ตอนที่ 5 พูดเรื่องเงินแล้วผิดใจกันเปล่าๆ
เรื่องราวในอดีตช่างเหลวไหลและน่าหัวร่อสิ้นดี แล้วก็เป็นสิ่งที่ผิดจริงๆ หลินยวนรู้สึกปวดใจเมื่อนึกถึงมัน
ทว่าจางเลี่ยเฉินกลับไม่ยอมรับ “ตอนนั้นฉันก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้นเอง ใครจะไปรู้ล่ะว่าแกจะทำจริงๆ”
หลินยวนยกมือห้าม อีกฝ่ายไม่ยอมรับก็ช่างเถอะ เขาไม่อยากพูดถึงเรื่องเหลวไหลพวกนั้นอีก “ไม่ต้องพูดแล้วล่ะลุง เธอมาทวงหนี้ผมถึงนี่แล้ว ต้องจัดการเรื่องนี้ก่อน”
จางเลี่ยเฉินสงสัย “นี่แกไปยืมเงินมาจากเธอหนึ่งล้านมุกจริงๆ เหรอ?”
ยืมเหรอ? ความคิดของหลินยวนคล้ายล่องลอยออกไป พูดให้ฟังดูดีมันก็คือการ ‘ยืม’ แต่แทนที่จะบอกว่ายืม ควรจะบอกว่าตอนนั้นฉินอี๋เห็นว่าเขาขัดสนเรื่องเงิน ก็เลยยืนกรานที่จะให้เขามาจะดีกว่า แล้วก็น่าจะเป็นการแอบๆ ให้ด้วย ทางฉินเต้าเปียนน่าจะไม่รู้แน่ ไม่อย่างนั้นหลังจากที่ฉินเต้าเปียนจัดการกับเขาแล้ว มีหรือที่จะไม่ทวงเงินหนึ่งล้านมุกนั่นกลับไป
เมื่อเห็นเขาไม่พูดอะไร ดูท่าเรื่องนี้คงจะจริงดั่งว่า จางเลี่ยเฉินยื่นมือออกไป “แล้วเงินล่ะ? เงินหนึ่งล้านนั่นไปไหนแล้ว”
ไปไหนแล้วอย่างนั้นเหรอ? หลินยวนจำได้ว่าตอนที่เขาเพิ่งออกจากเมืองปู๋เชวี่ยไปได้ไม่นาน เงินหนึ่งล้านมุกนั่นก็ไม่เหลือแล้ว
ตอนที่เพิ่งออกจากเมืองปู๋เชวี่ยก็ไปเจอเข้ากับคนชั่วระหว่างทาง ทรัพย์สินเงินทองที่อยู่บนตัวถูกชิงเอาไปหมด เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด โชคดีที่ได้คนลึกลับผู้หนึ่งช่วยเหลือเอาไว้
คนลึกลับผู้นั้นยื่นมือเข้าช่วยเหลือ รักษาอาการบาดเจ็บของเขาจนหายดี ทั้งยังรับเขาไว้เป็นศิษย์ อาศัยวิชาแปลกประหลาดชะล้างสิ่งแปลกปลอมภายในร่างกายให้เขา หล่อหลอมเส้นปราณภายในร่างกายขึ้นมาใหม่ ทำให้เขามีร่างกายที่เหมาะสมแก่การบำเพ็ญเพียร ทั้งยังถ่ายทอดวิชาประหลาดให้ จากนั้นก็ยังแนะนำเขา บอกให้เขาไปยังเมืองหลวง ช่วยให้เขาสอบเข้าหลิงซานได้ และกลายเป็นนักเรียนของสถาบันอันดับหนึ่งแห่งดินแดนเซียน
เรียกได้ว่าคนลึกลับผู้นั้นคือผู้ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของเขา ทว่าจวบจนวันนี้เขาก็ยังไม่รู้เลยว่าอาจารย์ลึกลับผู้นั้นเป็นใครกันแน่
นับแต่ที่จากกันในตอนนั้น พวกเขาก็ไม่ได้เคยพบกันอีก
“ใช้ไปหมดแล้ว” หลินยวนตอบส่งๆ ไป บางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องให้ลุงเฉินรับรู้ ก่อนจะวกกลับมาประเด็นเดิมว่า “เรื่องบางเรื่องผ่านไปแล้วก็ให้มันแล้วไป ผมไม่อยากกลับไปอยู่ในความคลุมเครือกับฉินอี๋อีกแล้ว ทางตระกูลฉินคงจะไม่มีทางป่าวประกาศเรื่องไม่ดีที่เกิดขึ้นในตระกูลออกไปหรอก คนที่รู้เรื่องราวในตอนนั้นน่าจะมีไม่มาก ผมไม่จำเป็นต้องไปทำให้เรื่องในอดีตมันเป็นประเด็นขึ้นมาอีก จนทำลายชื่อเสียงของเธอและกระทบความสัมพันธ์ของเธอกับผู้ชายของเธอ”
“ผู้ชายเหรอ” จางเลี่ยเฉินถามกลับ “ผู้ชายไหน?”
หลินยวนงุนงงไปเล็กน้อย “เธอยังไม่แต่งงานเหรอ?”
จางเลี่ยเฉินหัวเราะ “แต่งอะไรกันล่ะ? แกลืมไปแล้วเหรอว่าเธอก็อายุพอๆ กับแก ตามกฎหมายของดินแดนเซียนแล้ว เธอยังไม่ถึงอายุที่จะแต่งงาน”
กฎหมายของดินแดนเซียนระบุเอาไว้ว่าผู้ที่มีอายุห้าร้อยปีเต็มถึงจะสามารถแต่งงานได้
เจตนาแรกเริ่มเดิมทีที่เขียนกฎหมายนี้ขึ้นมานั้นเป็นเพราะในดินแดนเซียนมียาวิเศษที่ใช้ยืดอายุขัยได้ หากไม่เกิดเรื่องไม่คาดคิดอะไร อายุขัยของคนธรรมดาทั่วไปจะสามารถยืนยาวได้ถึงหนึ่งพันปีเลยทีเดียว
หากแต่งงานมีบุตรเร็ว อีกทั้งอายุขัยยังยืนยาว ผลที่ตามมาคือดินแดนเซียนก็จะประสบปัญหาประชากรล้นดินแดน
มีเพียงหลังจากแต่งงานแล้วเท่านั้น ชายหญิงถึงจะมีลูกได้อย่างถูกกฎหมาย มิเช่นนั้นจะต้องถูกลงโทษสถานหนัก
ทันทีที่แต่งงาน สองสามีภรรยาก็จะถูกควบคุมอย่างเข้มงวดตามกฎหมาย ไม่อาจแต่งงานได้อีกเป็นครั้งที่สอง
สามารถหย่าร้างได้ แต่ผลของการหย่าร้างคือไม่อาจแต่งงานได้อีก ไม่อาจมีลูกได้อีก ทันทีที่หย่าก็จะหมายความว่าได้สละสิทธิ์การมีลูกไปแล้ว
แต่แน่นอน ก่อนอายุห้าร้อยปีจะไม่มีการควบคุมใดๆ ใครจะชอบใคร สภาเซียนไม่สนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ อีกทั้งเรื่องแบบนี้มันก็ยากจะควบคุมได้ บนโลกนี้จะมีสักกี่คนที่ไร้กิเลสอย่างแท้จริง? หากไม่ผ่อนปรนเสียหน่อยจะเกิดเรื่องเอาได้
การผ่อนปรนที่ว่านี้ ดูไปแล้วคล้ายจะเป็นการคาดหวังว่าทุกคนจะให้ความสำคัญกับการเลือกคนที่จะมาเป็นคู่ครองของตน ทว่าความจริงแล้วมันกลับเป็นวิธีการอันแยบยลในการควบคุมการเพิ่มขึ้นของประชากร
ลองไปถามชายหญิงที่ยังไม่แต่งงานดูสิว่าจะมีสักกี่คนที่อยู่ด้วยกันไปหลายร้อยปีแล้วไม่รู้สึกเบื่อ? หลังใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ไปหลายร้อยปี ชายหญิงทั้งหลายก็จะเฉยชาต่อเรื่องการแต่งงานนี้ไป มีหลายคนที่ยินดีแค่เพียงคบหากันธรรมดา หากไม่เจอคนที่อยากใช้ชีวิตอยู่ด้วยจริงๆ โดยทั่วไปแล้วก็มักจะไม่ค่อยตกลงปลงใจเป็นสามีภรรยากัน และนั่นก็จะเป็นการควบคุมการเพิ่มขึ้นของประชากรไปโดยปริยาย
หลินยวนใจลอยไปเล็กน้อย ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าฉินอี๋อายุพอๆ กันกับเขาจริงๆ จึงเอ่ยถามอีกว่า “คู่รักผู้ชายก็ไม่มี?”
จางเลี่ยเฉินส่ายหน้า “เมื่อก่อนไม่มี ตอนนี้ก็ไม่มี หลังคบหากับแก เธอก็ไม่เคยหาใครอื่นเลย เหมือนว่าจะยุ่งอยู่กับกิจการภายในตระกูลฉิน ไม่มีใจจะไปสนใจเรื่องอื่น”
หลินยวนกล่าว “ไม่มีทางที่เธอจะอยู่คนเดียวไปตลอดชีวิตหรอก ยังไงในอนาคตก็ต้องมี หากต้องไปเจอหน้าฉินเต้าเปียนอีก ผมคงจะทนไม่ไหว ผมไม่ไปหรอกตระกูลฉินน่ะ”
จางเลี่ยเฉินกล่าว “แกไม่ต้องกังวลเรื่องฉินเต้าเปียนหรอก เขาเกษียณไปแล้ว อายุของฉินเต้าเปียนเองก็ไม่ใช่น้อยแล้ว คงจะอยู่ได้สักร้อยปีก็ถึงอายุขัยแล้วละมั้ง ฉินเต้าเปียนเกษียณไปตั้งแต่สองร้อยปีก่อน เขามีลูกสาวอยู่เพียงคนเดียว ที่เขาเกษียณเร็วก็เพื่อจะช่วยลูกสาวขึ้นมากุมบังเหียนบริษัทในตระกูล ตระกูลฉินในทุกวันนี้ มีฉินอี๋เป็นหัวหน้าตระกูล พูดอีกอย่างคือฉินอี๋ในตอนนี้เป็นเศรษฐีหญิงอันดับหนึ่งของเมืองปู๋เชวี่ย ชื่อเสียงโด่งดัง อย่าบอกนะว่าแกไม่รู้แม้กระทั่งเรื่องนี้?”
เธอกลายเป็นเศรษฐีหญิงอันดับหนึ่งของเมืองปู๋เชวี่ยแล้วอย่างนั้นเหรอ? หลินยวนส่ายศีรษะเงียบๆ เขายังไม่รู้เรื่องเหล่านี้เลยจริงๆ
จางเลี่ยเฉินส่งเสียงเหอะๆ “ดูท่าตอนนั้นแกคงจะไม่ได้จริงใจกับฉินอี๋จริงๆ สินะ คิดแต่จะใช้ประโยชน์จากเธอ ไม่ได้มีความรู้สึกใดๆ หลังไปเมืองหลวงแล้วถึงได้ไม่เคยสนใจอะไรฉินอี๋เลย”
ไม่เคยสนใจเลยอย่างนั้นเหรอ? ความคิดของหลินยวนล่องลอยออกไป จำได้ว่าในตอนนั้นแรกๆ เขาก็ยังสนใจเธออยู่บ้าง ภายหลังเมื่อเวลาล่วงเลยไปนานเข้า อีกทั้งตัวเองก็มีเรื่องอื่นให้จัดการ เขาจึงค่อยๆ ลืมเลือนเธอไป แล้วก็ไม่ค่อยได้สนใจเธออีก
เขาไม่อยากพูดถึงเรื่องราวเหล่านี้อีก พลิกดูนามบัตรในมืออย่างตั้งใจ พบว่าตำแหน่งของฉินอี๋นั้นคือประธานหอการค้าตระกูลฉินจริงดั่งว่า
เขาเงยหน้ากล่าวว่า “เรื่องพวกนั้นไม่สำคัญหรอก ตอนนี้ผมต้องคืนเงินเธอ ลุงเฉิน ขอผมยืมสักหนึ่งล้านมุกสิ”
จางเลี่ยเฉินกรอกตามองบน “ฉันจะไปหาเงินหนึ่งล้านมุกมาจากไหน?”
หลินยวนกล่าว “จากนิสัยขี้เหนียวของลุงเนี่ย ผมไม่เชื่อหรอกว่าหลายปีมานี้ลุงจะเก็บเงินได้ไม่ถึงหนึ่งล้านมุก ลุงให้ผมยืมก่อนสิ เดี๋ยวผมรีบเอามาคืนให้”
อันที่จริงแล้วเงินหนึ่งล้านมุกไม่ได้เป็นจำนวนเงินที่เยอะอะไรสำหรับเขาเลย ไม่ใช่ว่าเขาไม่มี เพียงแต่เขาไม่สะดวกที่จะเอาออกมา
หนึ่งล้านมุกจะบอกว่าเยอะก็ไม่ได้เยอะ แต่สำหรับคนธรรมดาแล้วมันก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เช่นกัน เขาซึ่งมีสภาพตกอับแบบนี้ อีกทั้งจากสถานการณ์ของเขาในเมืองหลวงก่อนหน้านี้ หากจู่ๆ เขาหยิบเอาเงินจำนวนมากขนาดนี้ออกมา เขาคงยากจะอธิบายได้ แบบนั้นมันจะทำให้เกิดปัญหายุ่งยากที่ไม่จำเป็นขึ้นมาได้
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องทำให้เงินเปลี่ยนมืออย่างเหมาะสมเสียก่อน ภายในใจหวังว่าลุงเฉินจะออกเงินก้อนนี้ให้ก่อน จากนั้นเขาค่อยแอบคืนเงินให้ลุงเฉิน
จางเลี่ยเฉินโบกมือ เอ่ยปฏิเสธอย่างไม่ลังเล “อย่ามาพูดเรื่องรีบอะไรพวกนี้กับฉันเลย พูดเรื่องเงินแล้วมันจะผิดใจกันเปล่าๆ กฎของฉันคือไม่ให้ใครยืมเงิน อีกอย่างคือฉันไม่มีหรอก ถึงต่อให้มี ฉันก็ไม่กล้าให้แกยืมเหมือนกัน เมื่อกี้ตอนที่ออกไปส่งเธอ เธอยังเตือนฉันอยู่เลยว่าไม่ให้ฉันสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องนี้”
“แกเองก็คงจะรู้ว่าในดินแดนเซียน กิจการโรงแพทย์เล็กๆ อย่างฉันเนี่ยมันไม่ได้ดีเท่าไรนัก ทุกวันนี้ที่โรงอีหลิวของฉันยังพอไปได้ ก็เป็นเพราะความช่วยเหลือจากเธอทั้งนั้น เพราะเธอเอ่ยปาก พนักงานของตระกูลฉินทุกคนเจ็บป่วยเป็นอะไรเล็กๆ น้อยๆ ก็จะมาหาฉันกันหมด อิทธิพลในเมืองปู๋เชวี่ยของเธอมีไม่น้อย ถ้าฉันกล้าขัดคำสั่งเธอ อย่าว่าแต่ปิดกิจการของฉันเลย แค่เธอเอ่ยปากออกมาก็มีคนตั้งเยอะตั้งแยะที่พร้อมจะเล่นงานฉันแล้ว ถ้าเธออยากเก็บฉันน่ะเหรอ แค่สั่งออกมาคำเดียวเท่านั้นแหละ”
“การที่เธอนั่งอยู่ในตำแหน่งเศรษฐีหญิงอันดับหนึ่งของเมืองปู๋เชวี่ยได้มั่นคงแบบนี้ แกคิดว่ามันเป็นการสร้างภาพเฉยๆ อย่างนั้นหรือ? ฉันขอเตือนแกไว้เลยนะว่าอย่าได้ขัดใจเธอ ก้มหน้ายอมรับชะตากรรมซะเถอะ หากทำให้เธอโกรธ แกหนีไม่พ้นหรอก แล้วก็ไม่มีทางอยู่ในเมืองปู๋เชวี่ยได้ด้วย ฉันเองก็ไม่กลับรับแกมาอยู่ที่นี่หรอก”
“ถ้าเธอเจ็บแค้นเรื่องในอดีตแล้วคิดจะแก้แค้นแกจริงๆ ล่ะก็ แกคิดว่าแค่คืนเงินแล้วมันจะจบเหรอ?”
หลินยวนขมวดคิ้วไม่พูดอะไร
สายตาของจางเลี่ยเฉินมองไปยังบาดแผลที่มีเลือดไหลซึมออกมาบนขาของเขา ก่อนกล่าวว่า “พิษผนึกมารน่ะ แกใช้พลังสะกดมันเอาไว้ก็ไม่มีประโยชน์ หากใช้ต่อไป สภาวะของแกก็จะถูกผนึกเอาไว้มากขึ้นกว่าเดิม ยังจะรักษาอยู่ไหม? ถ้ายังอยากรักษาก็ต้องรีบรักษาเสียแต่เนิ่นๆ ไปนอนตรงนั้นซะ” จางเลี่ยเฉินชี้นิ้วไปยังเตียงที่อยู่ในห้องตรวจโรค
หลินยวนหมุนกายเดินกะโผลกกะเผลกไปข้างเตียง ก่อนจะนั่งลงแล้วเอนตัวนอนลงไป
จางเลี่ยเฉินเดินออกไปครู่หนึ่ง จากนั้นอุ้มน้ำเต้าเหล็กลูกหนึ่งเดินเข้ามา ยืนอยู่ข้างหลินยวนที่นอนราบ ก่อนจะเอ่ยเตือนอีกครั้งว่า “วิธีการรักษาของฉันมันจะทำให้สภาวะที่แกผนึกเอาไว้สลายไปพร้อมกับพิษผนึกมาร สภาวะที่แกทนลำบากบำเพ็ญมานานหลายปีจะหายไปเกือบครึ่ง แกแน่ใจนะว่าจะให้ฉันลงมือ?”
หลินยวนพูดอย่างใจเย็น “ลงมือเถอะ”
จางเลี่ยเฉินกล่าว “มันจะเจ็บมากนะ ทนหน่อยล่ะ”
หลินยวนส่งเสียงว่า “อืม”
จางเลี่ยเฉินขยับก้าวมายังตำแหน่งขาที่บาดเจ็บของเขา ดึงจุกที่ปิดขวดน้ำเต้าสีม่วงทองออก ด้านในน้ำเต้ามีเสียงหึ่งหึ่งดังลอยออกมา จากนั้นหมอกควันสีเขียวกลุ่มหนึ่งก็พวยพุ่งออกมาในพริบตา ลอยวนอยู่ภายในห้องตรวจโรค หลินยวนใช้เนตรทิพย์เพ่งมอง พบว่านั่นมิใช่หมอกควันสีเขียว หากแต่เป็นแมลงที่มีขนาดเล็กจนกระทั่งเนตรทิพย์ก็ยังมองแทบไม่ชัดจำนวนนับไม่ถ้วน แล้วก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
มือข้างหนึ่งของจางเลี่ยเฉินอุ้มน้ำเต้าไว้ มืออีกข้างหนึ่งหมุนวนร่ายพลัง ค่อยๆ บังคับทิศทางการโบยบินของหมอกควันสีเขียวกลุ่มนั้น
หลังจากควบคุมให้หมอกควันสีเขียวหมุนวนเป็นวงกลม จู่ๆ นิ้วมือของเขาพลันยื่นออกไป ชี้ไปยังบาดแผลบนต้นขาของหลินยวน
หมอกควันสีเขียวลอยพุ่งลงไปราวอสรพิษ มุดเข้าไปในบาดแผล คล้ายว่าบาดแผลได้ดูดกลืนหมอกควันสีเขียวสายนั้นเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น
“อึก…” หลินยวนส่งเสียงออกมาด้วยความเจ็บปวด ร่างกายสั่นเทิ้มอย่างไม่อาจควบคุมได้
จางเลี่ยเฉินกล่าวว่า “แมลงตัวเล็กๆ พวกนี้จะชอนไชไปตามเส้นเลือดและเส้นลมปราณของแกเพื่อกลืนกินและกำจัดพิษผนึกมารในตัวแก อย่าใช้พลังต้านมัน”
หลินยวนทำตามที่ลุงเฉินว่า ล้มเลิกการขัดขืน แม้นจะได้รับคำเตือนและเตรียมใจไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่ก็ยังคิดไม่ถึงอยู่ดีว่ามันจะเจ็บปวดจนยากจะจินตนาการได้เช่นนี้
หลังหมอกควันสีเขียวทะลวงเข้าไปในบาดแผลและแทรกซึมเข้าไปในร่างกายจนหมด ร่างกายของหลินยวนก็ยิ่งสั่นเทิ้มขึ้นมาอย่างรุนแรง เหงื่อโทรมกายราวกับอาบน้ำฝน มือทั้งสองกำขอบเตียงเอาไว้แน่น ร่างกายค่อยๆ หดเกร็ง
จางเลี่ยเฉินพลันลงมือ นิ้วมือนิ้วหนึ่งจิ้มลงบนกายของหลินยวน หลินยวนตาเหลือก ศีรษะหันไปอีกทาง หมดสติไปในทันที…
……..
ยามราตรี บนเขาที่สูงที่สุดในเมืองปู๋เชวี่ย แสงไฟสว่างไสว นั่นคือสถานที่ตั้งของสำนักงานเจ้าเมือง
หลังส่งจูลี่แล้ว เหิงเทาที่เดินทางกลับมาก็เข้ามายังด้านในโถงใหญ่ ก่อนกล่าวกับลั่วเทียนเหอว่า “ท่านเจ้าเมือง ทางเมืองหลวงส่งข่าวกลับมา สืบประวัติของหลัวคังอันผู้นั้นได้แล้วครับ”
ในมือของลั่วเทียนเหอถือหนังสือโครงการไว้ฉบับหนึ่ง เป็นหนังสือโครงการที่จูลี่มอบให้เขา
จูลี่ไม่ทำให้เขาต้องผิดหวัง ตัวคนมาถึง โครงการจัดตั้งสถานีออกอากาศของเมืองปู๋เชวี่ยก็ร่างเอาไว้เรียบร้อย
ลั่วเทียนเหอได้ยินดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมา “เป็นอย่างไรบ้าง?”
เหิงเทาหมุนตัวเดินไปด้านหน้าโต๊ะตัวหนึ่ง กดแผ่นโลหะทรงกลมที่วางอยู่บนโต๊ะ จากนั้นหยิบเอาแท่งคริสตัลทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนแท่งเล็กๆ แท่งหนึ่งออกมาเสียบเข้าไปในแผ่นทรงกลม ม่านแสงแถบหนึ่งปรากฏขึ้นมาในพริบตา ฉายภาพคนที่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ส่งเสียงดังกัมปนาท
ลั่วเทียนเหอคุ้นเคยกับภาพเหตุการณ์นี้เป็นอย่างดี ในดินแดนเซียนตอนนี้คงจะไม่มีใครไม่รู้จักภาพนี้ มันคือภาพเหตุการณ์ที่กลุ่มผู้สนับสนุนราชวงศ์ก่อนบุกเข้าโจมตีเมืองหลวงของดินแดนเซียน
เหิงเทาปรับความเร็วในการฉายภาพ หลังเร่งความเร็วจนไปถึงภาพเหตุการณ์ที่คนตัวสูงใหญ่ราวตึกสองคนเข้าโรมรันกัน เขาถึงจะปรับความเร็วการฉายภาพเป็นปกติ
ลำแสงสองสายรวดเร็วดั่งสายฟ้าฟาด ปะทะห้ำหั่นเข้าด้วยกัน อานุภาพทำลายล้างรุนแรง ทำให้อากาศรอบข้างปรากฏเค้าลางแห่งความพังพินาศ ผืนดินสะเทือนเลือนลั่น ราวกับฟ้าจะถล่มดินจะทลายจริงๆ อย่างไรอย่างนั้น ดุเดือดรุนแรงจนยากจะจินตนาการได้
ลำแสงทั้งสองสายที่เข้าปะทะกันหยุดนิ่ง เผยร่างที่แท้จริงออกมา นั่นคือเทพมหาวิญญาณสององค์กำลังห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด
เทพมหาวิญญาณองค์หนึ่งมีใบหน้าดั่งบุรุษหนุ่มหน้าหยกรูปงาม สวมที่ครอบมวยผมสีม่วงทอง เท้าสวมรองเท้าท่องเมฆา บนร่างสวมเกราะทอง ในมือถือง้าวเทียมสวรรค์ ท่าทางน่ายำเกรง และนั่นก็คือหยางเจินเทพสงครามอันดับหนึ่งแห่งสภาเซียน ผู้คนเรียกขานว่าท่านสอง
ใบหน้าที่เทพมหาวิญญาณองค์นี้จำลองขึ้นมาคือโฉมหน้าดั้งเดิมของท่านสอง และเป็นเทพมหาวิญญาณที่สภาเซียนสร้างขึ้นมาให้ท่านสองเป็นการเฉพาะ
กองทัพเทพมหาวิญญาณของสภาเซียนส่วนใหญ่แล้วจะมีหน้าตาเหมือนกัน มีเพียงบุคคลระดับสูงเท่านั้นถึงจะได้รับเกียรติในการวัดร่างกายเพื่อหลอมเทพมหาวิญญาณขึ้นมาเป็นการเฉพาะ
เทพมหาสงครามที่กำลังสู้อยู่กับเขาเห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีหน้าตาเหมือนผู้ควบคุมของมัน บนร่างกายส่วนใหญ่เป็นสีดำ รูปลักษณ์ภายนอกเผยความดื้อรั้นและป่าเถื่อน ตรงหว่างคิ้วมีลวดลายดั่งหน้าผากเสือ ปรากฎเป็นคำว่า “หวัง” ขึ้นมาให้เห็นจางๆ ในมือถือทวนจอมราชัน นั่นคือหนึ่งในสิบสามมารสวรรค์ผู้ถูกเรียกว่าป้าหวัง!
ปลายทวนจอมราชันอันแหลมคมมุ่งทำลายศีรษะของเทพมหาวิญญาณของท่านสอง ท่านสองใช้ง้าวเทียมสวรรค์เข้าขวางรับเอาไว้
ขณะที่ทั้งสองอยู่ในช่วงจังหวะยื้อยุดกัน จู่ๆ เทพมหาวิญญาณองค์หนึ่งก็พุ่งถลาออกมา ฉวยโอกาสถีบเทพมหาวิญญาณของป้าหวังกระเด็นลอยออกไป
…………………………………………………………….