ตอนที่ 12 ผู้ช่วย
เสียดายที่คนที่ไป๋หลิงหลงจัดให้มาต้อนรับไม่เปิดโอกาสให้พวกเธอได้พูดคุยกับหลินยวน
ยังคงเป็นหญิงสาวที่มาต้อนรับเขาเมื่อวานนี้ เธอรีบก้าวเข้าไป “คุณหลินค่ะ ผู้ช่วยไป๋กำลังรอคุณอยู่ค่ะ เชิญตามฉันมาเลยค่ะ”
หลินยวนพยักหน้า เดินตามเธอไป
หญิงสาวคนนั้นเหลียวกลับมา รีบทำหน้าเยาะเย้ยไปทางหญิงสาวสองสามคนที่อยู่ตรงโต๊ะประชาสัมพันธ์ ดึงดูดสีหน้ารังเกียจและดูแคลนกลับมา
ทั้งสองเดินเข้าไปด้านใน ขึ้นลิฟต์ภายในไปด้านบน หญิงสาวผู้นั้นเป็นฝ่ายเอ่ยแนะนำตัวเองก่อนว่า “คุณหลิน ฉันชื่อซูเฉี่ยวหลิน เป็นหนึ่งในผู้ช่วยของผู้ช่วยไป๋นะคะ”
หลินยวนพยักหน้า “สวัสดีครับ”
ท่าทางที่ไม่ค่อยชอบพูดจาของเขาทำให้หญิงสาวแซ่ซูผู้นี้ไม่รู้จะพูดอะไรต่อเช่นกัน
ลิฟต์ขึ้นมาถึงห้องทำงานของไป๋หลิงหลง ซูเฉี่ยวหลินเคาะประตู จากนั้นเดินเข้าไปกล่าวรายงานว่า “ผู้ช่วยไป๋ คุณหลินมาแล้วค่ะ”
ไป๋หลิงหลงที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงานเงยหน้าขึ้นมา เมื่อเห็นหลินยวนที่อยู่ด้านนอกประตูก็รีบวางงานที่อยู่ในมือลงพลางลุกขึ้น จากนั้นรีบเดินเข้าไปต้อนรับ ทั้งยังส่งสายตาให้กับทางซูเฉี่ยวหลิน ซูเฉี่ยวหลินถอยออกมาอย่างรู้งาน
เมื่อได้เห็นท่าทีที่ไป๋หลิงหลงเข้ามาต้อนรับหลินยวนทั้งสองครั้ง ซูเฉี่ยวหลินก็มั่นใจแล้วว่าหลินยวนมิใช่คนธรรมดา
ไป๋หลิงหลงไม่ได้พาหลินยวนไปพบฉินอี๋ หากแต่กล่าวอธิบายว่า “ท่านประธานไปตรวจสอบงานตามแผนกต่างๆ แล้ว อาจจะต้องรออีกประเดี๋ยวถึงจะเข้าพบได้”
เดิมทีเธอจะตามฉินอี๋ไปด้วย แต่เป็นเพราะต้องมารอเขา เธอจึงต้องรออยู่ที่ห้องทำงาน
หลินยวนกล่าว “ฉันมาทำงาน ไม่มีความจำเป็นแล้วก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปพบท่านประธาน จะให้ฉันทำอะไรก็ว่ามาได้เลย”
ไม่มีสิทธิ์งั้นเหรอ? เรื่องที่ไม่ควรทำนายก็เคยทำมาหมดแล้วไม่ใช่หรือไง! ไป๋หลิงหลงยิ้มเจื่อนอยู่ในใจ ไม่ได้เชิญเขาเข้าไปนั่ง หากแต่ผายมือเชิญ “ตามฉันมา”
หลินยวนไม่รู้ว่าตนต้องทำอะไร แล้วก็ไม่รู้ว่าต้องไปที่ไหน จึงเดินตามไป…
ภายในห้องรับแขกห้องหนึ่ง หลัวคังอันที่ท่าทางดูหล่อเหลาและมีเสน่ห์นั่งพิงเก้าอี้ เท้าทั้งสองข้างวางพาดกันอยู่บนโต๊ะ ในมือคีบซิการ์เอาไว้มวนหนึ่ง สายตาจ้องมองฉากแสงที่กำลังฉายภาพอยู่ตรงหน้า
ภายในฉากแสงกำลังถ่ายทอดสดอยู่ สถานีออกอากาศของเมืองปู๋เชวี่ยก่อตั้งขึ้นมาอย่างเป็นทางการแล้ว
ภายใต้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ของเจ้าเมืองลั่วเทียนเหอ สถานีออกอากาศจึงถูกจัดตั้งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
เหิงเทาที่เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารงานทั่วไปกำลังพูดคุยอย่างไม่เร่งร้อน สถานีออกอากาศนี้เป็นงานที่อยู่ในความรับผิดชอบของเขา
ความจริงแล้วนี่เป็นความรับผิดชอบแต่เพียงในนาม จริงๆ แล้วผู้ที่คอยจัดการงานภายในสถานีคือผู้หญิงที่ชื่อจูลี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ เขา เหิงเทาเพียงแค่มาควบคุมสถานการณ์ให้จูลี่เท่านั้น
แต่แน่นอน ในช่วงเวลาสำคัญเขาก็สามารถช่วยเธอได้ด้วย
ช่วยไม่ได้ แม้นจูลี่จะเป็นคนที่ออกไปจากเมืองปู๋เชวี่ย ทว่าอิทธิพลและเส้นสายของเธอในเมืองปู๋เชวี่ยยังมีน้อยเกินไป หากบอกว่าจูลี่เป็นผู้รับผิดชอบสถานีออกอากาศล่ะก็ ไม่มีทางที่เธอจะสะกดกลุ่มอำนาจต่างๆ ภายในเมืองปู๋เชวี่ยเอาไว้ได้แน่ แบบนั้นอาจจะทำให้เกิดปัญหาที่ไม่จำเป็นบางอย่างขึ้นมาก็ได้ แต่ถ้ามีเหิงเทามาคอยออกหน้า สถานการณ์ก็จะเปลี่ยนไป อย่างน้อยภายในเมืองปู๋เชวี่ยก็ไม่กล้ามีใครทำอะไรเหลวไหล
ในเวลานี้เหิงเทาที่อยู่บนฉากแสงกำลังกล่าวแนะนำจูลี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ให้แก่ผู้ชมอย่างเต็มที่ คำพูดชมเชยทำนองว่าเป็นคนอายุน้อยที่มีความสามารถอะไรทำนองนั้นย่อมต้องเอ่ยออกมา แสดงท่าทีให้ทุกคนเห็นอย่างชัดเจนว่าด้านหลังจูลี่มีเขาคอยหนุนอยู่
และสิ่งที่เขาเอ่ยชมเชยก็มิใช่คำพูดโกหกไปเสียทั้งหมดเช่นกัน เหิงเทาเอ่ยถึงเรื่องศึกการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในเมืองหลวง บอกทุกคนว่าภาพการต่อสู้ระหว่างเทพสงครามหยางเจินกับสิบสามมารสวรรค์เป็นจูลี่ที่เสี่ยงอันตรายไปถ่ายมา
หลัวคังอันดูดซิการ์ที่คีบอยู่ในมือ สองตาจับจ้องไปที่หญิงสาวที่กำลังพูดคุยด้วยรอยยิ้มอยู่บนฉากแสง รู้สึกเหนือความคาดหมายเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้เขาได้ยินว่าวันนี้จะมีการเปิดตัวสถานีออกอากาศของเมืองปู๋เชวี่ย ดังนั้นเขาจึงเปิดฉากแสงเพื่อดูการถ่ายทอดสดเสียหน่อย คิดไม่ถึงว่าเขาจะได้เจอคนคุ้นหน้าคนหนึ่ง
คิดไม่ถึงว่าหญิงสาวที่ลงเรือคุนลำเดียวกับตนจะมิใช่ผู้หญิงธรรมดา แถมยังเป็นคนอายุน้อยที่มีความสามารถ กระทั่งหัวหน้าฝ่ายบริหารงานทั่วไปของเมืองปู๋เชวี่ยก็ยังสนับสนุนเธอ
ตอนที่อยู่บนเรือคุน เขาได้แนะนำตัวเองให้แก่อีกฝ่าย แถมยังแอบบอกเป็นนัยด้วยว่าตัวเองเป็นคนมีเงิน ด้วยคิดที่จะโอ้อวดเพื่อเกี้ยวพาราสีจูลี่ แต่จูลี่ผู้นี้กลับไม่เอ่ยถึงเบื้องหลังของตัวเองแม้แต่นิดเดียว เรียกได้ว่าปิดเอาไว้อย่างมิดชิดเลยจริงๆ!
คนมีปัญญาล้วนแต่มองออกว่าการที่เหิงเทาออกมากล่าวสนับสนุนจูลี่อย่างเปิดเผยเช่นนี้ได้ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเบื้องหลังจูลี่ก็คือคฤหาสน์เจ้าเมือง
หลัวคังอันรู้สึกโชคดีขึ้นมาเล็กน้อย เขารู้สึกโชคดีที่ตอนนั้นตัวเองไม่ได้ทำอะไรเหลวไหล หากเขาทำอะไรเกินเลยต่อจูลี่ไปจริงๆ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้เหมือนกัน เกรงว่าตนเองคงจะโดนจับทันทีที่ลงจากเรือคุน จะได้ออกไปจากเมืองปู๋เชวี่ยอย่างปลอดภัยหรือเปล่าก็ยังไม่รู้
ขณะเดียวกันก็รู้สึกหงุดหงิดอย่างมากเช่นกัน เขาหงุดหงิดที่ผู้หญิงคนนี้ได้เห็นด้านที่ดูไม่ดีของตนเอง เป็นภาพที่เขาตกใจกลัวจนคุกเข่าลงไปกอดต้นขาของเธอในตอนที่พบเจออันตราย อีกทั้งยังถูกผู้หญิงคนนี้ถีบแรงๆ ไปหลายทีด้วย
ภายหน้าหากได้เจอกันอีกล่ะก็ นั่นคงจะต้องกระอักกระอ่วนอย่างมากแน่
เขายิ่งรู้สึกกลัวว่าผู้หญิงคนนี้จะแฉอะไรออกมา จึงได้แต่ต้องแอบเตือนตัวเองอยู่ภายในใจว่าพยายามหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับผู้หญิงคนนี้เอาไว้
แต่ถึงกระนั้นเขาก็ต้องยอมรับเลยว่าจูลี่ที่อยู่ในฉากแสงนั้นดูอ่อนเยาว์มีชีวิตชีวา ช่างงดงามจริงๆ
แล้วก็รู้สึกเสียดายอยู่เล็กน้อย หากหญิงสาวผู้นี้ไม่ได้เห็นภาพนั้นก็คงจะดีไม่น้อย
เสียงเคาะประตูดังขึ้น หลัวคังอันกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เข้ามา”
ประตูเปิดออก มีคนเดินเข้ามา เขาเหลียวหน้ากลับไปมอง พบว่าเป็นไป๋หลิงหลง จึงรีบวางขาทั้งสองข้างแล้วลุกขึ้นยืน พลางกดปิดเสียงบนฉากแสง มีเพียงภาพที่ยังคงแสดงอยู่ จากนั้นยิ้มพลางกล่าวว่า “ผู้ช่วยไป๋ กำลังรอคุณอยู่เลยครับ”
ไป๋หลิงหลงกล่าวขอโทษ “ขอโทษที่ทำให้รอค่ะคุณหลัว”
หลัวคังอันกล่าว “ผู้ช่วยไป๋เรียกผมมารอที่นี่ ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรหรือครับ?”
ไป๋หลิงหลงเบี่ยงตัว เผยให้เห็นหลินยวนที่อยู่ด้านหลัง “ฉันพาคนมาให้คุณคนหนึ่งค่ะ คนนี้คือหลินยวน เป็นผู้ช่วยที่ทางหอการค้าจัดเตรียมเอาไว้ให้คุณค่ะ” จากนั้นเหลียวหน้ากลับไปพูดกับหลินยวนว่า “คุณหลิน ท่านนี้คือคุณหลัวคังอัน อดีตผู้พิทักษ์เทพมหาวิญญาณของเมืองหลวง นับแต่วันนี้เป็นต้นไปเขาจะเป็นผู้ช่วยให้คุณค่ะ”
สายตาของหลินยวนหยุดชะงักอยู่ที่ใบหน้าของหลัวคังอันเล็กน้อย รู้สึกว่าคุ้นตา ก่อนหน้านี้ตอนที่ฉินอี๋เอ่ยถึงชื่อนี้เขาก็รู้สึกเหมือนว่าเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน ที่แท้ก็เป็นเขาคนนี้นี่เอง
เขาคิดถึงภาพเหตุการณ์บนเรือคุนขึ้นมา รู้สึกสงสัยเล็กน้อยว่าเจ้าคนลามกแบบนี้จะทำใครบาดเจ็บได้หรือ?
สิ่งที่คิดอยู่ภายในใจไม่ได้แสดงออกมา เขายื่นมือออกไปจับมือ “สวัสดีครับ”
แต่หลัวคังอันกลับไม่ยื่นมือออกมา หากแต่ยกซิการ์ที่อยู่ในมือขึ้นมาสูบพร้อมพ่นควันออกมา “ผู้ช่วย? ผู้ช่วยอะไร? ผู้ช่วยด้านไหน?”
ไป๋หลิงหลงเหลือบมองดูมือของหลินยวนที่ค่อยๆ วางลงเพราะไม่มีการตอบรับ ภายในใจเกิดความโมโหต่อความอวดดีของหลัวคังอัน
แต่เธอก็ไม่สะดวกพูดเรื่องความสัมพันธ์ของฉินอี๋กับหลินยวนออกมาเช่นเดียวกัน บางทีฉินอี๋อาจจะกล่าวเอาไว้ถูกต้อง คนที่มีความสามารถนั้น บางครั้งทำตัวอวดดีก็เป็นเรื่องพอเข้าใจได้
ไป๋หลิงหลงสงบสติอารมณ์เล็กน้อย ก่อนกล่าวออกไปว่า “เรื่องงานค่ะ เรื่องงานเขาช่วยคุณได้หมดเลย”
บนใบหน้าหลัวคังอันมีรอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นมา “ผู้ช่วยไป๋ ผมว่าไม่จำเป็นมั้งครับ?”
ไป๋หลิงหลงกล่าว “ภายในห้องควบคุมมีที่นั่งผู้ช่วยอยู่ค่ะ”
หลัวคังอันหัวเราะเหอะๆ “แต่ผมไม่เหมือนคนอื่น ผมคนเดียวก็สามารถจัดการได้ ไม่จำเป็นต้องมีผู้ช่วย”
ไป๋หลิงหลงจำต้องกล่าวเตือนเขาว่า “คุณหลัว นี่เป็นคนที่ท่านประธานจัดหามาให้ค่ะ”
หลัวคังอันกล่าว “เขาเป็นอะไรกับตระกูลฉิน หรือว่าเขาเป็นญาติท่านประธาน?”
ไป๋หลิงหลงกล่าว “ไม่เกี่ยวกันค่ะ”
หลัวคังอันรีบกล่าวทันที “ตอนผมทำงาน ผมชอบแสดงฝีมืออยู่ภายในห้องคนเดียว หากมีคนเพิ่มขึ้นมาจะทำให้ผมเสียสมาธิได้ และนั่นก็จะทำให้ผมรู้สึกอึดอัด รบกวนผู้ช่วยไป๋ไปพูดกับท่านประธานหน่อยนะครับว่าผมไม่สามารถรับคนที่ท่านประธานจัดเตรียมมาไว้ได้จริงๆ ผมทำแบบนี้ก็เพราะหวังดีต่อหอการค้า หากผู้ช่วยไป๋ไม่สะดวก เดี๋ยวผมไปพูดกับท่านประธานเองก็ได้ครับ”
ถูกต้อง เขาไม่ชอบให้มีใครคนอื่นอยู่ในห้องควบคุมของเทพมหาวิญญาณ เพราะเขาไม่อยากให้ภาพลักษณ์บางอย่างของตัวเองถูกคนอื่นพบเข้า ด้วยกลัวว่าจะหมดช่องทางทำมาหากิน
หลินยวนไม่พูดอะไร มองดูคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผู้นี้
ไป๋หลิงหลงขมวดคิ้วขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าคนคนนี้จะไม่เปิดช่องให้มีการพูดคุยตกลงกันเลย
“จะพูดเรื่องอะไรกับฉันหรือคะ?” จู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงที่แฝงเอาไว้ด้วยแรงกดดันเล็กน้อยของฉินอี๋ดังขึ้นมา แล้วก็ยังมีเสียงรองเท้าส้นสูงย่ำลงไปบนพื้นดังตึกๆๆ
ทั้งสามคนเหลียวหน้ากลับไปมอง ฉินอี๋ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าประตูอย่างรวดเร็ว สายตากวาดมองภายในห้อง ก้าวอาดๆ เดินเข้ามา
เธอเปลี่ยนรูปแบบการแต่งกาย สวมสูทลำลองเข้ารูปสีม่วง ด้านล่างสวมรองเท้าส้นสูงสีดำ ช่วยขับให้ขาที่เรียวยาวทั้งสองข้างดูเด่นออกมา
ผมที่ยาวสลวยเองก็ถูกรวบเป็นหางม้า ท่าทางดูเฉลียวฉลาดมากประสบการณ์ เปี่ยมไปด้วยความกระฉับกระเฉงในยามเช้า แล้วก็มีสง่าราศีอย่างมาก เพียงมองดูก็รู้ว่าเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจในตระกูลฉิน
สวย! สายตาของหลัวคังอันถูกรูปร่างอันเย้ายวนของฉินอี๋ดึงดูดสายตาเอาไว้ทันที ภายในดวงตาเปล่งประกายระยิบระยับ รีบดับซิการ์ที่ถืออวดไปอวดมาอยู่ในมือ
ฉินอี๋เดินตรงไปนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ตรงปลายด้านหนึ่งของโต๊ะ ข้อศอกวางลงบนโต๊ะ นิ้วทั้งสิบประสานกัน กล่าวถามขึ้นมาอีกครั้งว่า “จะพูดเรื่องอะไรกับฉันหรือคะ?”
ผู้คุ้มกันฝาแฝดทั้งสองคนยืนอยู่ด้านหลังเธอ คนหนึ่งซ้ายคนหนึ่งขวา
“ท่านประธาน..” หลัวคังอันยิ้มเจื่อน ท่าทางดูกระอักกระอ่วนเป็นอย่างมาก
สำหรับผู้หญิงอย่างฉินอี๋แล้ว เขามีทั้งความปรารถนาอยากได้มาครอบครอง แล้วก็มีทั้งความรู้สึกหวาดกลัว
หลังรู้จักฉินอี๋ได้ไม่นาน ฉินอี๋ก็จัดการคนคนหนึ่งอย่างไม่ปราณีต่อหน้าเขา
ความจริงแล้วนั่นเป็นเรื่องที่ฉินอี๋จงใจทำ เมื่อต้องเจอกับกิริยาและคำพูดที่ไม่รู้มารยาทของคนผู้นี้ เพื่อที่จะไม่ทำให้เกิดปัญหาภายหลัง เธอจึงจงใจข่มขวัญหลัวคังอัน ขู่ให้เขากลัว!
ไป๋หลิงหลงเดินเข้าไปหาฉินอี๋ รีบกล่าวรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
หลังได้ฟัง ฉินอี๋ก็กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “คุณหลัว นี่เป็นการจัดการของทางหอการค้า หอการค้าก็มีแผนการของหอการค้าอยู่ เราไม่ทำงานโดยใช้ความเคยชินของคนคนเดียว หวังว่าคุณจะยอมทำตามด้วยนะคะ”
หลัวคังอันกล่าว “ท่านประธาน ผมทำก็เพราะหวังดีต่อหอการค้า…”
ฉินอี๋พูดตัดบท “เข้าใจค่ะ ความเคยชินล้วนเป็นสิ่งที่ค่อยๆ พัฒนาขึ้นมา ปัญหานี้ไม่ใช่เหตุผลที่จะนำมาอ้างได้ เราค่อยๆ ปรับตัวไปได้ค่ะ ฉันไม่อยากให้มีใครแสดงท่าทีขัดขืนต่อการจัดการของทางหอการค้าอย่างเปิดเผย เราไม่อาจปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ หากมีอะไรไม่พอใจ ก็ค่อยเสนอออกมาระหว่างที่ปรับตัวก็ได้ค่ะ ความหมายของฉัน คุณเข้าใจไหมคะ?” สายตาเยือกเย็นจ้องมองไปที่เขา
คำพูดที่ขึ้นมาถึงปากของหลัวคังอันถูกตอกกลับจนพูดไม่ออก นั่นเรียกว่าความรู้สึกไม่ชอบใจ
ฉินอี๋กล่าว “จะว่าไปแล้ว พวกคุณก็ล้วนแต่เป็นนักเรียนที่ออกมาจากหลิงซาน ถือว่าเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกัน มีพื้นฐานของการปรับตัวเข้าหากันอยู่ แบบนี้ก็น่าจะสนิทกันได้ง่ายนะคะ”
หลัวคังอันประหลาดใจ เหลียวหน้ากลับไปมองหลินยวน “นายก็เป็นนักเรียนของหลิงซานเหรอ?”
นักเรียนของหลิงซานส่วนใหญ่จะได้เข้าไปอยู่ในบัญชีรายชื่อเซียนหลังจบการศึกษาและได้เข้าไปอยู่ในสภาเซียน แต่หลัวคังอันนั้นถูกขับออกมาจากบัญชีรายชื่อเซียน ถูกเตะออกมาจากสภาเซียนแล้ว เขาจึงไม่ค่อยทราบถึงสถานการณ์ของคนที่อยู่ตรงหน้าสักเท่าไร
เมื่อเจอกับความเย็นชาก่อนหน้านี้ ในเวลานี้หลินยวนจึงตอบไปเพียงว่า ‘อืม’
ฉินอี๋กล่าวตำหนิทันที “หลินยวน ทำงานให้กระฉับกระเฉงหน่อย” ก่อนจะเอียงศีรษะส่งสัญญาณให้เขาเข้าไป เพื่อให้เขาทำตัวนอบน้อมกับหลัวคังอัน
เป้าหมายของเธอคือต้องการให้หลินยวนได้เรียนรู้จากหลัวคังอัน เธอจึงย่อมไม่อยากให้หลินยวนทำให้หลัวคังอันรู้สึกไม่ชอบใจ
ตอนนี้หลินยวนทำอะไรผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงเดินไปตรงหน้าหลัวคังอัน เตรียมจะจัดการเรื่องตรงหน้าก่อนแล้วค่อยว่ากัน เขายื่นมือออกไปจับมืออีกครั้ง “คุณหลัว พวกเราเคยเจอกันแล้ว เราขึ้นเรือคุนลำเดียวกัน คุณ ผม แล้วก็เธอ…” หลินยวนพยักเพยิดหน้าไปยังผู้หญิงที่อยู่บนฉากแสง “ตอนที่มา พวกเราสามคนนั่งอยู่ด้วยกัน “น้ำเสียงและสายตามีความหมายที่ลึกซึ้งบางอย่างแฝงอยู่
คนอื่นๆ ทยอยหันหน้ามองไปยังจูลี่ที่อยู่บนฉากแสง
หลัวคังอันหันขวับกลับไปมองหลินยวนทันที ภายในหัวมีภาพภาพหนึ่งปรากฏขึ้นมา ภาพชายตกอับที่สวมเสื้อโค้ทหนัง หนวดเครารุงรัง ผมเผ้ายุ่งเหยิงคนหนึ่งค่อยๆ ซ้อนทับเป็นภาพเดียวกันกับผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าคนนี้
เขางุนงงไปทันที ก่อนจะสัมผัสได้ถึงสายตาที่แฝงเอาไว้ด้วยความหมายลึกซึ้งของอีกฝ่ายอีกครั้ง จู่ๆ พลันระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ยื่นมือไปจับมือหลินยวนแล้วเขย่าแรงๆ ก่อนจะดึงหลินยวนเข้ามา กางแขนทั้งสองข้างโอบกอดเอาไว้พร้อมกับตบหลังของหลินยวน กล่าวอย่างเป็นมิตรว่า “ที่แท้ก็คุณนี่เอง ที่แท้ก็เป็นรุ่นน้องที่หลิงซานนี่เอง คนกันเองทั้งนั้น คุยกันง่าย คุยกันง่าย!”
…………………………………………………………..