำอะไรของเจ้ากัน พูดดี ๆ เป็นหรือไม่!” เซี่ยห่วงชี้หน้าคุณชายน้อยที่มีสีหน้าดื้อรั้นผู้นั้นด้วยความโมโห “ข้าว่าเจ้าวอนถูกตีอยู่นะ”
“องค์ชาย! ก็แค่เด็กแสบคนเดียว ท่านเกรงใจเพียงนี้นางก็ยังไม่รับน้ำใจเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”
“เด็กแสบ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าพ่อของนางเป็นใคร?”
“คงไม่ใช่เผยยวนหรอกกระมัง”
“…”
องค์ชายสิบกลอกตามองบน “นางเป็นลูกของเผยยวนจริง ๆ!”
ทันใดนั้น เหล่าคุณชายน้อยทั้งหมดก็เงียบลงทันที
แม้ว่าอาอินจะไม่รับน้ำใจ แต่เซี่ยห่วงก็ยังพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อต้องการเป็นคนนำทางให้นาง จึงไม่มีใครทันสังเกตว่าในบรรดาฝูงชน มีคนจำนวนหนึ่งแอบตามพวกเขามาโดยตลอด
“เหตุใดถึงมีคนมากเพียงนี้ สรุปคนใดกันแน่ที่เป็นลูกของเผยยวน?”
“ดูท่าคงเป็นสองคนนั้นที่อยู่ด้านหน้าสุด”
“ฆ่าเผยยวนไม่ได้ พวกเราก็ฆ่าลูกของมันซะ ไป!”
ละครหุ่นเชิดโดยทั่วไปจะนั่งล้อมเป็นวง และแบ่งเป็นหลาย ๆ โรง มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ทั้งนี้เพื่อป้องกันพวกขโมยเด็ก ลูกหลานแต่ละบ้านล้วนถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด
อย่างไรเสียคนที่ออกมาวันนี้ต่างก็เป็นคุณชายที่สูงศักดิ์ของจวน ย่อมขาดองครักษ์ไปไม่ได้ บรรดาคุณชายคิดว่าการไปโรงละครที่จริงจังนั้นปลอดโปร่งและเงียบสงบกว่า
แต่จนปัญญาที่พวกอาอินมาเพื่อหาความสนุก ดูกันเยอะ ๆ ถึงจะสนุก ดังนั้นเซี่ยห่วงจึงตามพวกเขาไป บรรดาคุณชายน้อยเหล่านั้นเมื่อทำอะไรไม่ได้จึงทำได้เพียงตามพวกเขาไปที่โรงละครของชาวบ้านชั้นต่ำที่ตัวเองก็ไม่เคยไปมาก่อน
ผู้คนมากมายและแออัด มีกลิ่นทุกชนิดคละคลุ้งไปหมด ทำให้คุณชายน้อยเหล่านั้นรู้สึกขยะแขยง แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา
พวกอาอินมีคนตามมาด้วยจำนวนมาก ก่อนนั่งลงจึงต้องนับจำนวนคนอย่างละเอียดอีกรอบ หาได้สนใจองค์ชายสิบไม่ อาชิงเองก็นับตามพี่สาวต้อย ๆ
จากนั้นก็มองไปที่คนสองคนที่เข้ามาในโรงละครทางด้านหลังและเอียงหัวเล็กน้อย
“มองอะไรน่ะ?”
อาชิงกะพริบตาปริบ ๆ แล้วเอ่ยออกมา “พี่หญิง สองคนนั้นข้าเห็นหลายครั้งแล้วขอรับ”
ดวงตาของอาอินเปล่งประกายวาววับ “เจ้าก็เห็นแล้วหรือ? ใช้ได้นี่นา”
สองพี่น้องอาศัยสัญชาตญาณของฝาแฝดสื่อสารกัน นั่งลงบนม้านั่งและไม่มีใครมองไปทางสองคนนั้นอีกแม้แต่น้อย
ไม่นานการแสดงหุ่นเชิดก็เริ่มขึ้น เสียงชื่นชมดังขึ้นไม่หยุด ทุกคนต่างถูกการแสดงที่ตื่นตาตื่นใจด้านบนดึงดูด
ส่วนคนสองคนนั้นก็จ้องไปที่เด็ก ๆ เขม็ง เล็งไปยังตำแหน่งของอาอิน ต้องการจะลงมือแต่กลับถูกคนห้ามเอาไว้เสียก่อน
“องครักษ์ที่พวกเขาพามามีมากเกินไป อย่าประมาทเด็ดขาด”
“แต่โอกาสเช่นนี้หาได้ยาก สี่ขุนศึกหลักไม่มีอีกแล้ว แม้เราสองคนจะเป็นเพียงองครักษ์ก็ไม่สามารถหลบหนีได้ เผยยวนไม่ให้ทางรอดกับพวกเรา เหตุใดพวกเราต้องปรานีลูกสาวของมันด้วย”
“ข้ารู้ แต่เจ้ามุทะลุเช่นนี้จะมีผลดีอะไร ให้คนสลายตัวออกไปก่อน”
ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่นั้น คิดไม่ถึงว่าเจ้าตัวเล็กนั่นจะยืนขึ้นมา ก่อนจะกุมท้องแล้ววิ่งออกไป ทั้งสองคนสบตากันเล็กน้อย โอกาสดี นี่เป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้พวกเขาแล้ว!
อาชิงเพิ่งออกมาจากโรงละครจะไปเข้าห้องน้ำ สองคนนั้นก็ตามออกมาด้วย ความจริงแล้วแผนการเดิมของพวกเขาคือตั้งใจว่าจะออกไปจุดไฟ และฉวยโอกาสจากความโกลาหลเอาชีวิตเด็กน้อยทั้งสองคนเสีย ถึงเวลาพวกเขาก็แค่เบียดไปกับฝูงชน ไหนเลยจะยังถูกจับได้อีก?
แต่เด็กเหลือขอหนึ่งในนั้นกลับวิ่งออกมาเช่นนี้ จึงเป็นโอกาสดีที่ไม่ควรพลาด หากเป็นไปได้เขาจะตัดแขนตัดขาของเด็กน้อยนี่ และคว้านเอาอวัยวะภายในทั้งหมดออกมา ทำให้เผยยวนได้ลิ้มรสความเจ็บปวดที่เสียดแทงหัวใจ คงจะดีไม่น้อย!
เมื่อทั้งสองคิดถึงตรงนี้ สายตาที่จ้องมองอาชิงก็มีไอสังหารที่รุนแรงขึ้น
อย่างไรเสียพวกเขาก็มีรูปร่างสูงใหญ่ ก้าวฝีเท้าไปไม่กี่ก้าวก็ตามอาชิงทันแล้ว จากนั้นก็ปิดปากและอุ้มออกไป เดินไปทางตรอกมืด
ทว่าในตอนที่พวกเขาคิดว่าทำสำเร็จแล้ว งูหนึ่งและงูสองในกระเป๋าของอาชิงก็โผล่หัวออกมาอย่างเงียบ ๆ พลางแลบลิ้นออกมา
“เร็วเข้า”
พวกเขาเพิ่งจะเข้ามาในตรอก ก็หิ้วอาชิงขึ้นมา
อาชิงน้อยกะพริบตากลมโตสีดำปริบ ๆ “พวกเจ้าเป็นใคร เหตุใดต้องอุ้มข้ามาด้วย?”
“เด็กน้อย คำถามนี้ไม่สู้อีกเดี๋ยวเจ้าลงไปถามยมบาลเองจะดีกว่า!”
ทันใดนั้นอาชิงก็เผยรอยยิ้มไร้เดียงสาออกมา “พี่ชาย อะไรคือยมบาลหรือ กินได้หรือไม่?”
คนผู้นั้นรู้สึกเพียงว่ามีบางอย่างเลื้อยตามแขนเสื้อเข้าไปในร่างของเขา
แต่เขาหาได้สงสัยอาชิงไม่
“เด็กน้อย พี่ชายอยากจะถามเจ้า ว่าพ่อเจ้าชื่อเผยยวนใช่หรือไม่ เจ้าตอบให้ดี ๆ ล่ะ หากตอบถูกพี่ชายจะเลี้ยงของอร่อยเจ้าเอง”
อาชิงน้อยดวงตาเป็นประกาย “ท่านเดาสิ”
“…”
“ข้าถามเจ้าอยู่ เด็กดี เจ้ารีบบอกพี่ชายมา”
“พี่ชาย ท่านลองเดาเองสิ หากเดาถูก ข้าก็จะเลี้ยง…ของ…อร่อย!” อาชิงแสดงออกชัดว่าไม่อยากจะตอบคำถาม
“เปลืองน้ำลายกับเขาทำไมกัน! ตัดลิ้นของเขาซะ! ยังมีเด็กผู้หญิงที่ต้องฆ่าอีกคน!” คนผู้นั้นไม่รอช้าชักมีดสั้นออกมา แล้วแทงไปทางอาชิงโดยตรง
แต่จู่ ๆ ก็มีเงาสีเขียวยาว ๆ โผล่ออกมาจากด้านข้าง ก่อนจะพบว่าเป็นงูเขียวที่กำลังอ้าปากกว้างแยกเขี้ยวแล้วพุ่งเข้ามาหาเขา!
“ชิ พวกเจ้าได้กินก่อน! นับว่าพวกเจ้าโชคดีแล้ว” เสียงเด็กนุ่มนิ่มที่แฝงไปด้วยความเสียดายดังขึ้น
.