ตอนที่ 45 ตัดสินใจเลือก
ระหว่างทาง สองสามีภรรยาที่ถูกลากไปบนพื้นมองเห็นรอยคราบเลือดเปรอะเปื้อนอยู่เป็นระยะ อีกทั้งยังมีซากศพที่ไม่รู้ว่าถูกตัดขาดไปตั้งแต่เมื่อไรที่อยู่ท่ามกลางคราบเลือดเหล่านั้น
สองสามีภรรยาคาดเดาได้ว่ามันเกิดขึ้นจากสิ่งใด แล้วก็พอจะจินตนาการออกว่าเหตุใดคนคุ้มกันที่อยู่ด้านนอกถึงได้ปล่อยให้ศัตรูบุกเข้าไปใกล้พวกเขาได้อย่างง่ายดาย ไม่มีใครเข้าไปรายงานเลยแม้แต่คนเดียว
เพราะว่าพวกเขาได้รู้ซึ้งถึงความร้ายกาจของเจ้าสิ่งที่ลึกลับและมองไม่เห็นสิ่งนั้นแล้ว ในตอนที่ใช้ออกมาแทบจะไม่รู้เลยว่ามันเข้ามาใกล้ตั้งแต่เมื่อไร กว่าจะรู้ตัวพวกเขาสองสามีภรรยาก็ตกอยู่ในตาข่ายนั้นแล้ว กระทั่งคิดจะหลบหนีเข้าไปในอุโมงค์ลับก็ยังไม่ทันการ
เพียงคนคนเดียว แต่กลับฝ่าการคุ้มกันที่หนาแน่นเข้ามาได้อย่างเงียบเชียบ จับพวกเขาสองสามีภรรยาเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังสังหารคนไปเป็นจำนวนมากโดยไม่แยแสกฎหมายของดินแดนเซียน
ภายในใจของสามีภรรยากำลังคาดเดาด้วยความหวาดกลัว คนผู้นี้เป็นใครกันแน่ ในเมืองปู๋เชวี่ยมีคนแบบนี้ปรากฏขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร?
ทั้งสองคนนึกเสียใจขึ้นมาเล็กน้อย ตระกูลฉินก็คือตระกูลฉิน ไม่ใช่ว่าใครจะมาหาเรื่องตระกูลฉินในเมืองปู๋เชวี่ยได้ เสียใจว่าตนเองไม่ควรไปยุ่งกับคนของตระกูลฉินเลย
ทั้งสองคนแทบจะมั่นใจว่านี่เป็นคนที่ตระกูลฉินส่งมา คิดว่าในเมืองปู๋เชวี่ยก็มีแต่ตระกูลฉินเท่านั้นถึงจะมีความสามารถทำเรื่องแบบนี้อย่างเงียบๆ ได้
บนพื้นที่ที่อบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือดของชีวิตหลายสิบชีวิต หลินยวนลากสองสามีภรรยาเดินจากไป
……
บนเนินเขาเล็กๆ แห่งหนึ่งมีบ้านหลังหนึ่งตั้งอยู่ รถคันหนึ่งขับวนขึ้นเนินเขาไป
ประตูหน้าเปิดออก ปล่อยให้รถเข้าไปด้านใน รถจอดอยู่ภายในสวน
เฉาลู่ผิงที่ยืนรอต้อนรับรีบเดินเข้ามาเปิดประตูรถ โค้งกายทำความเคารพไป๋ซานเป้าผู้เป็นพ่อบ้านตระกูลฉินที่ลงมาจากรถเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มพลางกล่าวว่า “เป้าเหยี่ย ลมอะไรหอบคุณมาถึงนี่ครับเนี่ย”
ไป๋ซานเป้ากวาดตามองไปรอบด้าน “เฉาเหยี่ยไม่มาเยี่ยมฉัน ฉันก็เลยได้แต่ต้องมาเยี่ยมเฉาเหยี่ยแทน”
เฉาลู่ผิงหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย กล่าวว่า “ดูคุณพูดเข้าสิครับ กระผมรับเอาไว้ไม่ไหวหรอกครับ เชิญด้านในครับ เชิญ” เขาผายมือเชิญอีกฝ่ายเข้าไปนั่งด้านในอย่างเคารพนอบน้อม
ไป๋ซานเป้าเดินสองมือไพล่หลังตามเข้าไป เฉาลู่ผิงคอยผายมือนำทางอยู่เบื้องหน้า
แขกและเจ้าบ้านเข้ามานั่งด้านใน ชาถูกยกออกมาต้อนรับ เฉาลู่ผิงรับเอาถ้วยน้ำชามาให้ไป๋ซานเป้าด้วยตัวเอง
ไป๋ซานเป้ารับถ้วยน้ำชามาด้วยมือข้างเดียว วางลงบนโต๊ะชาที่อยู่ด้านข้าง กวาดตามองดูคนอื่นๆ ที่ยืนสีหน้าคร่ำเคร่งอยู่ภายในห้อง กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “นี่ไม่ไว้ใจฉันหรือว่ายังไงกัน ทำไมถึงต้องให้คนมากมายขนาดนี้มาคอยเฝ้า?”
“เปล่าครับๆ เป็นแค่วิธีการทำงานตามปกติของพวกเขาเท่านั้น” เฉาลู่ผิงกล่าวอธิบายเล็กน้อย จากนั้นโบกมือส่งสัญญาณ คนอื่นๆ ที่อยู่ภายในห้องรับแขกถอยออกไป
ไป๋ซานเป้าเคาะโต๊ะชาเล็กน้อยเพื่อบอกให้เขานั่งลงคุยกัน
เฉาลู่ผิงนั่งลงอย่างว่านอนสอนง่าย ท่าทางตั้งใจพร้อมรับฟัง “เป้าเหยี่ยมาเยือนกลางดึก ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรชี้แนะหรือครับ?”
ไป๋ซานเป้ากล่าว “ฉันเองก็เคยเป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในโลกใต้ดินของเมืองปู๋เชวี่ยมาก่อน ตอนนี้นายเป็นผู้นำของโลกใต้ดิน อย่างนั้นฉันก็จะไม่อ้อมค้อมกับนายแล้วกัน”
เฉาลู่ผิงพยักหน้า “ได้ครับ เป้าเหยี่ยเป็นผู้นำสองรุ่นก่อน หากพูดถึงเรื่องความอาวุโสแล้ว เป้าเหยี่ยเรียกได้ว่าเป็นอาจารย์ปู่ของกระผม ทั้งใต้ดินบนดินในเมืองปู๋เชวี่ย มีใครกล้าไม่ให้เกียรติเป้าเหยี่ยบ้าง เป้าเหยี่ยมีเรื่องอะไรเชิญว่ามาได้เต็มที่เลยครับ”
ไป๋ซานเป้ายิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยอีกครั้งว่า “ได้ยินว่าช่วงนี้นายใกล้ชิดกับคนของตระกูลโจวเหรอ?”
เฉาลู่ผิงยิ้มเล็กน้อย “รู้อยู่แล้วว่าไม่อาจปิดบังเป้าเหยี่ยได้ ใช่ครับ เจ้าหยวนเฉินที่เป็นหลานนอกของประธานโจวมาหาผม ให้ผมช่วยงานบางอย่าง”
ไป๋ซานเป้ากล่าว “ทำอะไรล่ะ?”
เฉาลู่ผิงกล่าว “รายละเอียดไม่แน่ชัดครับ ไอหมอนั่นทำตัวลับๆ ล่อๆ ไม่รู้ว่าทำอะไรอยู่ ผมเองก็รับผิดชอบแค่เรื่องสืบข่าวบางอย่างให้เขา”
ไป๋ซานเป้ากล่าว “ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีกับตระกูลฉินใช่ไหม?”
“ผมเนี่ยนะครับ?” เฉาลู่ผิงทำท่าทางตกใจ “จะเป็นไปได้ยังไงครับ ตระกูลฉินมีผู้ยิ่งใหญ่อย่างเป้าเหยี่ยคอยดูแล ผมจะไปกล้าทำแบบนั้นได้ยังไงครับ”
ไป๋ซานเป้าร้องอ้อ “เมื่อคืนนี้ ผู้หญิงที่ชื่ออู่เวยในไนต์คลับคนนั้นมันยังไงกันแน่?”
“….” เฉาลู่ผิงนิ่งเงียบไปทันที รู้ว่าอีกฝ่ายทราบสถานการณ์มาบ้างแล้ว จะให้แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องต่อไปคงจะไม่เหมาะ
ทั้งๆ ที่ระมัดระวังอย่างมากแล้ว แต่ก็ยังถูกอีกฝ่ายรู้จนได้ สายตาเขาหลุกหลิกเล็กน้อย กำลังครุ่นคิดว่าควรจะตอบอย่างไร
หากตอนนี้แตกหักกับอีกฝ่าย นั่นก็เท่ากับแตกหักกับตระกูลฉินด้วย เขายังไม่กล้า
ไป๋ซานเป้าเหลือบมองด้วยสายตาเย็นชา สังเกตดูสีหน้าท่าทางอยู่ครู่หนึ่ง “ผู้หญิงที่ชื่ออู่เวยคนนั้นเข้าหาหลัวคังอันของหอการค้าตระกูลฉิน นี่เป็นแผนของนายใช่ไหม?”
เฉาลู่ผิงนิ่งเงียบไม่พูดอะไร
ไม่พูดก็เท่ากับยอมรับ ไป๋ซานเป้ากล่าว “เมื่อกี้นายเองก็เป็นคนเอ่ยเรื่องลำดับอาวุโส เห็นแก่ที่พวกเราต่างก็เคยผ่านความยากลำบากอยู่ในที่แบบเดียวกันมา ฉันจะไม่บีบบังคับนาย ฉันเองก็ไม่อยากให้คนรุ่นหลังพูดว่าฉันได้ดีแล้วลืมพวกพ้อง พูดมาเถอะ พวกตระกูลโจวกำลังวางแผนทำอะไร?”
เฉาลู่ผิงลังเลอยู่ครู่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองเขา กล่าวเสียงอ่อยว่า “เป้าเหยี่ย ถึงแม้คุณจะล้างมือไปแล้ว แต่ก็น่าจะรู้ว่าคนแบบพวกเราก็มีปัญหาของพวกเราอยู่ ตระกูลโจวมีทั้งเงินทั้งอำนาจ พวกเขาหาผมเจอแล้ว ผมเองก็ไม่สามารถหลบได้ ถ้าผมขัดขืน พวกเขาไม่มีทางปล่อยผมไปแน่ หวังว่าคุณจะเห็นใจผมด้วย”
ไป๋ซานเป้ากล่าว “อยู่ในเมืองปู๋เชวี่ย นายกลัวตระกูลโจว แต่ไม่กลัวตระกูลฉินอย่างนั้นเหรอ? ดูเหมือนฉันจะแก่แล้วจริงๆ”
เฉาลู่ผิงกล่าว “เป้าเหยี่ย ฝั่งไหนผมก็ล่วงเกินไม่ไหว ฝั่งไหนผมก็ไม่อยากล่วงเกินทั้งนั้น”
ไป๋ซานเป้ากล่าว “ฝั่งไหนก็ไม่อยากล่วงเกิน ก็เลยล่วงเกินทั้งสองฝ่ายสินะ คนที่คุมเมืองปู๋เชวี่ยแห่งนี้คือตระกูลฉิน ไม่ใช่ตระกูลโจว หัวหน้าใหญ่ในโลกใต้ดินคนก่อนตายยังไง นายน่าจะรู้ดี เขากล้าดีช่วยคนนอก ทั้งยังทำให้คุณนายฉินต้องตาย ท่านประธานใหญ่ย่อมไม่มีทางปล่อยเขาไป”
“การที่นายขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ ท่านประธานใหญ่เองก็มีส่วนช่วยนายทางอ้อมอยู่เหมือนกัน ลู่ผิง ถึงแม้สินน้ำใจที่ตระกูลฉินให้นายในแต่ละปีจะไม่ได้มาก แต่ก็ไม่ได้ให้เปล่าเช่นกัน ท่านประธานใหญ่เกลียดคนที่กินบนเรือนขี้รดบนหลังคาที่สุด นายรับเงินไปแล้วไม่ช่วยก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ยังไปช่วยคนนอกอีก ไม่ว่าที่ไหนก็ไม่มีใครเขาทำกันแบบนี้”
“ท่านประธานใหญ่โกรธมาก แต่เพราะเห็นแก่หน้าฉัน ท่านถึงได้ยอมให้โอกาสนายอีกครั้งหนึ่ง คิดดีๆ ล่ะ!”
เฉาลู่ผิงยังคงนิ่งเงียบ ยกมือลูบศีรษะที่ล้านเกลี้ยงของตัวเองเป็นระยะ
ไป๋ซานเป้าลุกขึ้น “อย่าคิดว่าเรื่องที่ตัวเองเคยทำมาจะไม่มีใครรู้ ฉันพูดกับนายได้เต็มปากเลยว่าท่านประธานรู้จุดอ่อนของพวกนายอยู่เต็มไปหมด ขอเพียงท่านอยากจะล้มโต๊ะ คนของผู้พิทักษ์เมืองก็สามารถมาจัดการพวกนายได้ทันที นายแน่ใจหรือว่าจะหนีไปได้? เมื่อคนที่หลบอยู่ใต้ดินหมดประโยชน์แล้ว อีกทั้งยังจะส่งกลิ่นเหม็นออกมาอีก ท่านไม่มีทางเก็บพวกนายเอาไว้แน่นอน หากแต่จะกำจัดพวกนายทั้งหมดแล้วหาคนมาทำงานแทนพวกนาย สมัยนี้คนที่อยากจะขึ้นมานั่งในตำแหน่งนี้มีเยอะแยะเต็มไปหมด ก็เหมือนอย่างนายในตอนนั้น!”
เฉาลู่ผิงเงยหน้ามองเขาทันที ลอบรู้สึกตกใจ ขณะเดียวกันก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนเช่นกัน
ไป๋ซานเป้ากล่าว “ฉันให้เวลานายหนึ่งคืน นายไปคิดดูดีๆ พรุ่งนี้เช้าฉันต้องการคำตอบจากนาย ที่ฉันจะพูดก็มีเพียงเท่านี้แหละ นี่ถือว่าฉันเมตตามากแล้ว นายตัดสินใจเอาเองก็แล้วกัน” กล่าวจบก็หมุนตัวจากไป
เฉาลู่ผิงขบกรามคร่ำเคร่ง แต่ก็ยังไม่ลืมวิ่งออกมาส่ง เขาส่งอีกฝ่ายมาถึงหน้ารถพร้อมเปิดประตูรถให้ด้วยตัวเอง ก่อนจะส่งไป๋ซานเป้าขึ้นรถไปอย่างนอบน้อม
หลังรถวิ่งมาถึงทางหลักแล้ว ไป๋ซานเป้าที่นั่งเงียบๆ อยู่ด้านหลังรถก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “กล้าเล่นลิ้นอย่างนั้นเหรอ! ถ้ายังไม่รู้สำนึกจริงๆ ก็อย่าว่าฉันไม่เกรงใจแล้วกัน แจ้งคนของเราให้มาจับตาดูเฉาลู่ผิงเอาไว้ อย่าปล่อยให้มันหนีไปได้!”
“ครับ” คนที่นั่งอยู่ด้านข้างคนขับรับคำสั่ง หยิบเอาโทรศัพท์มือถือออกมา ไม่รู้ว่าติดต่อหาใคร
ตรงประตูทางเข้า หลังเห็นรถลงจากเขาไปแล้ว เฉาลู่ผิงก็หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในบ้านเช่นกัน เมื่อกลับมาถึงโถงรับแขก สายตาเหลือบมองเห็นชาที่ยังไม่ได้ดื่มลงไปถ้วยนั้น จึงยื่นมือปัดออกไป ถ้วยชาแตกกระจาย บนใบหน้ามีสีหน้าดุร้ายปรากฏขึ้นมา “ไอแก่ ตัวเองล้างมือขึ้นฝั่งไปแล้ว แต่ก็ยังมาอวดดีถึงที่นี่อย่างนั้นเหรอ” ก่อนจะแค่นเสียงเหอะออกมา ไม่ได้มีท่าทีเคารพนอบน้อมแบบเมื่อครู่หลงเหลืออยู่เลย
ในเวลานี้เอง ด้านนอกมีคนวิ่งเข้ามากล่าวรายงานว่า “เฉาเหยี่ย พาอู่เวยมาแล้วครับ”
เฉาลู่ผิงยกมือขึ้นมาเพื่อบอกให้รอก่อน แล้วก็ไม่ได้พูดอะไร หากแต่ลูบศีรษะที่โล้นเกลี้ยงเดินไปเดินมา
เขากำลังรู้สึกลำบากใจจริงๆ ไม่ว่าคำพูดของไป๋ซานเป้าเมื่อครู่นี้จะเป็นเจตนาดีหรือว่าการข่มขู่ แต่สิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวมานั้นคือความจริง ฉินเต้าเปียนสามารถกำจัดเขาทิ้งได้ทันที
เขารู้ว่าการที่ตัวเองไปเข้ากับตระกูลโจวจะเป็นการล่วงเกินตระกูลฉิน จะทำให้ตัวเองเกิดปัญญา แต่เขาก็เคยคิดถึงผลดีผลเสียของเรื่องนี้มาแล้ว
เหตุผลนั้นง่ายมาก ตระกูลโจวมีอำนาจอย่างมาก อีกทั้งตระกูลพานเองก็กำลังเล่นงานตระกูลฉินอยู่ เกรงว่าตระกูลฉินคงยากจะรอดไปได้ เขาไม่มีทางมองดูตัวเองต้องตายไปพร้อมตระกูลฉินโดยไม่ทำอะไร
สรุปแล้วก็คือเขาไม่คิดว่าครั้งนี้ตระกูลฉินจะมีโอกาสชนะ เขาถึงได้ไปเข้ากับทางตระกูลโจว
อีกทั้งคำสัญญาของตระกูลโจวก็ทำให้เขาหวั่นไหวด้วย คนในโลกใต้ดินที่ก้าวมายืนอยู่ในตำแหน่งนี้เหมือนอย่างเขาไม่อยากจะใช้ชีวิตอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ไปทั้งชีวิต เมื่อได้สิ่งที่ดีมาแล้วก็ย่อมอยากได้สิ่งที่ดีกว่า แล้วก็อยากจะขึ้นไปอยู่ด้านบน อยากจะทำงานและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขหลังล้างมือออกจากวงการเหมือนอย่างไป๋ซานเป้า
ลองดูชีวิตของไป๋ซานเป้าในตอนนี้สิว่าดีแค่ไหน คนทั้งใต้ดินบนดินล้วนแต่ต้องให้เกียรติเขา เป็นถึงหัวหน้าพ่อบ้านของตระกูลฉิน ไป๋หลิงหลงที่เป็นหลานสาวแทบจะกลายเป็นคุณหนูรองของตระกูลฉินไปแล้ว คนในโลกใต้ดินทั่วทั้งเมืองปู๋เชวี่ยมีใครบ้างไม่อิจฉา?
เมื่อเดินมาถึงจุดนี้ ไป๋ซานเป้าย่อมต้องภักดีกับตระกูลฉิน เพราะว่าเขาเข้าไปพัวพันอยู่กับผลประโยชน์ของตระกูลฉินแล้ว
ส่วนตัวเขาล่ะ? เมื่อมีไป๋ซานเป้าอยู่ ในตระกูลฉินก็ไม่มีที่ให้เขายืน หากคิดอยากจะเข้าไปอยู่ในตระกูลฉินก็ต้องถามไป๋ซานเป้าก่อนว่าเห็นด้วยหรือไม่ ซึ่งไป๋ซานเป้าย่อมไม่มีทางยอมให้คนเข้ามาแทนที่ตัวเองอย่างแน่นอน
เขาอยากจะรอดูสองตระกูลจากด้านนอกตัดสินแพ้ชนะกับตระกูลฉินอย่างเงียบๆ ใครจะไปคิดถึงว่าจะโดนเปิดเผยเร็วขนาดนี้
หลังลังเลครุ่นคิดกลับไปกลับมาอยู่ครู่ เฉาลู่ผิงก็โบกมือพลางกล่าวว่า “นายออกไปก่อน ขอฉันอยู่เงียบๆ คนเดียวหน่อย”
ลูกน้องพยักหน้าแล้วถอยออกไป
ณ หออวิ้นเสีย หญิงสาวคนหนึ่งเดินขึ้นมาชั้นบน เธอคือผู้ติดตามคนสนิทของเจ้าหยวนเฉิน
เมื่อเดินมาถึงข้างกายเจ้าหยวนเฉินที่งีบหลับอยู่บนเก้าอี้นอน หญิงสาวค้อมกายกล่าวว่า “มีข่าวแจ้งมาจากทางหัวล้าน ไป๋ซานเป้าที่เป็นพ่อบ้านตระกูลฉินเพิ่งจะไปเจอกับหัวล้านมาค่ะ”
เจ้าหยวนเฉินพลันลืมตาขึ้นมา กล่าวถามว่า “เป็นยังไงบ้าง?”
หญิงสาวกล่าว “คุยกันแค่ครู่เดียวค่ะ ดูแล้วน่าจะยังตกลงกันไม่ได้ หัวล้านดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจเท่าไร น่าจะไม่ได้พูดอะไรออกไปค่ะ”
เจ้าหยวนเฉินแค่นหัวเราะ “ให้ทางนั้นจับตาดูเอาไว้ ถ้าเห็นเฉาลู่ผิงทำตัวแปลกๆ…ถ้ามันคิดไม่เป็นจริงๆ ก็ปิดปากมันซะ”
ขณะที่เขาเพิ่งพูดจบ โทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะด้านข้างก็ดังขึ้นมา หญิงสาวเดินเข้าไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เหลียวหน้ากลับมาพูดว่า “หัวล้านค่ะ”
เจ้าหยวนเฉินร้องอ้อออกมาอย่างรู้สึกสนใจ ยื่นมือไปรับเอาโทรศัพท์มือถือมา พลิกตัวแล้วเอาโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู ยิ้มพลางกล่าวว่า “เฉาซยง”
เสียงของเฉาลู่ผิงดังออกมาจากในโทรศัพท์ กล่าวเปิดประเด็นตรงๆ ว่า “เจ้าซยง เมื่อครู่ไป๋ซานเป้าที่เป็นพ่อบ้านของตระกูลฉินมาหาผมครับ”
เจ้าหยวนเฉินแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง กล่าวว่า “ได้ยินว่าเขาเคยเป็นพวกเดียวกันกับพวกนายนี่ มาหานายก็ปกติไม่ใช่เหรอ?”
เฉาลู่ผิงกล่าวว่า “ไม่ได้มารำลึกความหลังกัน เขารู้เรื่องที่ผมช่วยคุณสืบเรื่องตระกูลฉินแล้ว ก็เลยมาเตือนผม อยากให้ผมบอกว่าพวกคุณกำลังแอบทำอะไรกันอยู่”
เจ้าหยวนเฉินกล่าว “แล้วนายได้บอกอะไรไปหรือเปล่า?”
เฉาลู่ผิงกล่าว “เปล่า ผมไม่ใช่คนกลับกลอกปากอย่างใจอย่าง คุณวางใจได้ แต่เขาให้เวลาผมคิดแค่คืนเดียว พรุ่งนี้เช้าผมต้องให้คำตอบเขา ถ้าพรุ่งนี้ให้คำตอบที่พึงพอใจไม่ได้ เกรงว่าตระกูลฉินคงจะกำจัดผมทิ้งแบบไม่เหลือซากแน่”
……………………………………………………….