บทที่ 1041 : ทะลุระดับเทพเจ้ากันเป็นกลุ่ม (4)
ไป๋หยานยิ้มเล็กน้อยนางเดินช้า ๆ ไปหยุดต่อหน้าสามผู้อาวุโสดินแดนศักดิ์สิทธิ์
”อาจารย์ทั้งสามครั้งนั้นพวกท่านเป็นผู้พบข้า ชั่วชีวิตนี้ข้าจะไม่มีวันลืมความเมตตาของพวกท่าน เช่นนั้นข้าจะพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อพัฒนาความแข็งแกร่งของพวกท่าน”
อาวุโสทั้งสามคนเฝ้าดูแลนางพัฒนามาเรื่อยๆ ตลอดทาง พวกเขาเป็นคนสำคัญในเส้นทางชีวิตของนาง แม้ว่าชายชราทั้งสามนี้มักจะไว้ใจไม่ได้ ทว่านางก็ …
ยินดีที่จะใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้พวกเขามีฐานะมั่นคงในดินแดนนี้ !
”ยิ่งไปกว่านั้น… ” ไป๋หยานหยุด “ในโลกนี้นอกเหนือจาก ตี้คัง และเซียวเอ๋อแล้ว พวกท่านนับเป็นคนที่สำคัญที่สุดสำหรับข้าเสมอ”
สถานะของผู้อาวุโสทั้งสามในหัวใจของนางนั้นไม่มีผู้ใดสามารถขึ้นมาอยู่เหนือกว่าได้ นี่คือสิ่งที่นางตั้งใจไว้นับแต่แรก
หลังจากอยู่ร่วมกันมานานหลายปีนางจะมองข้ามความสัมพันธ์ดี ๆ ระหว่างกันไปได้อย่างไร ? ต้องให้พวกเขามีพลังเพิ่มขึ้นเท่านั้น นางถึงจะสามารถต่อสู้กับพวกแดนสวรรค์ได้อย่างมั่นใจ !
โชคดีที่ไป๋ฉางเฟิ่งไม่ได้อยู่ที่นี่หาไม่ หากเขาได้ยินคำพูดของไป๋หยาน เขาคงจะต้องเช็ดน้ำตาเป็นแน่ …
”ศิษย์รัก…”เสียงของเจิ้งฉีดังขึ้น เขายกมือขึ้นลูบศีรษะไป๋หยาน “นับแต่วันที่ข้ารับเจ้ามาเมื่อหกปีที่แล้ว เจ้าก็เป็นดังสมาชิกคนเดียวในครอบครัวของข้า เจ้าคือครอบครัวของข้า”
เขาไม่มีลูกเขามีไป๋หยานเป็นศิษย์เพียงคนเดียว เช่นนั้นเขาจึงถือว่านางเป็นญาติเพียงคนเดียวของเขา…
ไป๋หยานยิ้มนางเปลี่ยนสายตาไปมองจงหนานและจงเป่ย “อาจารย์ทั้งสอง…ครั้งที่ข้าเข้าไปอยู่ในตำหนักเซียนพยับหมอก ต้องขอบคุณพวกท่านที่ดูแลข้าเป็นอย่างดี ไม่ว่าหนทางข้างหน้าของข้าจะจะยากไกลเพียงใด ข้าก็จะพาพวกท่านไปด้วยแน่นอน พวกเราจะเดินหน้าทำให้โลกใบนี้กลายเป็นโลกของเรา !”
อาณาจักรวิญญาณแล้วไง?
อาณาจักรสวรรค์แล้วไง?
วันหนึ่งโลกที่ยิ่งใหญ่นี้จะต้องกลายเป็นโลกของพวกเขา!
สองพี่น้องตระกูลจงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งโชคดีที่สุดในชีวิตนี้ของพวกเขาก็คือการรับศิษย์คนนี้
”นี่ก็สายมากแล้วทุกคนคงจะออกไปหมดแล้ว พวกท่านกินยากันได้แล้ว ข้าจะคอยช่วยพวกท่านเอง”
หลังจากกล่าวเช่นนี้แล้วไป๋หยานก็ก้าวถอยหลังไปสองก้าว ขณะเดียวกันนางก็จับจ้องมองผู้คนที่อยู่ในที่นี้อย่างระมัดระวัง
เจิ้งฉีหยิบเม็ดยาขึ้นมาก่อนจะกลืนมันลงคอไป หลังจากนั้น คนอื่น ๆ ก็กลืนเม็ดยาลงไปทีละคน ชั่วขณะนั้นพวกเขาพลันรู้สึกได้ถึงพลังที่ไหลผ่านร่างของพวกเขา
พลังนี้แข็งแกร่งและพลุ่งพล่านมาก พวกเขาไม่มีเวลาลังเล ต่างรีบลงนั่งขัดสมาธิบนพื้น และเริ่มหลับตาเข้าสู่การฝึกฝน …
เพียงไม่นานเมฆดำพร้อมด้วยฝนฟ้าคะนองบนท้องฟ้าพลันปรากฏขึ้นอีกครั้ง เสียงฟ้าร้องดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง สายฟ้าฟาดลงมาใส่ทุกผู้คน
ความสามารถในการรับมือกับสายฟ้าของฮัวหลัวและคนอื่น ๆ ก็ไม่เลวนัก ยิ่งมังกรแก้วซึ่งเป็นมังกรที่มีผิวหนังหนา และขรุขระด้วยแล้ว สายฟ้าเหล่านี้ไม่อาจทำอะไรมันได้เลย
ทว่า…
สมรรถภาพทางกายของเหล่าผู้อาวุโสทั้งห้าไม่ดีเท่าฮัวหลัวและไป๋ฉางเฟิ่งเช่นนั้นภายใต้สายฟ้าฟาดนี้ พวกเขาจึงไม่อาจรับมือได้ดีนัก
ครั้นเห็นว่าร่างของจงเป่ยเริ่มสั่นไป๋หยานก็รีบป้อนยาอายุวัฒนะให้เขา ภายใต้ประสิทธิภาพของยาอายุวัฒนะ สีหน้าซีดจางของจงเป่ยก็เริ่มกลับมาสดใสขึ้น
นางถอนหายใจด้วยความโล่งอกชั่วขณะนั้นฉิวชู่หรงก็ไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป ไป๋หยานจึงหยิบยาอีกเม็ดออกมา เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ และฟื้นฟูฉิวชู่หรง …
โชคดีที่ไม่มีผลสืบเนื่องหลังจากกินยาอาวุวัฒนะจำนวนมากเช่นนั้นท่ามกลางทัณฑ์อัสนีบาต ไป๋หยานจึงคอยป้อนยาให้ชายชราเหล่านี้ไปเรื่อย ๆ
นับแต่ต้นจนจบตี้เสี่ยวอวิ๋นนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใกล้ ๆ นางเฝ้าดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น นัยน์ตากลมโตที่สวยงามของนางจับจ้องมองไป๋หยานไม่กระพริบ
บทที่ 1042 : ทะลุระดับเทพเจ้ากันเป็นกลุ่ม (5)
แต่เหตุใดสายฟ้าคะนองเหล่านั้นดูเหมือนจะกลัวเกรงนางมันไม่กล้าเข้าใกล้นางแม้แต่น้อย
เช่นนั้นภายในสิบลี้นับจากบริเวณที่ตี้เสี่ยวอวิ๋นนั่งอยู่ จึงมีแต่ความสงบ
”พี่สะใภ้”นางเบิกตากลมโตสวย ที่สุดก็เอ่ยถามถึงความสงสัยในใจออกมา “ด้วยความแข็งแกร่งในตอนนี้ของพี่ พี่สามารถปิดกั้นสายฟ้าบนท้องฟ้าให้พวกเขาได้ เหตุใดพี่ถึงไม่ช่วยพวกเขาล่ะ ?”
ไป๋หยานหัวเราะเบาๆ “สำหรับพวกเขา สายฟ้าจะสามารถหล่อหลอมเนื้อหนังของพวกเขาให้แข็งแกร่งขึ้นได้ หากพวกเขาไม่ผ่านสายฟ้าฟาด ร่างกายของพวกเขาก็ไม่อาจเทียบได้กับยอดฝีมือระดับเทพคนอื่น ๆ เมื่อถึงเวลาที่ต้องต่อสู้พวกเขาจะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแน่นอน”
นี่คือเหตุที่ไป๋หยานไม่ช่วยต้านรับสายฟ้าให้พวกเขา
ตี้เสี่ยวอวิ๋นเข้าใจทันที”เช่นนั้นสายฟ้าฟาดก็มีประโยชน์มากล่ะสิ เช่นนี้ข้าก็อยากจะถูกสายฟ้านี้ฟาดสักสองสามครั้งบ้าง”
หลังจากที่นางกล่าวจบนางก็ลุกขึ้นจากพื้นทันที นางมองสายฟ้าบนท้องฟ้า พลางอุทานอย่างตื่นเต้น “นี่สายฟ้า เจ้าเห็นอีกชีวิตที่อยู่ที่นี่บ้างหรือไม่ ? พวกเจ้ามองข้ามข้าตลอดเลย ความหมายว่ายังไงหา ?”
ทว่าขณะที่คำกล่าวของตี้เสี่ยวอวิ๋นจบลงสายฟ้าเหล่านั้น … ก็ยิ่งออกห่างจากนางมากขึ้นเรื่อย ๆ
ใบหน้าของตี้เสี่ยวอวิ๋นเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท
ทัณฑ์อัสนีบาตทำเช่นนี้หมายความว่าไง? ไม่ไว้หน้านางเลยกระนั้นรึ ?
ทันทีที่ตี้เสี่ยวอวิ๋นกำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่นั้นที่สุดเมฆฝนก็ค่อย ๆ สลายหายไป ท้องฟ้ากลับมาเป็นสีฟ้าสดใสดังเดิม เกาะศักดิ์สิทธิ์ก็กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง
หากมิใช่เพราะพื้นดินที่ไหม้เกรียมคงไม่มีผู้ใดรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่มาก่อน …
”ข้าเข้าถึงระดับเทพแล้วกระนั้นหรือ?” ฉิวชู่หรงลุกขึ้นยืนพลางหัวเราะร่า หยาดน้ำตาของเขาไหลรินลงมาพร้อมรอยยิ้ม
”ข้าไม่คาดคิดเลยว่าคนอย่างข้า…ฉิวชู่หรงก็จะมีวันนี้ พวกสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยในอาณาจักรวิญญาณ หากกล้ามาสร้างปัญหาอีกครั้ง พวกมันจะไม่ได้กลับออกไปอีก ข้าจะสู้กับพวกมันเอง !”
ไป๋หยานกล่าวพร้อมรอยยิ้ม”ท่านเดาได้ถูกต้องแล้ว อย่างไรเสียคนจากอาณาจักรวิญญาณก็จะต้องกลับมาอีกอย่างแน่นอน เช่นนั้นตอนนี้ท่านต้องพยายามรวบรวมความแข็งแกร่งจากการฝึกฝนของพวกท่านโดยไว เพื่อเผชิญหน้ากับการต่อสู้ครั้งต่อไป”
ครั้งแรกที่พวกเขาได้ยินว่าอาณาจักรวิญญาณจะมาชายชราเหล่านี้ก็รู้สึกกลัว ทว่าเวลานี้ เมื่อพวกเขาได้ยินข่าวนี้ แววตาของพวกเขากลับไม่มีความหวาดกลัวเฉกเช่นก่อนหน้านี้อีกต่อไป หากแต่กลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น และกระตือรือร้นแทน
ราวกับว่า… ผู้คนจากอาณาจักรวิญญาณจะกลายเป็นสัตว์ป่าภายใต้เป้าลูกศรของพวกเขา
“ท่านอาจารย์อย่าเพิ่งดีใจไประดับเทพเจ้านั้นมีหลายขั้น พวกท่านเพิ่งเข้าถึงระดับเทพขั้นต้น ถ้าหากยอดฝีมือของแดนวิญญาณมาจริง ๆ พวกท่านก็ยากที่จะรับมือได้”
ผู้ที่แข็งแกร่งในดินแดนวิญญาณไม่ได้มีเพียงคนพวกนั้นทั้งคนที่มาในครั้งหน้าย่อมจะต้องแข็งแกร่งขึ้น
โชคดีที่นางวางสายลับไว้ในแดนวิญญาณแล้วหากมีผู้ใดมานางก็สามารถเตรียมรับมือได้อย่างเต็มที่ …
“หลงเอ๋อเองก็น่าจะกลับมาในเร็ววันนี้ใช่หรือไม่?”
ไป๋หยานหรี่ตามองท้องฟ้าพลางเอ่ยถาม
ก่อนหน้านี้นางขอให้หลงเอ๋อกลับไปที่เมืองชายแดนอีกครั้ง เพื่อนำคนทั้งหมดในเมืองชายแดนกลับมาที่นี่
คนที่เมืองชายแดนเหล่านั้นได้ทำพันธะสัญญากับหลงเอ๋อแล้วพวกเขาไม่สามารถทรยศหลงเอ๋อได้อย่างแน่นอน และพวกเขาก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของขุมอำนาจนางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ก่อนที่ยอดฝีมือแห่งอาณาจักรวิญญาณจะมาถึงนางต้องเพิ่มขุมพลังในมือให้เร็วที่สุด และมากที่สุด
”ตี้เสี่ยวอวิ๋น”ไป๋หยานดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ นางหันหน้าไปมองตี้เสี่ยวอวิ๋น “ข้าได้ยินมาว่า ตี้คังเข้าสู่ดินแดนลับเพื่อตามหาเฉินเอ๋อ มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับเฉินเอ๋อกระนั้นหรือ ?”
ตี้เสี่ยวอวิ๋นลังเลดูเหมือนว่านางกำลังคิดว่าจะบอกไป๋หยานดีหรือไม่ ?
ครั้นเห็นการแสดงออกของตี้เสี่ยวอวิ๋นหัวใจของไป๋หยานพลันหายวาบ นางคว้าไหล่ของตี้เสี่ยวอวิ๋นพลางบีบแน่น
”บอกข้าสิเฉินเอ๋ออยู่ในดินแดนลับเป็นเช่นไรบ้าง ?”
ไป๋เสี่ยวเฉินคือชีวิตของนาง! หากนางต้องสูญเสียเขาไป นางคงจะต่อสู้อย่างไร้สิ้นความหวัง !
บทที่ 1043 : ไป๋เสี่ยวเฉินหายตัวไป (1)
ตี้เสี่ยวอวิ๋นเงยหน้าขึ้นมองไป๋หยานพลางเอ่ยกล่าวอย่างระมัดระวัง”ไม่นานมานี้ เสด็จพี่ขาดการติดต่อกับเฉินเอ๋อ เช่นนั้นเขาจึงเข้าสู่ดินแดนลับเพื่อตามหาเฉินเอ๋อด้วยตนเอง ไม่ต้องกังวล เฉินเอ๋อจะต้องไม่เป็นอะไร เชื่อใจเสด็จพี่เถอะ”
ไป๋หยานกำหมัดแน่นสีหน้าของนางไม่หวั่นไหวใด ๆ แม้แต่ตี้เสี่ยวอวิ๋นเองก็ยังไม่เข้าใจว่าในใจของนางกำลังคิดสิ่งใด
”พี่สะใภ้…”
ครั้นเห็นว่าไป๋หยานไม่ได้กล่าวคำใด ตี้เสี่ยวอวิ๋นจึงกล่าวเสียงอ่อน “เสด็จพี่ ไม่ให้ข้าบอกพี่เรื่องเฉินเอ๋อ เขาเพิ่งขาดการติดต่อกับเฉินเอ๋อ เฉินเอ๋อไม่น่าจะเป็นอะไรหรอก … ”
ไป๋หยานสูดลมหายใจเข้าช้าๆ “ดินแดนลับนั่น ข้าสามารถเข้าไปได้หรือไม่ ?”
“พี่สะใภ้…ต้องการเข้าสู่ดินแดนลับงั้นหรือ?” ตี้เสี่ยวอวิ๋นเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
“เฉินเอ๋อหายไปข้าไม่อาจวางใจได้ ข้าต้องไปหาเขาด้วยตนเอง”
”แต่… ” ตี้เสี่ยวอวิ๋นกัดริมฝีปาก “มีเพียงพวกสัตว์อสูรเท่านั้นที่จะสามารถเข้าสู่ดินแดนลับได้ หากมนุษย์เข้าไปก็มีโอกาสมากที่จะตกอยู่ในอันตราย พี่สะใภ้แม้ว่าพี่จะทะลุไปถึงระดับเทพเจ้าแล้ว ทว่าก็ไม่ควรเข้าดินแดนลับนั่นอยู่ดี”
หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับพี่สะใภ้ทันทีที่เสด็จพี่กลับมา เขาจะต้องหักขานางอย่างแน่นอน
“ข้าไม่สนในเมื่อข้ารู้แล้วว่าเฉินเอ๋อหายตัวไป ข้าก็ต้องไปที่นั่นให้ได้” ไป๋หยานกำหมัดแน่นขึ้นเรื่อย ๆ หัวใจของนางสั่นสะท้าน เมื่อคิดถึงเรื่องที่ว่าเฉินเอ๋อหายตัวไป หัวใจของนางก็ราวกับถูกมือดึงทึ้งอย่างแรง กระทั่งสั่นไหวไม่หยุด
ตี้เสี่ยวอวิ๋นคิดอยู่เพียงครู่”ข้ามีวิธีที่จะให้พี่เข้าสู่ดินแดนลับ หากแต่พี่ห้ามบอกเสด็จพี่นะว่า นี่เป็นความช่วยเหลือจากข้า หาไม่หากเสด็จพี่รู้ เขาจะต้องสังหารข้าเป็นแน่”
”ได้…ข้าจะไม่บอกตี้คังเรื่องนี้”
ไป๋หยานลดสายตาลงความแน่วแน่ฉายประกายในดวงตาของนาง ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม นางไม่สามารถปล่อยให้เฉินเอ๋อต้องเผชิญกับอันตรายเพียงลำพังในดินแดนลับได้ …
ตี้เสี่ยวอวิ๋นกัดริมฝีปากพลางก้มหน้าตัดสินใจ ที่สุดนางก็เงยหน้าขึ้นมองไป๋หยาน
“พี่สะใภ้…เช่นนั้นก็ตามข้ามา”
ไป๋หยานพยักหน้าน้อยๆ นางหันไปมองเจิ้งฉี และคนอื่น ๆ ที่อยู่ด้านหลัง “ท่านอาจารย์ หลงเอ๋อจะพาคนกลุ่มหนึ่งมาที่นี่ นี่เป็นยาเทพเจ้าที่ข้าปรุงกับมือที่ยังเหลืออยู่ เมื่อถึงเวลานั้น ท่านก็ให้พวกเขากินเถิด”
หลังจากสิ้นเสียงไป๋หยานก็ส่งเม็ดยาในมือของนางให้เจิ้งฉี จากนั้นนางก็กวาดตามองทุกคน ที่สุดก็ไปหยุดอยู่ที่หนุ่มน้อยเหวินหรู่
”เหวินหรู่…ความสามารถในการปรุงยาของเจ้าพัฒนาดีขึ้นเรื่อยๆ ครั้งหน้าเมื่อข้ากลับมา ข้าจะช่วยเจ้าพัฒนาทักษะการปรุงยาของเจ้าขึ้นไปอีก เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าก็จะสามารถปรุงยาเทพเจ้าเองได้”
แววตาของเหวินหรู่เต็มไปด้วยความสุข”ต้าไป๋ นี่เจ้าจะสอนทักษะการปรุงยาทั้งหมดของเจ้าให้ข้างั้นหรือ ?”
”ใช่…เจ้ามีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะเป็นหมอปรุงยาระดับสิบแล้วข้ามีตำราปรุงยาอยู่นี่ เจ้าฝึกฝนไปก่อน ข้าหวังว่าเมื่อข้ากลับมา เจ้าจะสามารถทะลุระดับแปดได้”
ไป๋หยานหยิบตำราวิธีปรุงยาออกมาเอ่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
ใบหน้าของฉิวชู่หรงเปลี่ยนเป็นสีเข้มเขามองไป๋หยานด้วยแววตาเศร้า “ศิษย์รัก…เจ้าไม่ยุติธรรมเลย เจ้าช่วยเขาพัฒนาการปรุงยา แล้วพวกเราล่ะ เจ้าไม่ช่วยพวกเราบ้างเลย”
“ท่านลองคิดสิว่าพวกท่านจะต้องใช้เวลากี่ปีกว่าจะสามารถปรุงยาระดับสิบได้สำเร็จ ?”
ไป๋หยานมองชายชราทั้งสามคนอย่างจนใจไม่ใช่ว่านางไม่อยากสอนพวกเขาปรุงยาเทพเจ้า แต่แท้จริงแล้วความสามารถในการปรุงยาของพวกเขาธรรมดาเกินไปต่างหาก …
ภายใต้คำชี้แนะของนางก็ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าชายชราเหล่านี้จะก้าวไปถึงขั้นที่เจ็ด เช่นนั้นคนที่มีความสามารถเพียงคนเดียวรอบตัวนางก็คือ เหวินหรู่
บทที่ 1044 : ไป๋เสี่ยวเฉินหายตัวไป (2)
หาไม่นางคงไม่ต้องจ้ำจี้จ้ำไชสอนพวกเขาเช่นที่ผ่านมา
เหวินหรู่ถือตำราการปรุงยาไว้ในมือไม่ต่างจากเด็กน้อยนัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ดูราวกับว่าเขากำลังถือสิ่งของล้ำค่าและหายาก กระทั่งไม่อาจปล่อยให้หลุดมือ
”ท่านอาจารย์รอให้ข้ามีเวลาก่อน ข้าจะค่อย ๆ ปรับตำราการปรุงยาให้พวกท่านศึกษากันได้ง่าย ๆ เพราะตำราเล่มนี้คาดว่าพวกท่านอ่านยังไงก็คงไม่เข้าใจ”
ไป๋หยานยิ้มอย่างขมขื่นพร้อมกับส่ายศีรษะ นางหันไปมองตี้เสี่ยวอวิ๋นที่อยู่ด้านหลังอย่างช้า ๆ
”เสี่ยวอวิ๋นเราไปกันเถอะ”
หลังจากที่ไป๋หยานสั่งการทุกอย่างเสร็จสรรพนางก็รีบคว้ามือของตี้เสี่ยวอวิ๋น พุ่งตัวไปที่เชิงเขาศักดิ์สิทธิ์อย่างรวดเร็ว
ทั้งสองหายลับตาไปภายใต้ท้องฟ้ามืดมน…
ณแดนอสูร
ภายในพระราชวัง
ผู้อาวุโสใหญ่ยืนจับจ้องมองท้องฟ้าสีครามด้วยอาการเหม่อลอยแววตาของเขาเต็มไปด้วยความครุ่นคิด
ณขณะนี้…
ชั่วขณะนั้นร่างที่คุ้นเคยสองร่างก็ผ่านเข้ามาในคลองสายตาของเขาจากระยะไกลจากนั้นก็ค่อย ๆ ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ไม่นานนักพวกนางก็มาปรากฏกายเบื้องหน้าเขา …
ครั้นมองเห็นคนทั้งสองที่เข้ามาอย่างรวดเร็วแล้วผู้อาวุโสก็ถอนตนออกจากความคิดที่จมลึก พลันรอยยิ้มจาง ๆ ก็ปรากฏบนใบหน้าชรา
“ราชินี…องค์หญิงพวกท่านกลับมากันแล้วหรือ ?”
ไป๋หยานร่อนลงมาจากท้องฟ้าที่ว่างเปล่านางลงมายืนอยู่ตรงหน้าผู้อาวุโสใหญ่ เอ่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ “ผู้อาวุโสใหญ่…ข้าได้ยินมาว่า ก่อนหน้านี้ท่านกับท่านราชครูได้ออกจากแดนอสูร เช่นนั้นยามนี้ท่านราชครูอยู่ที่ใด ?”
ผู้อาวุโสใหญ่ยิ้ม”ท่านราชครูมีภารกิจอื่นที่ต้องจัดการ เช่นนั้นจึงขอให้กระหม่อมกลับมาก่อน ไม่ทราบว่าที่ราชินีเสด็จกลับมาแดนอสูรในครานี้ด้วยเหตุอันใดกระนั้นหรือ ?”
น้ำเสียงของเขาแสดงความเคารพสายตาที่เขามองไป๋หยานเต็มไปด้วยความนับถือ
“เฉินเอ๋อหายตัวไป”
ใบหน้าของไป๋หยานเคร่งขรึมลงเล็กน้อยขณะเอ่ยกล่าวออกมาอย่างช้า ๆ
สีหน้าของผู้อาวุโสใหญ่เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดเขาเงียบไปครู่หนึ่ง “กระหม่อมได้ยินมาว่าองค์ชายเสด็จเข้าไปยังดินแดนลับเพื่อฝึกฝน ราชินีหมายถึง … ”
”ข้าต้องการเข้าสู่ดินแดนลับ!”
น้ำเสียงของนางมุ่งมั่นปราศจากความลังเล
ท่าทีของผู้อาวุโสใหญ่เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยคิ้วของชายชราขมวดแน่น “ราชินีกระหม่อมเกรงว่า … ”
”ผู้อาวุโสใหญ่ตี้คังเคยกล่าวไว้ว่าแดนอสูรนี้ขึ้นอยู่กับข้า ยามนี้ข้าต้องการเข้าสู่ดินแดนลับ ท่านต้องหาทางส่งข้าเข้าไป”
ไป๋หยานหรี่ตาลงพลางยกริมฝีปากขึ้น “ห้ามปฏิเสธว่าท่านไม่มีความแข็งแกร่งพอ ตี้เสี่ยวอวิ๋นบอกข้าแล้วว่า ในแดนอสูรนี้ยกเว้นตี้คัง และราชครูแล้ว ก็มีเพียงท่านเท่านั้นที่สามารถเปิดทางสู่ดินแดนลับนี้ได้”
มุมปากของผู้อาวุโสใหญ่กระตุกอย่างแรงคำแก้ตัวที่เขาเพิ่งนึกออกเมื่อครู่ บัดนี้ต้องกลืนเก็บไว้เพราะคำกล่าวของไป๋หยาน
เขาจ้องมองตี้เสี่ยวอวิ๋นอย่างปวดร้าวราวจะกล่าวหาว่าเป็นเพราะนาง
ตี้เสี่ยวอวิ๋นคอหดนางถอยหลังสองสามก้าว ไปหลบซ่อนกายอยู่ข้างหลังไป๋หยาน “ผู้อาวุโส ไม่เกี่ยวกับข้านะ พี่สะใภ้ของข้าต้องการเข้าสู่ดินแดนลับเอง ท่านห้ามไปกล่าวหาข้ากับเสด็จพี่นะ”
ผู้อาวุโสใหญ่ยิ้มอย่างขมขื่นในแดนอสูรนี้ มีแต่ตี้คังเท่านั้นที่โหดร้ายกับตี้เสี่ยวอวิ๋น ส่วนพวกเขาไม่เคยเต็มใจให้ร้ายนางเลยแม้แต่น้อย
เพราะทั่วทั้งแดนอสูรต่างก็คุ้นเคยกับพฤติกรรมไร้กฎระเบียบของนางกันหมดแล้ว…
”องค์หญิงหากไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับราชินีก็แล้วไปเถิด กระหม่อมก็จะไม่กราบทูลเรื่องนี้กับองค์ราชา แต่หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับราชินีแล้วละก็ กระหม่อมคงไม่อาจปิดบังได้”
ผู้อาวุโสส่ายศีรษะพลางถอนหายใจทว่าก็อดไม่ได้ที่จะตำหนิตี้เสี่ยวอวิ๋นสำหรับการกระทำในครั้งนี้ของนาง
ครั้นตี้เสี่ยวอวิ๋นได้ยินถ้อยคำของผู้อาวุโสใหญ่นางก็ตัวสั่นด้วยความตกใจ นางรีบดึงแขนเสื้อของไป๋หยานเอ่ยกล่าวว่า “พี่สะใภ้…พี่ต้องกลับมาไว ๆ นะ หาไม่หากพี่ชายของข้ารู้ เขาคงจะสังหารข้าเป็นแน่…”
บทที่ 1045 : ไป๋เสี่ยวเฉินหายตัวไป (3)
อย่าคิดว่าพี่ชายของนางไม่เคยทำร้ายนางจริงจังนั่นเป็นเพราะนางไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่ขัดใจเขาอย่างรุนแรงมากกว่า แต่หากครั้งนี้ เรื่องที่นางเผลอหลุดปากไป แล้วมีบางอย่างเกิดขึ้นกับพี่สะใภ้ของนางแล้วล่ะก็
เกรงว่า… พรุ่งนี้นางคงจะไม่ได้เห็นดวงตะวันขึ้นอีกเป็นแน่
”ข้าจะกลับมาแน่”
นัยน์ตาของไป๋หยานเป็นประกายแววตาของนางแน่วแน่ “ผู้อาวุโสใหญ่ช่วยข้าเปิดดินแดนลับเลยเถิด ข้าจะเข้าไปตามหาเฉินเอ๋อ … ”
ผู้อาวุโสใหญ่มองสตรีที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นพลันถ้อยคำปฏิเสธทั้งหมดของเขาก็หายลงลำคอ เขาเปลี่ยนมาถอนหายใจยาวแทน
”ในเมื่อเป็นความตั้งพระทัยของราชินีกระหม่อมก็ไม่อาจทูลอะไรได้มากนัก ทว่ากระหม่อมมีคำถามที่จะทูลถามราชินี ยามนี้พระองค์ทะลุถึงระดับเทพแล้วหรือยัง ?” ผู้อาวุโสใหญ่จ้องมองไป๋หยานตาไม่กระพริบอยู่เป็นนาน จากนั้นเขาก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหนัก ๆ
ไป๋หยานพยักหน้าเล็กน้อย”เมื่อไม่นานมานี้ ข้าบังเอิญได้รับโอกาสดีบางอย่าง ข้าจึงเข้าถึงระดับเทพแล้ว”
”ราชินีทรงทราบลำดับขั้นความแข็งแกร่งหลังจากเข้าสู่ระดับเทพหรือไม่?” แววตาของผู้อาวุโสเคร่งขรึม เขายังคงเอ่ยถามอย่างต่อเนื่อง
ไป๋หยานส่ายศีรษะเอ่ยกล่าวว่า “ข้าไม่รู้”
”เช่นนั้นก่อนที่ราชินีจะเสด็จเข้าสู่ดินแดนลับกระหม่อมขออธิบายให้ราชินีฟังก่อน หลังจากที่พระองค์เข้าสู่ดินแดนลับแล้ว ไม่ช้าก็เร็วพระองค์ก็จะได้พบกับผู้แข็งแกร่งระดับเทพ”
ผู้อาวุโสใหญ่ยิ้มบางๆ “แท้ที่จริงเราไม่ได้เรียกระดับเทพว่าเป็นเทพเจ้าเสียทั้งหมด นั่นก็เป็นเพราะเมื่อเข้าถึงระดับเทพแล้ว ก็ยังมีขั้นอื่น ๆ ซอยย่อยออกไปอีก เช่นราชินี ตอนนี้พระองค์ก็เป็นเทพชั้นต่ำ”
“แล้วถัดจากเทพชั้นต่ำล่ะ”ไป๋หยานขมวดคิ้ว เอ่ยถามต่อ
”ถัดมาก็จะเป็นเทพชั้นกลางจากเทพชั้นกลางก็จะเป็นเทพชั้นสูง จากนั้นจึงจะถึงเทพเจ้าที่แท้จริง ยกตัวอย่างเช่นเจ้าแดนวิญญาณของอาณาจักรวิญญาณนั่นก็เป็นระดับต่ำของเทพชั้นกลาง”
ไป๋หยานลูบคางนางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยกยิ้ม “ข้าเข้าใจแล้ว ผู้อาวุโสใหญ่ ท่านสามารถพาข้าเข้าสู่ดินแดนลับได้เลยหรือไม่ ?”
”ในเมื่อเป็นพระประสงค์ของราชินีกระหม่อมก็จะนำเสด็จพระองค์ไปที่นั่นอย่างแน่นอน”
ผู้อาวุโสใหญ่มองตาตี้เสี่ยวอวิ๋นอีกครั้งก่อนจะเดินนำไป๋หยานไปยังทิศทางสู่ดินแดนลับ
ทุกย่างก้าวของเขาราวกับมีกระแสลมพัดแรงแขนเสื้อของเขาปลิวตามสายลม เรือนผมสีขาวของเขางดงามยิ่งกว่าหิมะขาว
ไป๋หยานเดินตามผู้อาวุโสใหญ่ไปเงียบๆ ยามนี้หัวใจของนางโบยบินเข้าสู่ดินแดนลับแล้ว นางอยากจะไปปรากฏตัวข้างกายไป๋เสี่ยวเฉิน และตี้คังในบัดดล …
ภายในหุบเขาชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่บนพื้นซึ่งปกคลุมไปด้วยใบเมเปิ้ล ขณะที่มือของเขาไพล่หลัง
เรือนผมสีเงินของเขาปลิวไสวอาภรณ์สีม่วงยิ่งเปี่ยมเสน่ห์ เพียงแค่มองจากด้านข้าง ใบหน้าของเขาก็สามารถทำให้ผู้พบเห็นลืมหายใจได้
ด้านหลังชายหนุ่มปรากฏชายกลุ่มหนึ่งถืออาวุธสีเงินยืนนิ่งรอรับคำสั่งของชายหนุ่มอย่างเงียบ ๆ ด้วยอาการเคารพนบนอบ
”ข่าวที่เจ้าได้รับมาเชื่อถือได้หรือไม่? องค์ชายอยู่ที่นี่แน่หรือ ?” เสียงของชายหนุ่มแหบพร่า แต่ก็เจือความโกรธไว้ในกระแสเสียงให้พอรับรู้ได้
เขาให้สัญญากับไป๋หยานว่าเขาจะไม่ปล่อยให้เฉินเอ๋อต้องตกอยู่ในอันตรายใด ๆ หากผู้ใดกล้าแตะต้องเฉินเอ๋อ … เขาจะทำลายดินแดนลับทั้งหมด ทั้งเขาจะทำให้คนเหล่านั้นต้องชดใช้ด้วยเลือด !
”ทูลองค์ราชามีสัตว์อสูรเห็นว่าองค์ชายของเราถูกคนของเผ่าเวหานำตัวไป”
คนเผ่าสวรรค์กระนั้นรึ?
กลิ่นอายของตี้คังพลันเย็นชาและเคร่งขรึม ใบหน้าของเขาว่างเปล่าไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ “ราชาผู้นี้จำได้ว่า เผ่าเวหาถูกขับออกจากแดนสวรรค์ เป็นความผิดพลาดของข้าเองที่คาดไม่ถึงว่าพวกเขาจะมาซ่อนตัวอยู่ในที่แห่งนี้”
“แต่ข้าไม่สนใจหรอกว่าศัตรูของข้าคือใคร ผู้ใดกล้าทำร้ายโอรสของราชาผู้นี้จะต้องถูกลงโทษ !”
ตี้คังยกมือขึ้นช้าๆ พลางออกคำสั่งด้วยสายตาแข็งกร้าวว่า “ทุกคนในแดนอสูรฟังคำสั่งราชา ข้าไม่ต้องการให้เผ่าเวหาหลงเหลืออยู่ในโลกใบนี้อีก !”
”น้อมรับคำสั่ง!”
ทุกคนคุกเข่าลงกับพื้นเสียงรับคำสั่งของพวกเขาดังก้องไปทั่วท้องฟ้า