ตอนที่ 15 กวนเสี่ยวชิง
“นายไม่มีบัตรพนักงาน? แล้วจะเข้าไปยังไง?” หลัวคังอันถลึงตาพลางถาม ก่อนหน้านี้ตอนที่พูดถึงโรงอาหารชั้นสวรรค์ เขาเห็นอีกฝ่ายไม่พูดอะไร จึงนึกว่ามีบัตรพนักงานแล้ว
ตอนนี้ดูแล้ว คนคนนี้จะถูกจัดให้อยู่ในระดับใดก็ยังไม่อาจรู้ได้
หลินยวนส่ายศีรษะ “เขายังไม่ได้ให้ผม น่าจะเพิ่งมาเลยยังทำไม่เสร็จ”
ช่างเถอะ หลัวคังอันเองก็ไม่ได้ถามอะไรมากอีก คนคนนี้น่าจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย
เจ้าหน้าที่สาวที่เฝ้าอยู่หน้าประตูรีบกล่าวขอโทษทันที “คุณหลัว กฎของทางหอการค้าคุณเองก็ทราบ หากไม่มีบัตรพนักงานก็เข้าไปไม่ได้ ถ้ายังไงคุณลองให้คนข้างบนจัดการให้ไหมคะ?”
หลัวคังอันทำเสียงเหนื่อยใจ “กฎอะไรเยอะแยะวุ่นวาย? ก็แค่กินข้าวเท่านั้นเอง ถูกขวางอยู่หน้าประตูแล้วยังต้องหาคนมาจัดการให้ เห็นพวกเราเป็นอะไร?”
เจ้าหน้าที่หญิงยังคงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คุณหลัว ถ้าไม่สะดวกจริงๆ ล่ะก็ อย่างนั้นก็คงต้องไปใช้โรงอาหารชั้น ‘มนุษย์’ ที่อยู่ด้านล่างน่ะค่ะ”
ส่วนใหญ่โรงอาหารชั้นสวรรค์จะเป็นสถานที่ให้บุคลากรระดับสูงหรือไม่ก็คนที่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษได้ใช้รับประทานอาหาร โรงอาหารระดับปฐพีก็เป็นของเจ้าหน้าที่บริหารที่มีตำแหน่งสูงในระดับหนึ่ง ส่วนโรงอาหารชั้นมนุษย์นั้นเป็นของคนงานธรรมดาและเจ้าหน้าที่ระดับล่างทั่วไป รวมไปถึงคนนอกบางส่วนที่สามารถเข้ามาในหอการค้าได้ อย่างเช่นคนที่มาส่งของในเวลาพักทานอาหารพอดี พวกเขาก็สามารถเข้าไปใช้โรงอาหารได้
“ไป!” หลัวคังอันดึงหลินยวนเดินออกไป หลังเดินออกไปไกลแล้วก็เอื้อมมือไปโอบไหล่หลินยวนพลางกระซิบข้างหูว่า “ความจริงแล้วโรงอาหารชั้นสวรรค์หรือปฐพีอะไรนั่นไม่ได้มีอะไรน่าสนใจเลย กินไปกินมาก็มีแค่อาหารพวกนั้น ถ้าไม่เป็นเพราะอยากจะดูแลนาย ให้นายได้กินดีๆ หน่อย กลัวว่านายจะมองว่าฉันขี้เหนียว ตัวฉันก็ไม่อยากจะไปหรอก”
“ฉันจะบอกอะไรให้นะ ฉันมาที่นี่ก่อนนายอยู่หลายวัน ฉันไปสำรวจมาหมดแล้ว ความจริงโรงอาหารที่น่าสนใจจริงๆ ก็คือโรงอาหารชั้นมนุษย์ คนส่วนใหญ่ในหอการค้ามากินข้าวกันที่นั่น”
“หอการค้าตระกูลฉินเป็นหอการค้าอันดับหนึ่งในเมืองปู้เชวี่ย เงินเดือนค่อนข้างสูง คนจำนวนไม่น้อยล้วนอยากเข้ามาทำงาน น้องหลินเข้าใจความหมายของฉันใช่ไหม? พูดง่ายๆ ก็คือสาวโสดสวยๆ ที่ทำงานอยู่ในหอการค้าส่วนใหญ่ไปกินข้าวกันที่นั่น โรงอาหารชั้นสวรรค์ปฐพีอะไรนั่นมันมีการแบ่งระดับเอาไว้อยู่….ยังไงโรงอาหารชั้นมนุษย์ก็ดีกว่า เดี๋ยวไปถึงนั่นนายก็รู้เอง พอคนห้อยบัตรชั้นสวรรค์ไปนั่งที่นั่น รับรองเลยว่านายจะได้รู้ว่าอะไรคือมวลหมู่ไม้งดงาม สาวงามห้อมล้อม ช่างเป็นทิวทัศน์ที่งดงามที่สุด ฮี่ๆ!”
หลัวคังอันยิ้มจนดูคล้ายพังพอนที่ขโมยไก่ หลินยวนเหลียวหน้ามองเขาอยู่หลายครั้ง ในใจไม่อยากไป ทว่าหลัวคังอันเอาอกเอาใจเขาเป็นอย่างมาก อีกทั้งเขาก็เป็นผู้ช่วยของอีกฝ่ายด้วย
ทั้งสองขึ้นลิฟต์ลงไปชั้นล่าง ในตอนที่เข้าไปในโรงอาหารชั้นมนุษย์ ตรงหน้าประตูไม่มีแม้กระทั่งคนตรวจบัตรด้วยซ้ำ
แล้วก็ไม่จำเป็นต้องตรวจอะไร ขอเพียงเข้ามาในหอการค้าได้ ต่อให้เป็นคนนอกก็สามารถจ่ายเงินซื้อข้าวกินที่นี่ได้
จากที่หลัวคังอันเล่ามา ราคาอาหารของที่นี่ถูกกว่าข้างนอกอย่างมาก นี่ก็ถือเป็นการดูแลที่หอการค้ามีต่อพนักงาน
เมื่อได้ฟังคำแนะนำของคนผู้นี้ หลินยวนก็มั่นใจแล้วว่าคนผู้นี้ไม่ได้เพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรกแน่นอน
ทันทีที่เข้าไป โอ้โฮ! โต๊ะอาหารวางอยู่ทั่วทุกที่ นับไม่ถ้วนว่ามีคนอยู่มากน้อยเท่าไร อย่างน้อยๆ ก็ต้องเป็นพันคน เกรงว่าชั้นนี้ทั้งชั้นคงถูกเอามาทำเป็นโรงอาหารจนหมด
ทั้งสองคนเดินตรงไปสั่งอาหาร อาหารที่นี่เป็นแบบทำสำเร็จเอาไว้แล้ว สามารถสั่งได้ตามใจชอบ
หลัวคังอันถามหลินยวนว่าอยากกินอะไร หลินยวนไม่มีความรู้สึกอยากอาหารอะไร จึงกล่าวออกไปว่า ‘แล้วแต่’
หลัวคังอันจึงไม่ได้ถามอะไรมากอีก สั่งของอร่อยๆ แพงๆ มากองใหญ่
ที่นี่สามารถชำระค่าอาหารด้วยเงินสดได้ หรือจะแสดงบัตรพนักงานก็ได้ จากนั้นค่อยไปหักจากเงินเดือน หลัวคังอันเป็นเจ้ามือ เขาใช้บัตรของตัวเองจ่ายค่าอาหาร
ในเวลานี้หลินยวนถึงได้สังเกตเห็นว่าบัตรของเขาไม่เหมือนกับบัตรของคนอื่น บัตรของหลัวคังอันเป็นพื้นทอง ประดับประดาด้วยลวดลายก้อนเมฆ แตกต่างจากพื้นบัตรสีขาวของคนอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด
หลัวคังอันที่หยิบบัตรกลับมาไม่ได้ยัดมันกลับเข้าไปในกระเป๋า หากแต่เอามาห้อยไว้บนคอเหมือนอย่างคนอื่นๆ เห็นได้ชัดว่าต้องการอวดให้คนอื่นได้เห็น จากนั้นหมุนตัวเดินยกถาดอาหารไปหาที่นั่งกับหลินยวน
แล้วก็เป็นอย่างที่คาดเอาไว้ ระหว่างทางที่ทั้งสองคนเดินผ่านมีสายตามองมาทันที บางคนถึงขนาดเอาศอกกระทุ้งคนที่อยู่ข้างๆ ให้มองดู
เพียงดูก็รู้ว่าเป็นคนระดับสูงของหอการค้า เรื่องอื่นไม่ต้องไปพูดถึง เอาแค่ว่าคนที่สามารถห้อยบัตรระดับสวรรค์ได้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนที่ได้เงินเดือนสูง
สายตาของทั้งชายและหญิงทอดมองมาที่ทั้งสองคนไม่ขาดสาย ตรงตำแหน่งที่ทั้งสองคนเดินผ่าน พนักงานที่นั่งอยู่ที่โต๊ะก็ทยอยพบว่ามีคนที่ห้อยบัตรชั้นสวรรค์มากินข้าวที่นี่
หลินยวนหมดคำพูด เขาถือว่าได้เห็นวิธีการของคนผู้นี้แล้ว เขาอยากจะทำตัวเงียบๆ แต่คนผู้นี้ไม่ใช่คนที่จะอยู่อย่างเงียบๆ ได้เลย เรียกได้ว่านิสัยชอบทำตัวเด่นของเขามันฝังลึกจนยากจะแก้ไขได้แล้ว
หลินยวนลอบเตือนตัวเอง ดูเหมือนต่อไปคงต้องพยายามหลีกเลี่ยงที่จะเผยตัวในที่สาธารณะกับคนผู้นี้เสียแล้ว
ไม่มีโต๊ะว่าง เพราะว่าเป็นโต๊ะยาวที่ทุกคนนั่งด้วยกัน จะมากจะน้อยก็ล้วนแต่มีคนนั่งอยู่ที่โต๊ะ
ทั้งสองคนหาที่ว่างนั่งลงไป
หลินยวนจำต้องยอมรับเลยว่าคนผู้นี้มีประสบการณ์จริงดั่งว่า เมื่อคนเข้ามารับประทานอาหารเยอะขึ้นเรื่อยๆ โต๊ะที่ทั้งสองคนนั่งอยู่ก็มีหญิงสาวมานั่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ
และคนที่มีความกล้าเข้ามานั่งที่โต๊ะตัวนี้ ส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่มีความมั่นใจในรูปร่างหน้าตาของตัวเอง
จูเก่อม่าน! หลินยวนจำชื่อหญิงสาวที่ผิวพรรณขาวผ่อง รูปร่างร้อนแรง ใบหน้างดงามและมีเสน่ห์ที่นั่งอยู่ตรงข้ามผู้นี้เอาไว้แล้ว ช่วยไม่ได้ หลัวคังอัน ‘ถูกชะตา’ อีกฝ่าย จึงเป็นฝ่ายเข้าไปทักทายสอบถามชื่อของเธอ
ไม่นานทั้งสองก็พูดคุยกันอย่างมีความสุข ส่งเสียงหัวเราะคิกคักออกมาเป็นระยะ ท่าทีเหมือนเสียดายที่รู้จักกันช้าไป อยากจะไปนั่งด้วยกันให้รู้แล้วรู้รอด
หลังคุ้นเคยกันแล้ว จูเก่อม่านก็นึกอยากถามหลินยวนว่าเป็นใคร ขณะที่เอ่ยถาม หลัวคังอันคิดอยากจะตอบแทน จู่ๆ พลันเห็นสายตาเยียบเย็นของหลินยวนที่กวาดมองมา
ภายในสายตานั้นแฝงความเย็นชาเอาไว้ ทำให้หลัวคังอันจำฝังใจในทันที คำพูดขึ้นมาถึงปากก็กลืนกลับลงไป ตอบแบบกำกวมออกไปว่า “น้องชายผมเอง”
“คุณหลิน”
ในเวลานี้เอง ด้านข้างพลันมีเสียงทักทายที่แฝงไว้ด้วยความขวยเขินของหญิงสาวผู้หนึ่งดังขึ้นมา
หลินยวนเหลียวหน้ากลับไป รู้สึกค่อนข้างคุ้นตา คนที่เขาเคยพบที่นี่มีอยู่ไม่มาก เพียงพริบตาก็นึกขึ้นมาได้ว่าเธอคือหญิงสาวที่อยู่ตรงแผนกต้อนรับ เคยเจอหน้ากันสองครั้ง จึงพยักหน้าทักทายเล็กน้อย
ด้วยท่าทางนิ่งเงียบไม่ชอบพูดจาของหลินยวนทำให้ที่นั่งด้านข้างเขาว่างอยู่พอดี หญิงสาวคนนั้นเลยฉวยโอกาสมานั่งข้างหลินยวน
เมื่อเห็นท่าทีของหญิงสาวจากแผนกต้อนรับ อีกทั้งความรู้สึกตื่นเต้นไม่เป็นธรรมชาติของเธอนั้น คนอื่นๆ ก็เข้าใจทันทีว่าคนที่ไม่ค่อยพูดจาผู้นี้ก็มิใช่คนธรรมดาเช่นกัน
แซ่หลิน? หญิงสาวจำนวนไม่น้อยจำเอาไว้ ครุ่นคิดว่าเขาเป็นใครกัน ตระกูลฉินใหญ่โต การที่มีคนที่พวกเธอไม่รู้จักจึงเป็นเรื่องธรรมดา
ส่วนหญิงสาวจากแผนกต้อนรับก็กินไปพลางชวนหลินยวนพูดคุยไปพลาง
แต่ผลปรากฏว่าหลินยวนยังคงมีท่าทางไม่อยากจะเอ่ยปาก หญิงสาวผู้นั้นรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย จึงได้แต่ต้องกินข้าวไปเงียบๆ
ท่าทีเย็นชายากจะเข้าถึงได้ของหลินยวนเห็นได้ชัดว่าเป็นคนประเภทนิ่งเงียบไม่ชอบพูดจา ทำให้เกิดความรู้สึกสูงส่งจนไม่อาจเอื้อม ส่วนหลัวคังอันกับจูเก่อม่านก็พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน บริเวณตรงนั้นคล้ายไม่มีเรื่องอะไรให้หญิงสาวคนอื่นๆ มีส่วนร่วมได้แล้ว สายตาของหญิงสาวจำนวนไม่น้อยที่มองมาทางจูเก่อม่านเผยให้เห็นถึงความอิจฉาริษยาและความดูแคลนออกมาโดยไม่รู้ตัว
อย่างไรเสียก็ไม่มีเรื่องของตนแล้ว เช่นนั้นก็กินไปพูดคุยกับคนข้างๆ ไปก็แล้วกัน
ผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งเยื้องไปทางด้านขวาถูกเพื่อนร่วมงานเรียกว่ากวนเสี่ยวชิง เธอนัดกับหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ เอาไว้แล้วว่าเย็นนี้จะไปเที่ยวที่บ้านเธอเพื่อไปดูของอะไรสักอย่าง
ในตอนที่ได้ยินคำว่า ‘เขตเนินตะวันตก’ คิ้วของหลินยวนก็ขยับขึ้นมาเล็กน้อย ตะเกียบที่อยู่ในมือหยุดชะงัก ภายในดวงตาเผยให้เห็นถึงแววตาที่หวนคิดถึงความหลังบางอย่าง หลังได้สติขึ้นมา เขาก็เงยหน้ามองไปทางกวนเสี่ยวชิง จากนั้นพลันถามออกไปว่า “เธอชื่อกวนเสี่ยวชิงเหรอ?”
กวยเสี่ยวชิงที่กำลังพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานถูกเรียกชื่อ จึงหันหน้ามาอย่างงุนงง จากนั้นพยักหน้าหงึกๆ ตอบว่า “ใช่ค่ะ”
หลินยวนกล่าวถาม “เขตเนินตะวันตกมีคนชื่อกวนเสี่ยวไป๋ เธอรู้จักไหม?”
“…..” กวนเสี่ยวชิงดูงุนงงอย่างเห็นได้ชัด ท่าทางคล้ายอยากจะพูดอะไรแต่ก็หยุดไป สุดท้ายก็กล่าวตอบกลับมาอย่างระแวงเล็กน้อยว่า “พี่ชายของฉันเองค่ะ”
อีกฝ่ายเห็นได้ชัดว่าเป็นคนระดับสูงของหอการค้า เธอไม่คิดว่าพี่ชายของตัวเองจะรู้จักคนระดับนี้ของหอการค้าได้ มิเช่นนั้นไม่มีทางที่พี่ชายจะไม่บอกตนเอง หากพี่ชายของตัวเองรู้จักคนแบบนี้ก็คงจะแนะนำให้ตัวเองรู้จักตั้งนานแล้ว
ตอนนี้เธอไม่เข้าใจว่าที่อีกฝ่ายเอ่ยชื่อพี่ชายของตัวเองออกมานั้นเป็นเรื่องดีหรือว่าเรื่องไม่ดี
หลัวคังอันหยุดการสนทนากับจูเก่อม่าน หันหน้ามองมาทางทั้งสองคน คนอื่นๆ เองก็มองมาเช่นกัน
หลินยวนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ตอนเขาอยู่ที่เมืองปู๋เชวี่ยก็ไม่ใช่คนที่อาศัยอยู่อย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพัง หากแต่มีเพื่อนสนิทในวัยหนุ่มอยู่เช่นเดียวกัน เขาย่อมต้องทราบถึงสถานการณ์ภายในครอบครัวของกวนเสี่ยวไป๋เป็นอย่างดี อีกฝ่ายมีน้องสาวตั้งแต่เมื่อไร? จึงถามออกไปทันทีว่า “พี่ชายแท้ๆ เหรอ?”
กวนเสี่ยวชิงพยักหน้า
หลินยวนสังเกตเห็นว่าทุกคนต่างมองมาที่ตนเอง จึงรีบกล่าวขอโทษหญิงสาวจากแผนกต้อนรับที่นั่งอยู่ข้างกายว่า “รบกวนแลกที่กับเธอหน่อยได้ไหมครับ?”
ภายในใจหญิงสาวจากแผนกตอนรับรู้สึกไม่ค่อยสบาย แต่เธอก็ไม่กล้าแสดงท่าทีไม่พอใจใดๆ สุดท้ายยังคงยิ้มพลางพยักหน้า ยกถาดอาหารลุกออกไป
กวนเสี่ยวชิงกระอักกระอ่วนทำตัวไม่ถูก หลินยวนกวักมือเรียกเธอ บอกให้เธอย้ายมานั่งข้างๆ เขา
สุดท้ายกวนเสี่ยวชิงก็จำต้องยกถาดอาหารเดินมา ก่อนจะนั่งลงข้างกายหลินยวนด้วยความประหม่า ความคิดที่อยากจะโปรยเสน่ห์ของตัวเองในตอนแรกหายไปแล้ว ตอนนี้ภายในใจรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย
ร่างกายหลินยวนโน้มเข้าไปหาเธอ กล่าวถามเสียงเบาๆ ว่า “เธออายุเท่าไรแล้ว?”
กวนเสี่ยวชิงลังเลเล็กน้อย ก่อนกล่าวตอบว่า “สามสิบสามค่ะ”
เด็กขนาดนี้เลย มิน่าล่ะ! หลินยวนอมยิ้มเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอกับน้องสาวของกวนเสี่ยวไป๋โดยบังเอิญได้ จึงกล่าวกับเธอเสียงเบาๆ ว่า “ไม่ต้องกลัว ฉันเป็นเพื่อนของพี่ชายเธอ เพิ่งกลับมาจากข้างนอก”
เมื่อได้ยินว่าเป็นเพื่อนของพี่ชาย กวนเสี่ยวชิงก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที เธอมองออกว่าเขาไม่อยากทำตัวเป็นจุดเด่น จึงโน้มศีรษะเข้ามาใกล้เขา กล่าวเสียงเบาๆ ว่า “ฉันรู้จักเพื่อนของพี่ชายฉันทุกคน แต่ฉันไม่เคยเจอคุณมาก่อน คุณแซ่หลินใช่ไหมคะ? ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรหรือคะ?”
หลินยวนกล่าว “หลังเลิกงานแล้วเธอไปถามพี่ชายเธอ เขาจะรู้เองว่าฉันเป็นใคร ไม่ได้เจอพี่ชายเธอมาหลายปีแล้ว กำลังคิดอยู่พอดีว่าจะไปหาหลังเลิกงาน พวกเธอยังอยู่ที่เดิมใช่ไหม?”
ความจริงเขาเองก็ไม่ได้เตรียมตัวอะไร ก่อนหน้านี้ก็เคยมีคิดเอาไว้อยู่ว่าจะไปหา แต่ก็ลังเลมาโดยตลอด ทว่าหลังจากที่ได้เจอน้องสาวของกวนเสี่ยวไป๋ เขาก็ตัดสินใจได้ แล้วก็คิดได้ว่าถ้าหากมีเรื่องอะไรพัวพันมาถึงที่นี่จริงๆ ยังไงความสัมพันธ์ของเขากับกวนเสี่ยวไป๋ก็ไม่มีทางปกปิดเอาไว้ได้เช่นกัน สุดท้ายก็ต้องลากกวนเสี่ยวไป๋มาเกี่ยวข้องด้วยอยู่ดี
กวนเสี่ยวชิงพยักหน้าหงึกๆ “ยังอยู่ที่เดิมค่ะ บ้านฉันไม่เคยย้ายไปไหน…ไม่ทราบว่าคุณไม่ได้กลับมานานเท่าไรแล้วคะ ตอนนี้มีถนนสร้างขึ้นมาใหม่ ถ้าไง ให้ฉันพาคุณไปหลังเลิกงานเย็นนี้ไหมคะ?” เธอกล่าวด้วยสายตาที่ตื่นเต้นและเฝ้ารอคอย
หลินยวนยิ้มพลางกล่าว “ตกลง”
ทั้งสองคนก้มหน้าก้มตาพูดจากระซิบกระซาบกัน ท่าทางดูสนิทสนมกันอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นจึงมีสายตาอิจฉาริษยามองมาทางกวนเสี่ยวชิงเช่นเดียวกัน
…….
อาหารเลิศรสถูกตั้งเอาไว้เต็มโต๊ะ หลังพนักงานเสิร์ฟเดินออกไปแล้ว ไป๋หลิงหลงจึงเดินเข้าไปหาฉินอี๋พลางกล่าว “กินเถอะค่ะ ตอนบ่ายยังมีงานอีกเยอะ”
ฉินอี๋ที่ยืนเท้าเปล่าอยู่ตรงหน้าต่างไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อได้ยินเช่นนี้จึงกล่าวอย่างใจเย็นว่า “นิสัยหลัวคังอันเป็นคนกะล่อน เขาน่าจะต้องเลี้ยงข้าวแน่นอน หลินยวนไม่มีบัตรพนักงานก็เข้าไปในพื้นที่ระดับสูงไม่ได้ แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มาถามเรื่องบัตรพนักงาน…ในเวลาทำงานหากไม่มีธุระก็ห้ามออกไปข้างนอก ลองไปตรวจดูหน่อยว่าทั้งสองคนได้ไปกินข้าวหรือเปล่า ถ้าไป พวกเขาก็น่าจะอยู่ที่โรงอาหารชั้นมนุษย์”
……………………………………………………………….