ตอนที่ 51 ประหลาดใจ
หากเป็นเวลาปกติ ฉินเต้าเปียนที่รู้จักกับเขามาเป็นเวลานานหลายปี การจะเข้าพบเขานั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไร
ทว่าครั้งนี้ไม่เพียงแต่ไม่ยอมพบ หากแต่ยังให้คุมตัวไปสอบสวนด้วย เห็นได้เลยว่าภายในใจเขารู้สึกโมโหแค่ไหน
นี่มิใช่เรื่องการตายของคนจำนวนหนึ่งแล้ว มีคนบอกว่าเขาปล่อยปะละเลยให้ผู้สนับสนุนราชวงศ์ก่อนก่อความวุ่นวาย นี่เขาเพิ่งจะก่อตั้งสถานีออกอากาศมาเพื่อแก้ต่างให้ตัวเอง แต่ผลปรากฏว่ากลับเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เกิดการสังหารหมู่สามที่ภายในคืนเดียว แล้วยังมีผู้พิทักษ์เมืองถูกฆ่าไปอีกสองคน หากไม่อาจสืบหาความจริงได้ แล้วเขาจะไปปฏิเสธได้อย่างไรว่าไม่ใช่พวกผู้สนับสนุนราชวงศ์ก่อนมาก่อความวุ่นวาย?
พอลั่วเทียนเหอกล่าวเช่นนี้ เหิงเทาก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกอย่างไร แล้วเขายังจะพูดอะไรได้อีก คำพูดบางอย่างที่อยากจะพูด เวลานี้ได้แต่ต้องกลืนกลับลงไปก่อน ต้องออกไปปฏิบัติตามคำสั่ง….
……
ด้านนอกสำนักงานเจ้าเมือง ฉินเต้าเปียน หลิ่วจวินจวิน ฉินอี๋และไป๋ซานเป้ากำลังรอฟังคำสั่ง ไป๋หลิงหลงเองก็อยู่ด้วย หลังติดต่อกับฉินอี๋แล้วก็มาพบเธอที่นี่
ทันใดนั้นพวกเขาเห็นคนเดินออกมา เป็นเหิงเทาที่ออกมาด้วยตัวเอง ฉินเต้าเปียนรีบเข้าไปทักทาย “หัวหน้าเหิง ผมอยากจะขอเข้าพบท่านเจ้าเมืองหน่อย”
เหิงเทาส่ายศีรษะเล็กน้อย “ฉินซยง ไปทำการสอบปากคำก่อนดีกว่าครับ”
ฉินเต้าเปียนชะงักไปเล็กน้อย ขณะกำลังจะอธิบาย เหิงเทาพลันโบกมือแล้วตะโกนสั่งการว่า “พาตัวไป”
ทหารกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา แต่กลับมิได้เสียมารยาทอะไรมากนัก เพราะทุกคนต่างรู้ถึงสถานะและอิทธิพลภายเมืองปู๋เชวี่ยของครอบครัวนี้ดี ทั้งยังมีคำว่า ‘ฉินซยง’ ที่เหิงเทาเกริ่นเรียกไปก่อนหน้านี้ พวกเขาจึงมิได้กระทำรุนแรงอะไร เชิญทั้งครอบครัวให้ตามพวกเขาไป
กระทั่งคนในครอบครัวนี้ออกไปหมดแล้ว เหิงเทาก็รีบพาคนออกไปทำแผนจับกุมทันที
จะจับกุมใคร เวลานี้ได้ทำการระบุรายชื่อออกมาอย่างชัดเจนแล้ว ทันทีที่เหิงเทาตะโกนสั่ง ‘ไปคุมตัวมา’ คนของผู้พิทักษ์เมืองก็กระจายตัวออกไปปฏิบัติตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว…
……
ปัง! ในตอนที่ประตูถูกพังเข้ามา หลัวคังอันกำลังอยู่ในห้องของจูเก่อม่าน
ทั้งสองคนที่กระเด้งตัวขึ้นมานั่งด้วยความตกใจเห็นคนของผู้พิทักษ์เมืองบุกเข้ามา
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร เมื่อเห็นผู้ชายกลุ่มหนึ่งพังประตูบุกเข้ามา จูเก่อม่านก็รีบใช้ผ้าห่มมาปิดร่างกายเอาไว้
หลัวคังอันตื่นตะลึง ก่อนจะรู้สึกโมโหขึ้นมาทันที “พวกแกจะทำอะไรกัน? กฎหมายของสภาเซียนข้อไหนอนุญาตให้พวกแกบุกเข้ามาในบ้านของประชาชนโดยไม่ได้รับอนุญาตได้?”
ถึงแม้เขาจะถูกเตะออกมาจากสถาเซียนแล้ว แต่เขาก็เคยเป็นผู้พิทักษ์เทพของเมืองหลวงมาก่อน หากพูดถึงลำดับขั้นของทหารที่บุกเข้ามาแล้ว อย่างมากก็อยู่ในระดับเดียวกับเขา ส่วนใหญ่แล้วไม่อาจเทียบเขาได้
ตัวเขาที่เคยเห็นภาพแบบนี้จนเคยชินแล้วแอบรู้สึกโมโหอยู่ในใจ
เจ้าหน้าที่ที่เป็นหัวหน้าชุดจับกุมกล่าวเสียงขรึมว่า “หลัวคังอัน ผมได้รับคำสั่งจากหัวหน้าฝ่ายบริหารงานทั่วไปให้มาพาตัวคุณไปสอบปากคำ ใครขัดขืนให้ฆ่าทิ้งได้เลย!”
ทันทีที่ได้ยินว่าเป็นคำสั่งของเหิงเทา หลัวคังอันก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเช่นกัน จึงตะคอกเสียงดังว่า “มองอะไร? ไม่เคยเห็นผู้หญิงไม่ใส่เสื้อผ้าหรือไง? หรือจะให้ฉันแก้ผ้าไป?”
เจ้าหน้าที่ที่เป็นหัวหน้านิ่งเงียบไปเล็กน้อย เมื่อคิดถึงว่าที่นี่ได้ถูกล้อมเอาไว้แล้ว จึงโบกมือส่งสัญญาณเล็กน้อย ทุกคนต่างถอยออกไป
ทั้งสองคนใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยก่อนจะถูกพาออกไป จูเก่อม่านเองก็ไม่รอดเช่นกัน ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้ตอนนี้เธอมามีความสัมพันธ์แบบนี้กับหลัวคังอันล่ะ
หากว่ากันตามคำพูดของลั่วเทียนเหอแล้ว นั่นก็คือจับทุกคนที่เกี่ยวข้องไปทั้งหมด
แต่ทางนี้ก็เสียเวลาในการหาตัวหลัวคังอันไปไม่น้อยเหมือนกัน ตอนแรกพวกเขาไปยังบ้านหลัวคังอันแต่ไม่พบใคร โชคดีที่เหิงเทาแอบจับตาดูเรื่องบางเรื่องในหอการค้าตระกูลฉินเอาไว้อยู่ จึงเดาได้ไม่ยากเท่าไรว่าคนที่ชอบทำตัวเด่นอย่างหลัวคังอันอาจจะไปค้างคืนอยู่ที่ไหน….
……
เจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งล้อมโรงอีหลิวเอาไว้ จางเลี่ยเฉินและหลินยวนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องของตัวเองพลันลืมตาขึ้นมา
เจ้าหน้าที่พิทักษ์เมืองพังประตูเข้ามา เผชิญหน้ากับทั้งสองคนที่ออกมาจากห้องของตัวเองแทบจะในเวลาเดียวกัน
เจ้าหน้าที่ที่เป็นหัวหน้าตะโกนบอกให้พวกเขาไปเข้ารับการสอบสวน ทั้งสองคนก็ไม่ได้ทำการขัดขืนใดๆ จางเลี่ยเฉินเนื่องเพราะอาศัยอยู่กับหลินยวน จึงถูกคุมตัวไปด้วย
เมื่อเห็นจางเลี่ยเฉินถูกพาตัวไปด้วย หลินยวนที่ลอบระแวดระวังอยู่ในใจก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย นี่แสดงว่าไม่ได้มาเพื่อจับกุมเขา
เพียงแต่มีบางเรื่องที่เขาไม่เข้าใจ หากบอกว่าเป็นเพราะการฆาตกรรมนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องเทพมหาวิญญาณ อย่างนั้นแค่พาตัวเขาไปก็พอนี่นา ทำไมถึงต้องพาตัวจางเลี่ยเฉินไปด้วย?
เพียงแต่เป็นเพราะเขาไม่ค่อยเข้าใจในสถานการณ์ของเมืองปู๋เชวี่ยในปัจจุบันนี้เท่าไรนัก ไม่รู้ว่าตอนนี้ลั่วเทียนเหอกำลังอยู่ในสถานการณ์แบบไหน เขาจึงย่อมไม่รู้เช่นกันว่าลั่วเทียนเหอได้ขยายขอบเขตของคดีนี้ออกไปกว้างแค่ไหน….
……
“พวกคุณทำอะไร?” เถาฮวาตะโกนด้วยความตกใจ ผู้พิทักษ์เมืองที่บุกเข้ามาไม่สนใจเธอ คุมตัวเธอออกไป
กวนเสี่ยวไป๋กับกวนเสี่ยวชิงก็ถูกพาตัวออกไปด้วย
เหตุผลนั้นเป็นเพราะว่ากวนเสี่ยวชิงเป็นคนที่อยู่ในห้องผู้ช่วยของฉินอี๋ เถาฮวาและกวนเสี่ยวไป๋ถือว่าโดนร่างแหไปด้วย
ในตอนที่ถูกพาออกไป คนที่เงียบที่สุดก็คือกวนเสี่ยวไป๋ เขาคิดถึงคำพูดที่หลินยวนพูดกับเขาก่อนหน้านี้ ในแง่หนึ่งแล้วนี่เท่ากับเป็นการตอกย้ำคำพูดของหลินยวน มีเรื่องจริงๆ ด้วย
คนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องผู้ช่วยของหอการค้าตระกูลฉินเองก็ไม่มีใครรอดไป กระทั่งพนักงานระดับสูงบางส่วนของหอการค้าตระกูลฉินก็ถูกจับไปด้วย
คืนนี้ คนของผู้พิทักษ์เมืองได้กระจายตัวไปจับกุมคนทั่วทั้งเมือง ทำเอาทั่วทั้งเขตเมืองตกอยู่ในความโกลาหลวุ่นวาย คนจำนวนมากไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ในไนต์คลับที่อู่เวยทำงานอยู่ถูกผู้พิทักษ์เมืองเข้าทำการกวาดล้าง แต่คนบางคนที่พอจะรู้เรื่องราวบางอย่างไม่ได้ถูกจับตัวไปด้วย เพราะพวกเขาได้หายตัวไปแล้ว
ก่อนหน้านี้เฉาลู่ผิงได้ทำการเก็บกวาดงานส่วนที่เหลือตามคำสั่งเจ้าหยวนเฉิน เขาจัดการไปได้พอสมควรแล้ว จึงไม่มีเบาะแสอะไรเหลือทิ้งเอาไว้
คนที่ถูกจับตัวไปทั้งหมดถูกพาเข้าไปทำการสอบสวนในสำนักงานเจ้าเมือง คนแต่ละกลุ่มถูกสอบปากคำพร้อมกัน
แต่ละคนถูกถามว่าคืนนี้ไปที่ไหนมา ไปทำอะไรมา หลินยวนเองก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
เมื่อถูกถามเช่นนี้ เขาก็มั่นใจแล้วว่าเป็นเพราะเรื่องที่เขาทำในคืนนี้ แต่ในมืออีกฝ่ายยังไม่มีหลักฐานใดๆ
ด้วยสถานะของเขาในตอนนี้ทำให้เขามีความมั่นใจที่จะเผชิญหน้ากับการสอบสวน ไม่ว่าผลการเรียนของเขาที่หลิงซานจะเป็นอย่างไร แต่เขาก็ยังเป็นนักเรียนของหลิงซานอยู่ ขอเพียงไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด ทางเมืองปู๋เชวี่ยก็ไม่อาจทำอะไรเขาได้ เบื้องหลังอิทธิพลของหลิงซานก็คือสภาเซียน ซึ่งไม่ใช่ที่ที่ใครจะไปล่วงเกินได้ง่ายๆ
เมื่อวิเคราะห์จากรูปการณ์ในตอนนี้ ถ้ากระทั่งตัวเขายังโดนจับ เกรงว่าหลัวคังอันก็คงไม่รอดเช่นกัน เขาคิดว่าเมื่อทำการสอบสวนหลัวคังอันเช่นนี้ ตระกูลฉินก็น่าจะระแคะระคายอะไรบ้าง
ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลที่เขาทิ้งอู่เวยและเวินเหลียงเอาไว้ในที่เกิดเหตุโดยไม่ฆ่าทิ้ง ไม่อย่างนั้นตัวเขาคงจะพาทั้งสองคนออกมาจากที่นั่นแล้ว
การที่ทิ้งทั้งสองคนเอาไว้ในที่เกิดเหตุ เพราะอู่เวยจะต้องดึงเอาหลัวคังอันเข้ามาเกี่ยวพันกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน และเมื่อทำการสอบถามเรื่องของหลัวคังอันกับอู่เวย เสวี่ยหลานที่อู่เวยเคยเอ่ยถึงก็จะต้องถูกจับตามองเช่นเดียวกัน ถึงแม้เขาจะไม่อยากยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องของตระกูลฉิน แต่สุดท้ายเขาก็ยังทำการเตือนตระกูลฉินไปอย่างอ้อมๆ
แต่เขาก็ยังประเมินความแน่วแน่ในการปิดบังความจริงของหลัวคังอันต่ำไป หลัวคังอันยอมรับว่าตัวเองกำลังตามจีบอู่เวยอยู่ เขารู้ว่ามีคนมากมายที่รู้เรื่องนี้ ไม่อาจปฏิเสธได้ แต่เขาไม่ยอมรับว่าตนเองเคยมีสัมพันธ์ชู้สาวกับอู่เวย ส่วนเรื่องความลับส่วนตัวบางอย่างที่ถูกอู่เวยหลอกถามไปก็ไม่ได้พูดออกมาเช่นกัน
ตัวหลัวคังอันเคยเป็นผู้พิทักษ์เทพอยู่ในเมืองหลวงมาหลายปี ทราบถึงวิธีการสอบสวนบางอย่างของทางเจ้าหน้าที่ในสภาเซียน จึงค่อนข้างมีความมั่นใจที่รับมือ ทำไมถึงต้องไปพูดเรื่องน่าอายในตอนที่ตัวเองกำลังจีบผู้หญิงด้วย? ถ้าพูดออกไปมิเท่ากับทำให้ตัวเองอับอายขายหน้าหรอกหรือ
ถ้าถึงตอนที่เทียบคำให้การของตัวเองกับอู่เวยแล้วไม่ตรงกัน ถึงตอนนั้นค่อยบอกว่าก่อนหน้านี้นึกไม่ออกแล้วค่อยอธิบายเพิ่มไปก็พอ
ถึงแม้พนักงานสอบสวนจะเตือนเขาว่าอู่เวยเป็นคนของเฉาลู่ผิง แต่เขาก็ไม่คิดว่ามันจะไปเกี่ยวข้องอะไรกับคำพูดที่ตนเองกล่าวหยอกล้อกับอู่เวยได้ บอกได้เพียงว่าเขารู้แล้วว่าอู่เวยถูกคนส่งมาตีสนิทเขา ภายในใจลอบด่าว่าทำไมตัวเองถึงได้ซวยแบบนี้ คิดไม่ถึงว่าจะถูกดึงเข้ามาพัวพันกับเรื่องแบบนี้เพียงแค่เพราะไปคุยกับผู้หญิงคนหนึ่ง
เขาคิดว่าเฉาลู่ผิงส่งอู่เวยมาตีสนิทตัวเองเพื่อให้ตัวเองหักหลังหอการค้าตระกูลฉิน เพราะนอกจากเรื่องนี้แล้วเขาก็คิดไม่ออกว่าจะเป็นเพราะอะไร การจะให้บอกเรื่องคำพูดที่ตัวเองกะลิ้มกะเหลี่ยอีกฝ่ายมันจำเป็นด้วยหรือ?
แต่ก็เป็นเพราะเรื่องนี้ เขาถึงได้พูดเรื่องที่อู่เวยเคยมาขอร้องให้เขาช่วยเหลือออกมา สงสัยว่าอู่เวยจะถูกเฉาลู่ผิงบีบบังคับอะไรหรือเปล่า ถือว่าได้มอบเบาะแสบางอย่างให้พนักงานสืบสวนไป….
……
หลังทำการสอบสวนเบื้องต้นเสร็จแล้ว เหิงเทาที่อ่านสรุปรายงานสอบสวนก็ขมวดคิ้วขึ้นมา ไม่เหนือไปจากความคาดหมายของเขา ทุกคนคล้ายจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการฆาตกรรมเลย
นี่เป็นเรื่องที่เขาคาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้าแล้ว ในเมื่อฆาตกรกล้าลงมืออย่างเหิมเกริม เช่นนั้นอีกฝ่ายก็ไม่มีทางเผยตัวออกมาง่ายๆ
ในเรื่องรายละเอียดภายในที่เกิดเหตุ ทางผู้พิทักษ์เมืองจะทำการสืบหาเบาะแสต่อไป และประเด็นเดียวที่เขาสามารถตามสืบได้ในตอนนี้ก็มีเพียงปัญหาที่เกิดจากการประมูลเทพมหาวิญญาณ ข้อสงสัยต่างๆ ที่รายล้อมประเด็นหลักจะต้องถูกทยอยคลี่คลายไปเรื่อยๆ ทีละประเด็น
“ข้อสงสัยเบื้องต้นที่ทำการรวบรวมมาในตอนนี้อยู่ที่ตัวหลินยวนครับ นักเรียนของหลิงซานที่พักการเรียนแล้วเข้ามาทำงานในหอการค้าตระกูลฉิน เป็นผู้ช่วยของหลัวคังอัน เกี่ยวข้องโดยตรงกับเทพมหาวิญญาณ ไม่ว่าดูยังไงก็ค่อนข้างแปลกครับ”
เมื่อได้ยินรายงานของลูกน้อง เหิงเทาพลันขมวดคิ้วขึ้นมา
สำหรับหลินยวนคนนี้ ตั้งแต่ตอนที่เขายังไม่กลับมา เหิงเทาก็รู้ถึงการมีอยู่ของหลินยวนแล้ว
เวลาที่จะรับนักเรียนเข้ามาเรียน ทางหลิงซานจะต้องมาทำการตรวจสอบตัวตนของหลินยวนกับทางเมืองปู๋เชวี่ยอย่างแน่นอน และทันทีที่ทำการตรวจสอบ ทางเมืองปู๋เชวี่ยก็ย่อมต้องรู้ว่าในเมืองมีคนที่สอบเข้าหลิงซานได้!
เนื่องเพราะทันทีที่นักเรียนของหลิงซานเรียนจบ ส่วนใหญ่ก็จะได้เข้าไปทำงานอยู่ในสภาเซียน ถูกบรรจุอยู่ในบันทึกรายชื่อเซียน
หลังจากนักเรียนของหลิงซานได้เข้าไปทำงานอยู่ในสภาเซียน สภานะของพวกเขาก็จะไม่เหมือนผู้พิทักษ์เมืองทั่วๆ ไป ทันทีที่เข้าไปก็จะกลายเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีลำดับขั้นของทางสภาเซียน ไม่ใช่พนักงานตัวน้อยๆ ที่ต้องคอยทำผลงานและสะสมประสบการณ์ถึงจะค่อยๆ เลื่อนขั้นได้เหมือนอย่างผู้พิทักษ์เมืองทั่วๆ ไป
เมื่อมีคนแบบนี้ปรากฏตัวขึ้น เมืองปู๋เชวี่ยย่อมต้องให้ความสนใจ แล้วก็ย่อมต้องรู้ถึงเรื่องราวของหลินยวน
เหิงเทาจำได้ว่าเรื่องราวที่สืบมาได้ในตอนนั้นทำให้เขาประหลาดใจอย่างมาก คนงานชั้นต่ำคนหนึ่งกลับสอบเข้าหลิงซานได้ นี่เรียกได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนของโชคชะตาทีเดียว
แต่ภายหลัง ผ่านไปปีแล้วปีเล่า ทางเมืองปู๋เชวี่ยก็ไม่ได้สนใจหลินยวนอีก ผ่านไปสองร้อยปีแล้วยังไม่สามารถเรียนจบได้ เรียกได้ว่าหมดประโยชน์แล้ว ทิ้งโอกาสดีๆ ไปอย่างเปล่าประโยชน์ ยังจะมีอะไรน่าสนใจอีก?
ตอนนั้นเหิงเทารู้สึกทอดถอนใจอย่างมาก คนงานชั้นต่ำก็คือคนงานชั้นต่ำ ดูเหมือนที่ตอนนั้นสอบเข้าหลิงซานได้จะเป็นเพราะโชคช่วย สุดท้ายฝุ่นก็ยังเป็นฝุ่น ดินก็ยังเป็นดิน
คนที่ค่อยๆ ถูกลืมไปกลับถูกหอการค้าตระกูลฉินรับเข้ามาทำงาน เรียกได้ว่ามาปรากฏตัวตรงหน้าเขาใหม่อีกครั้ง
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ในที่สุดก็สรุปออกมาเป็นข้อสงสัยได้ เหิงเทานั่งไม่ติดแล้ว เขารีบลุกขึ้นออกไปจากห้อง ตรงไปยังห้องสืบสวนด้วยตัวเอง ไปหาหลินยวน
เหิงเทาทำการสอบปากคำด้วยตัวเอง สอบถามว่าเขาเข้าไปทำงานในหอการค้าตระกูลฉินได้อย่างไร
เรื่องนี้หลินยวนไม่ได้ปิดบังเขา บอกเล่าเรื่องราวที่ตัวเองติดเงินฉินอี๋จนถูกฉินอี๋บังคับเข้าไปทำงานในหอการค้าตระกูลฉิน
เหิงเทารู้สึกประหลาดใจ “นายติดเงินฉินอี๋หนึ่งล้านมุก? นายรู้จักกับเธอมาตั้งแต่แรกแล้วอย่างนั้นเหรอ?”
หลินยวนนิ่งเงียบไป ก่อนจะบอกเล่าเรื่องราวที่ถูกฉินเต้าเปียนหักขา เขาไม่ได้พูดว่าตัวเองคิดอยากจะเกาะฉินอี๋กิน เพราะเชื่อว่าไม่จำเป็นต้องพูด อีกฝ่ายก็น่าจะสืบจนรู้ได้
นี่ก็คล้ายๆ กับการที่หลัวคังอันไม่ยอมเล่าเรื่องบางเรื่อง
นี่สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของตัวเขาที่คนภายนอกเห็น
“….” เหิงเทาพูดไม่ออก
แล้วก็รู้สึกประหลาดใจ เขาพบว่าคนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ปิดบังเสียมิดชิดเลย คิดไม่ถึงว่าจะเคยมีความสัมพันธ์กับประธานของหอการค้าตระกูลฉินมาด้วย
หลายปีมานี้ ฉินอี๋ไม่เคยคบหากับผู้ชายคนไหนเลย ทุกคนต่างนึกว่าเป็นเพราะครอบครัวสอนมาดี ไม่ยอมให้ตัวเองต้องแปดเปื้อน
อีกอย่างคือเขาครุ่นคิดมาโดยตลอดว่าผู้หญิงอย่างฉินอี๋จะหาผู้ชายแบบไหน ผู้ชายแบบไหนถึงจะสามารถควบคุมผู้หญิงอย่างฉินอี๋ได้ ใครจะไปคิดว่า…ไม่ยอมให้ตัวเองแปดเปื้อนอะไรล่ะ ฉินอี๋ถูกคนงานชั้นต่ำคนหนึ่งคาบเอาไปกินอย่างง่ายดายตั้งนานแล้ว
เหิงเทารู้สึกยากจะเชื่อได้ รู้สึกเหมือนกำลังฟังนิทานอยู่อย่างไรอย่างนั้น
ไม่ว่าใครก็คงยากจะเชื่อได้ว่าหญิงแกร่งที่เฉลียวฉลาดมากความสามารถที่สามารถดูแลหอการค้าของตระกูลฉินได้อย่างง่ายดายกลับมาชื่นชอบคนงานชั้นต่ำคนหนึ่ง นี่ล้อเล่นอะไรกันอยู่?
สิ่งสำคัญคือกระทั่งทางสำนักงานเจ้าเมืองที่คอยจับตาดูตระกูลฉินมาโดยตลอดกลับไม่รู้เรื่องนี้เลย
เหิงเทามิได้ถามอะไรมากอีก รีบเดินออกไปตรวจสอบกับทางฉินเต้าเปียนทันที
……………………………………….