ตอนที่ 46 ไม่ต้อง
เจ้าหยวนเฉินกล่าว “คิดมากไปแล้ว ไม่มีอะไรต้องกลัว ไปเถอะ ไปคืนนี้เลย ไปหลบอยู่ที่ตระกูลโจวก่อน เดี๋ยวทางนั้นฉันจะจัดคนรอรับนายเอาไว้ เรื่องที่เหลือนายก็คอยสั่งการอยู่ทางด้านนั้นแล้วกัน เอาไว้ตระกูลฉินพังพินาศแล้วค่อยกลับมา สายรุ้งย่อมปรากฏขึ้นหลังพายุ เฉาซยง อนาคตของนายสดใสแน่นอน”
เฉาลู่ผิงกล่าว “ครับ ขอบคุณเจ้าซยงที่ช่วยเหลือ”
เจ้าหยวนเฉินกล่าว “ไม่ต้องขอบคุณ เรื่องธรรมดา ต่อไปฉันยังต้องให้นายช่วยงานในเมืองปู๋เชวี่ยอีก อย่าลืมเก็บกวาดให้สะอาดล่ะ อย่าให้เหลือร่องรอยอะไรทิ้งเอาไว้”
“รับทราบครับ” เฉาลู่ผิงวางโทรศัพท์ แหงนหน้าถอนหายใจ ในที่สุดก็รู้สึกโล่งใจ
เมื่อครู่เขายังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะไปอยู่ข้างไหน เขาเพียงแต่หยั่งเชิงดูท่าทางของเจ้าหยวนเฉินเท่านั้น การที่เจ้าหยวนเฉินจัดการเช่นนี้ก็เป็นสิ่งที่เขาต้องการพอดี ไม่อย่างนั้นถ้ายังอยู่ในเมืองปู๋เชวี่ยต่อไป เขาจะมีอันตรายเอาได้
ในที่สุดตอนนี้เขาก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไปเข้ากับทางตระกูลโจว
เหตุผลที่ตัดสินใจเช่นนี้ก็ง่ายมาก เขามองออกว่าตระกูลโจวกับตระกูลพานร่วมมือกัน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสองตระกูลที่ร่วมมือกันเช่นนี้ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตระกูลฉินไม่มีโอกาสเอาชนะได้เลย อีกไม่ช้าคงต้องจบเห่เป็นแน่ เขาไม่มีเหตุผลให้ต้องล่มจมไปพร้อมกับตระกูลฉิน นกที่ดีย่อมต้องรู้จักเลือกกิ่งไม้เกาะ
เขาหมุนตัวเดินไปที่ประตู ตะโกนสั่งลูกน้องว่า “พาคนเข้ามา”
ด้านนอกมีเสียงตอบรับ “ครับ” ส่วนเขาก็เดินกลับมานั่งลงที่เก้าอี้ที่ตั้งอยู่ตรงตำแหน่งเจ้าบ้าน ลูบศีรษะที่ล้านเกลี้ยงของตัวเองพลางรอคอย
ไม่นานอู่เวยก็มาถึง ถูกคนผลักเข้ามาในโถงรับแขก
เมื่อเห็นเฉาลู่ผิง อู่เวยก็เดินเข้าไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ กล่าวทักทายว่า “เฉาเหยี่ย”
เฉาลู่ผิงหัวเราะหึหึ “อู่เวย ทำงานได้ดีมาก นับแต่วันนี้ไป เธอไม่ต้องไปยุ่งกับเจ้าหลัวคังอันนั่นแล้ว งานของเธอจบแล้ว”
อู่เวยได้ยินเช่นนั้นก็งุนงงไปเล็กน้อย หลังได้สติขึ้นมา สีหน้าดูกระตือรือร้นขึ้นมาเล็กน้อย ลองกล่าวถามเสียงอ่อนว่า “เฉาเหยี่ย เรื่องที่คุณรับปากเอาไว้ ไม่ทราบว่า…?”
อีกฝ่ายเคยให้สัญญาเอาไว้ว่าขอเพียงทำงานเสร็จเรียบร้อยก็จะปล่อยแฟนของเธอไป จากนั้นก็จะให้เงินพวกเธอก้อนหนึ่ง ให้พวกเธอออกไปจากเมืองปู๋เชวี่ย ห้ามกลับมาที่นี่อีก
ความจริงแล้วทางนี้ได้ให้เงินเธอไปก่อนแล้วหนึ่งหมื่นมุกเพื่อทำให้เธอสบายใจ โดยจำนวนเงินทั้งหมดที่ตกลงเอาไว้ว่าจะให้เธอคือหนึ่งล้านมุก
เฉาลู่ผิงพยักเพยิดหน้าไปทางลูกน้องเล็กน้อย “พาแฟนของเธอเข้ามา”
ลูกน้องรับคำสั่งแล้วเดินออกไป ไม่นานก็ผลักคนเข้ามาคนหนึ่ง คนคนหนึ่งถูกผ้าขาวมัดมือเอาไว้ เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ถูกตัดนิ้วออกไปคนหนึ่ง เขาก็คือเวินเหลียงที่เป็นแฟนหนุ่มของอู่เวย คนที่ไนต์คลับต่างเรียกเขาว่าเสี่ยวเหลียง
บนใบหน้าของเวินเหลียงในเวลานี้มีความรู้สึกหวาดกลัวที่ไม่อาจปกปิดเอาไว้ได้ เมื่อได้พบหน้าแฟนสาวอีกครั้ง บนใบหน้าก็มีความหวังปรากฏขึ้นมาให้เห็น
อู่เวยเข้าไปพยุงเขาอย่างอดไม่ได้ “เวินเหลียง ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
เวินเหลียงฝืนส่ายศีรษะ ถูกตัดนิ้วออกไปนิ้วหนึ่งจะไม่เป็นอะไรได้อย่างไร
สายตาของอู่เวยมองไปที่มือของเขา ขอบตาแดงเรื่อ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา จากนั้นเหลียวหน้ากลับไปถามเฉาลู่ผิง “เฉาเหยี่ย พวกเราไปได้แล้วหรือยังคะ?”
เฉาลู่ผิงกล่าว “ไม่รีบ ฉันรับปากพวกเธอไว้ว่าจะให้เงินหนึ่งล้านมุก ฉันไม่มีทางกลับคำ เธอรออีกเดี๋ยว ให้ฉันไปรวบรวมเงินมาก่อน”
อู่เวยรีบส่ายศีรษะพลางกล่าว “ขอบคุณเฉาเหยี่ย แต่เงิน พวกเราไม่เอาแล้วค่ะ พวกเรารับรองว่าจะไปจากเมืองปู๋เชวี่ยแล้วไม่กลับมาอีกค่ะ”
ไหนเลยจะกล้ารอเอาเงินอีก รอดไปจากที่นี่ได้ก็นับว่าบุญมากแล้ว
ก่อนหน้านี้ สิ่งที่เธอกังวลมากที่สุดก็คือกลัวว่าอีกฝ่ายจะกลับคำพูด กังวลว่าหลังจบเรื่องแล้วจะไม่ปล่อยพวกเธอไป ดังนั้นเธอถึงได้คิดจะขอความช่วยเหลือจากหลัวคังอัน แต่ใครจะไปรู้ว่าเจ้าขยะหลัวคังอันผู้นั้นคิดแต่จะเอาเปรียบเธอ แต่ไม่คิดที่จะจ่ายค่าตอบแทนอะไรเลยนอกจากเงิน
เฉาลู่ผิงร้องอ้อ “ต้องพูดให้ชัดนะ เงินนี่พวกเธอเป็นคนไม่เอาเองนะ ไม่ใช่ฉันไปบีบบังคับพวกเธอนะ”
อู่เวยรีบกล่าว “พวกเรายินดีทิ้งเงินก้อนนี้เองค่ะ เฉาเหยี่ย พวกเราไปได้แล้วใช่ไหมคะ?” ตอนนี้เธอเพียงแค่อยากจะออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
เวินเหลียงไม่รู้ว่าเงินที่ว่ามันหมายความว่าอย่างไร แต่ก็พอจะเดาได้ว่าน่าจะเป็นเงินที่จ่ายให้เธอไปทำงานให้ จึงผงกศีรษะตามเพื่อบอกว่ายินดีทิ้งเงินก้อนนี้
เฉาลู่ผิงกล่าว “ได้ อย่างนั้นก็ขอบคุณมาก เธอกลับไปได้ ฉันไม่ส่งล่ะ”
“ขอบคุณเฉาเหยี่ยค่ะ” อู่เวยและเวินเหลียงโค้งตัวขอบคุณ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปอย่างรวดเร็ว แทบจะอยากติดปีกบินออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
แต่ใครจะไปรู้ว่าเพิ่งจะเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เสียงของเฉาลู่ผิงก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง “เดี๋ยวก่อน”
ด้านหน้ามีคนยื่นมือมาขวางพวกเขาเอาไว้ ทั้งสองคนหยุดฝีเท้าอย่างหวาดกลัว ก่อนจะค่อยๆ หมุนตัวมองมาทางชายหัวล้านที่นั่งอยู่ อู่เวยกล่าวอย่างหวาดกลัวว่า “เฉาเหยี่ยจะกลับคำพูดหรือคะ?”
“คิดมากแล้ว” เฉาลู่ผิงโบกมือ “ฉันแค่มีเรื่องหนึ่งอยากจะถามเธอหน่อยเท่านั้น”
อู่เวยโล่งใจเล็กน้อย “เฉาเหยี่ยถามมาได้เลยค่ะ ถ้าอู่เวยรู้ อู่เวยไม่กล้าปิดบังเฉาเหยี่ยแน่นอนค่ะ”
มุมปากของเฉาลู่ผิงมีรอยยิ้มแปลกประหลาดปรากฏขึ้นมา “อู่เวย หลัวคังอันคนนั้นถูกเธอจัดการเสียอยู่หมัด ฉันอยากรู้ว่าเธอเคยไปค้างคืนที่บ้านมัน เธอได้นอนกับมันหรือเปล่า?”
ทันทีที่เอ่ยคำพูดนี้ออกไป อู่เวยก็รีบปฏิเสธขึ้นมาตามสัญชาตญาณทันที “เปล่าค่ะ” ก่อนจะรีบมองไปทางเวินเหลียง ส่ายศีรษะกล่าวว่า “เปล่าค่ะ เปล่าจริงๆ ค่ะ”
เวินเหลียงถลึงตามองดูเธอ หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง ริมฝีปากสั่นเทาขึ้นมา คล้ายอยากจะถามอะไรแต่ก็พูดไม่ออก
เฉาลู่ผิงกล่าวถามอย่างแปลกใจ “อย่างนั้นคืนนั้นเธอไปนอนค้างที่บ้านมัน พวกเธอทำอะไรกันล่ะ?”
อู่เวยพยายามแก้ตัว “ก็คุยกับเขา ช่วยเฉาเหยี่ยถามเรื่องของเขา” ก่อนจะหันมากล่าวกับเวินเหลียงว่า “เธอต้องเชื่อฉันนะ ฉันไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นจริงๆ”
มือของเวินเหลียงสั่นขึ้นมาเล็กน้อย จะให้เขาเชื่อได้อย่างไร
เฉาลู่ผิงกล่าวถามว่า “ไอหนุ่ม เธอค้างคืนอยู่ที่บ้านผู้ชายคนอื่น บอกว่าคุยกันทั้งคืน แกเชื่อหรือเปล่า?”
เวินเหลียงเม้มปากแน่น
อู่เวยอธิบายกับแฟนหนุ่มอีกครั้ง “ฉันยอมตามเขาไปเพื่อจะช่วยเธอ แต่มันไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นจริงๆ”
ใบหน้าเวินเหลียงเต็มไปด้วยความเสียใจและโกรธเกรี้ยว กล่าวว่า “ฉันยอมตาย ดีกว่ายอมให้เธอใช้วิธีแบบนั้นเพื่อช่วยฉัน!”
อู่เวยร่ำไห้น้ำตานองหน้า รู้ว่าอธิบายเรื่องนี้ไม่ได้แล้ว จึงกล่าวกับเฉาลู่ผิงว่า “เฉาเหยี่ย พวกเราไปได้หรือยังคะ?”
เฉาลู่ผิงชอบดูภาพแบบนี้ เขาเป็นหมารับใช้อยู่ต่อหน้าคนอื่น จึงมักจะต้องหาคนมาเป็นที่ระบายอารมณ์ให้กับตัวเอง เขาชอบความรู้สึกที่ได้ปั่นหัวคนอื่นแบบนี้
เฉาลู่ผิงได้ยินจึงยิ้มขึ้นมา ก่อนจะโบกมือพลางกล่าวว่า “ส่งพวกเขาไปซะ” ภายในคำพูดนี้แฝงความหมายลึกซึ้งเอาไว้
ลูกน้องของเขาเข้าใจความหมาย จึงดึงทั้งสองคนเตรียมพาออกไป
แต่ในเวลานี้เอง ภายในห้องกลับมีเสียงฟิ้วๆ ดังขึ้นมา พวกเฉาลู่ผิงสังเกตเห็นว่าภายในห้องมีจุดสีดำวูบไหวผ่านไป จากนั้นก็ถูกเสียงฝีเท้าดึงดูดเอาไว้
พวกเฉาลู่ผิงเหลียวหน้ามองตามเสียงไป ก่อนจะเห็นคนประหลาดคนหนึ่งเดินลงมาจากบันไดที่อยู่ภายในโถงรับแขก ใบหน้าสวมหน้ากาก ร่างกายอยู่ภายใต้ผ้าคลุมสีดำ
หลินยวนมาถึงได้พักหนึ่งแล้ว เขายืนอยู่ตรงมุมบันไดมองดูภาพเหตุการณ์ที่ชายหญิงถูกรังแก ในเวลานี้ค่อยๆ ก้าวเดินลงมา
เฉาลู่ผิงลอบตกใจ มีคนบุกเข้ามาถึงในรังของเขา แต่เขากลับไม่ได้รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย จึงค่อยๆ ยืนขึ้นมา จงใจตะโกนเสียงดังว่า “ไม่ทราบว่าเป็นสหายจากไหนมาเยือน?”
นี่เป็นการส่งสัญญาณเตือนให้คนข้างนอกรับรู้ แต่ใครจะไปรู้ว่าด้านนอกกลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ นี่ทำให้เฉาลู่ผิงทั้งตกใจและสงสัยเป็นอย่างมาก มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
เขาตะโกนเสียงดังขนาดนี้ คนที่อยู่ด้านนอกไม่มีทางไม่ได้ยิน
ทันใดนั้นเอง ภายในสายลมที่พัดวูบมาจากด้านนอกได้นำพาเอากลิ่นคาวเลือดจางๆ ลอยเข้ามา
เขารับรู้ได้ทันทีว่าปัญหามาเยือนแล้ว นับตั้งแต่ที่เข้าไปพัวพันกับเรื่องของตระกูลฉิน ตระกูลพานและตระกูลโจว เขาก็กังวลถึงเรื่องนี้มาโดยตลอด รู้ว่าตัวเองเดินไปบนเส้นทางอันตราย เพียงแต่คิดไม่ถึงเลยว่าอันตรายมันจะปรากฏขึ้นมาด้วยวิธีแปลกประหลาดเช่นนี้
ผู้มาเยือนเข้ามาอย่างเงียบเชียบไร้ซุ่มเสียง แล้วก็ยังมีความเยือกเย็นที่มองไม่เห็นใครอยู่ในสายตา นี่ยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก
อู่เวยและเวินเหลียงเองก็เหลียวหน้ามองไปเช่นกัน ทั้งคู่รับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่ไม่ชอบมาพากล อย่างน้อยในสายตาพวกเขาก็มองว่าการแต่งกายของผู้มาเยือนนั้นค่อนข้างแปลกประหลาด ทำได้เพียงมองดูผู้มาเยือนค่อยๆ ก้าวลงบันไดมา ไม่กล้าส่งเสียงใดๆ
“อื้อ!” เฉาลู่ผิงเอียงศีรษะส่งสัญญาณ ด้วยอยากจะลองหยั่งเชิงดูฝีมือของผู้มาเยือน
ลูกน้องทั้งสองคนของเขาสบตากัน จู่ๆ พลันพุ่งตัวออกไป หมายจะจับตัวผู้มาเยือนเอาไว้
มีเสียงฉึบๆๆ ดังขึ้น ในพริบตาที่คนทั้งสองเข้าไปใกล้แขกผู้มาเยือน จู่ๆ ร่างกายของพวกเขาก็แยกออกเป็นชิ้นๆ กลางอากาศ กระทั่งเสียงกรีดร้องโหยหวนก็ไม่ทันได้เปล่งออกมา ยังไม่ทันได้ทำการป้องกันตัวใดๆ ร่างกายก็หลุดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้ว
อู่เวยและเวินเหลียงทั้งรู้สึกตกใจและรู้สึกคลื่นไส้เป็นอย่างมาก ไม่กล้ามองดูภาพเหตุการณ์นี้
ดวงตาทั้งสองข้างของเฉาลู่ผิงพลันหดเล็กลง เขามองเห็นเสี้ยววินาทีที่ภายในอากาศมีหยดโลหิตหยุดชะงักเล็กน้อยแล้วค่อยหยดลงมา รู้ทันทีว่าเบื้องหน้าของผู้มาเยือนมีเชือกที่มองไม่เห็นที่มีความคมอย่างมากขึงเอาไว้อยู่
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา ไม่รู้ว่าใครโทรมา แต่ในเวลานี้ใครมันจะไปมีอารมณ์รับโทรศัพท์อีกล่ะ
เฉาลู่ผิงโบกมือ มีดสั้นที่เป็นมันวาวสองเล่มปรากฏขึ้นในมือของเขา ก่อนจะเอียงศีรษะแล้วส่งเสียง ‘อื้อ’ อีกครั้ง
ลูกน้องอีกสองคนที่จับตัวอู่เวยและเวินเหลียงเอาไว้สบตากัน ในสายตามีความรู้สึกหวาดกลัวปรากฏขึ้นมา จู่ๆ พวกเขาพลันตัดสินใจเหมือนกันโดยไม่ได้นัดหมาย ปล่อยตัวอู่เวยและเวินเหลียงพร้อมกัน จากนั้นพากันพุ่งตัวออกไปด้านนอก เตรียมจะหลบหนีออกไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน
เฉาลู่ผิงกวาดตามองไป รู้สึกโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก!
แต่เพียงพริบตาความโกรธเกรี้ยวก็แปรเปลี่ยนเป็นความตื่นตะลึง เสียงฉึบๆๆ ดังขึ้น ลูกน้องสองคนที่หลบหนีออกไปลงเอยแบบเดียวกับลูกน้องสองคนก่อนหน้านี้ ร่างกายแยกออกเป็นชิ้นๆ แล้วร่วงตกลงบนพื้น โลหิตสดๆ สาดกระเซ็น ทำเอาอู่เวยและเวินเหลียงหวาดกลัวจนต้องถอยหนีไปด้านในโถงรับแขกหลายก้าว
ไม่เพียงแต่จะมีกับดักสังหารอยู่ตรงหน้าผู้มาเยือน แต่ตรงประตูก็มีด้วยอย่างนั้นหรือ? เฉาลู่ผิงใช้เนตรทิพย์กวาดมองไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว ภายในใจรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่
ภายในโถงรับแขกเวลานี้เหลือคนอยู่เพียงสี่คน เมื่อตัดอู่เวยและเวินเหลียงออกไปก็เหลือเพียงเฉาลู่ผิงและแขกที่ไม่ได้รับเชิญ
เฉาลู่ผิงถือมีดสั้นไว้ด้านหน้าเพื่อป้องกันสิ่งที่มองไม่เห็นนั้น ขณะเดียวกันก็ตะโกนเสียงดังว่า “สหายเป็นใครกันแน่ ไม่ทราบว่าแซ่เฉาเคยไปล่วงเกินสหายตั้งแต่เมื่อไร? ถ้ามีอะไรก็พูดออกมาให้ชัดเจนดีกว่า!”
ร่างกายหลินยวนลอยขึ้นมาเล็กน้อย เคลื่อนผ่านหยดเลือดที่เจิ่งนองอยู่บนพื้น ยกมือคล้ายชี้ไปทางเฉาลู่ผิง กำไลบนข้อมือหมุนวนขึ้นมา
รอบด้านมีเสียงแหวกอากาศดังขึ้นมา เฉาลู่ผิงตกใจเป็นอย่างมาก เขาฟังเสียงลมเพื่อแยกแยะทิศทาง เหวี่ยงมีดสั้นออกไปด้วยหวังจะตัดตาข่าย แต่ใครจะไปรู้ว่าจะมีเสียง ‘ติงๆ’ ดังขึ้น มีดสั้นหักลงทั้งสองเล่ม
แต่การตอบสนองของเฉาลู่ผิงก็รวดเร็วเช่นเดียวกัน เขาซัดมีดสั้นที่หักลงออกไปในทันที โจมตีใส่หลินยวนอย่างรวดเร็วและรุนแรง
หลินยวนขยับมือ งอนิ้วดีดออกไป เกิดเสียง ‘ติงๆ’ ดังขึ้น ดีดมีดสั้นเล่มหนึ่งไปกระแทกเข้ากับมีดสั้นอีกเล่มหนึ่ง ขณะเดียวกันก็ดึงแขนข้างหนึ่งกลับมา กำไลบนข้อมือหมุนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“อึก…” เฉาลู่ผิงส่งเสียงร้องออกมา ดิ้นรนเพียงเล็กน้อยก็ไม่กล้าขยับเขยื้อนอีก เจ้าสิ่งที่มองไม่เห็นนี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก ไม่รู้ว่าเป็นของวิเศษอะไร คิดไม่ถึงว่าจะทำให้เขาไม่สามารถใช้พลังของตัวเองออกมาได้
บนศีรษะที่ล้านเกลี้ยง บนใบหน้า บนมือ บนลำคอถูกรัดจนมีเลือดไหลซึม เสื้อผ้าบนร่างกายเองก็มีรอยรัดปรากฏขึ้นมา
เฉาลู่ผิงหอบหายใจ พยายามพูดคุยด้วยน้ำเสียงจริงใจ “สหาย แซ่เฉาไม่รู้จริงๆ ว่าเคยไปล่วงเกินสหายเมื่อไร ถ้าหากว่ามี อย่างนั้นก็ถือว่าแซ่เฉามีตาหามีแววไม่ ขอโอกาสให้แซ่เฉาได้ชดใช้ให้สหาย แซ่เฉาพอจะมีเงินทองอยู่เล็กน้อย ยินดีเอามาชดใช้ให้”
ในที่สุดหลินยวนที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาโดยไม่พูดไม่จาก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “ไม่ต้อง”
เฉาลู่ผิงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจอีกครั้ง “แซ่เฉาพอจะมีอิทธิพลอยู่ในเมืองปู๋เชวี่ยอยู่บ้าง ขอเพียงสหายต้องการ ขอเพียงสหายยินดีเมตตา แซ่เฉาก็ยินดีเป็นวัวเป็นควายรับใช้สหาย”
อู่เวยและเวินเหลียงตื่นตระหนกตกใจ คิดไม่ถึงว่าจะได้มาเห็นภาพเหตุการณ์นี้ แล้วก็คิดไม่ถึงว่าเฉาเหยี่ยที่หยิ่งยะโสอวดดีจะมีวันที่หวาดกลัวจนต้องขอร้องคนอื่นเช่นนี้ด้วย พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าจู่ๆ จะมีคนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นมา กระทำกับเฉาเหยี่ยประหนึ่งว่าเป็นมดปลวก เพียงยกมือกระทืบเท้าก็สามารถบดขยี้อีกฝ่ายให้แหลกเละได้
แต่ด้านนอกห้องกลับเงียบจนได้ยินเสียงแมลงร้อง
ทั้งสองคนรู้สึกหวาดกลัวเช่นเดียวกัน แล้วก็อยากหนีออกไปเช่นกัน แต่การตายของทั้งสี่คนก่อนหน้านี้ทำให้ขาของทั้งสองคนสั่นเทาไม่หยุด ไม่กล้าบุ่มบ่ามก้าวเดิน ไม่กล้าวิ่งหนีออกไป ด้วยกลัวว่าตัวเองจะต้องตายโดยไม่รู้ว่าตัว
หลินยวนพูดขึ้นมาอีกว่า “ไม่ต้อง ไม่จำเป็น”
เฉาลู่ผิงกล่าวโดยความโกรธเกรี้ยว “สหายต้องฆ่าฉันให้ได้หรือไง?”
………………………………………………………..