ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน – ตอนที่ 112 แต่กับลั่วเทียนเหอ ไม่เหมาะสม!

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ตอนที่ 112 แต่กับลั่วเทียนเหอ ไม่เหมาะสม!

สายตาของแม่ทัพเทพทั้งหกมองกันไปมา ไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไร

หยางเจินสังเกตดูปฏิกิริยาของทั้งหกคน ไม่ได้พูดอะไรอีกเช่นกัน นั่งรอคอยอยู่เฉยๆ

กระทั่งทนต่อไปไม่ไหวแล้ว จื๋อเวยจึงถอนใจพลางกล่าวว่า “ท่านสอง รักตัวกลัวตายนั้นไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เขาถูกไล่ออกจากหน่วยผู้พิทักษ์เทพ สาเหตุหลักๆ เป็นเพราะเขาไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ เที่ยวโอ้อวดไปทั่ว จนเสื่อมเสียมาถึงท่านสอง นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาถูกไล่ออกจากหน่วยผู้พิทักษ์เทพครับ”

หยางเจินไม่เข้าใจ “เสื่อมเสียมาถึงผม? เกี่ยวอะไรกับผม?”

จื๋อเวยชี้ไปยังภาพที่หยุดนิ่ง “เจ้านี่ไม่ได้พุ่งเข้าไปปะทะกับป้าหวังด้วยตัวเอง หากแต่ตอนนั้นเขารักตัวกลัวตายมุดหัวอยู่ข้างหลังจนทำให้ผู้บังคับบัญชาของเขาโมโห จับเขาโยนออกไป หลังเจ้านี่รอดมาได้ กลับไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี เที่ยวไปพูดเหลวไหลบอกว่าตัวเองลงมือช่วยท่านสอง เล่นงานป้าหวังจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดคือหากไม่เป็นเพราะเขา ท่านสองก็ไม่สามารถเอาชนะป้าหวังได้”

ตอนนี้หยางเจินนับว่าเข้าใจแล้ว หางตาลู่ตกลงมา กล่าวช้าๆ ว่า “เพราะเรื่องนี้เลยไล่เขาออกจากหน่วยผู้พิทักษ์เทพ?”

ทุกคนมองออกว่าเขาไม่พอใจจริงๆ แล้ว ทั้งหกสบตากัน หากไม่เป็นเพราะเรื่องนี้ยังจะเป็นเพราะเรื่องไหนได้อีก เมื่อเกิดเรื่องแบบนี้กับคนแบบนี้ขึ้น มีหรือที่คนเบื้องล่างเหล่านั้นจะรอให้ท่านสองเอ่ยปากบอกให้จัดการเรื่องแบบนี้กับคนแบบนี้ด้วยตัวเอง? พวกเขาย่อมต้องรีบจัดการเรื่องนี้โดยไม่ต้องให้บอก

หยางเจินกล่าวว่า “เรื่องแบบนี้ จริงก็คือจริง เท็จก็คือเท็จ ทำไมผมต้องไปกลัวคำพูดเหลวไหลแค่ไม่กี่ประโยคของเขาด้วย?”

ทั้งหกคนยังจะพูดอะไรได้อีก? ใช่ สิ่งที่หยางเจินพูดมานั้นถูกต้อง ไม่ต้องไปสนใจก็ได้ แต่สำหรับคนเบื้องล่างแล้ว พวกเขาจะปล่อยคนที่พูดจาเหลวไหลประเภทนี้ไปโดยไม่จัดการได้หรือ? หากปล่อยคนแบบนี้ไปไม่จัดการ เกรงว่าสักวันคงจะรู้ไปถึงหูหยางเจินเป็นแน่ พอถึงตอนนั้นเมื่อเห็นว่าไม่มีใครจัดการ เกรงว่าความคิดของหยางเจินคงจะไม่เหมือนตอนนี้เป็นแน่

หยางเจินลุกขึ้นยืน “ตอนนั้นพวกท่านมีความคิดที่จะฆ่าเขาด้วยใช่หรือไม่?”

จื๋อเวยลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ไม่ได้ปิดบังเขา “ตอนนั้นคนที่อยู่เบื้องล่างบางคนมีความคิดเช่นนี้ แต่ถูกผมหยุดเอาไว้ กลัวจะส่งผลกระทบที่ไม่ดีมาถึงท่านสองครับ”

หยางเจินกล่าว “พี่ใหญ่รู้ก็ดี พวกเราดูแลวังพิฆาตมารมาเป็นเวลานาน หลายคนจับจ้องอำนาจที่อยู่ในมือของผม คำพูดนินทาลับหลังมีอยู่นับไม่ถ้วน ผมเหมือนกำลังเดินอยู่บนน้ำแข็งบางๆ ต้องคอยระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก แต่พวกท่านกลับไล่เขาออกจากหน่วยผู้พิทักษ์เทพเพราะเรื่องแบบนี้ เหมาะสมแล้วหรือ?”

“หลังการประมูลครั้งนี้ คนผู้นี้จะเป็นที่รู้จักไปทั่วดินแดนเซียน ทางสภาเซียนจะต้องมีคนไปสืบประวัติความเป็นมาของเขาแน่นอน เมื่อพบว่าเขาถูกหน่วยผู้พิทักษ์เทพไล่ออกมา ทางผู้พิทักษ์เทพจะอธิบายอย่างไร? บอกว่าเขารักตัวกลัวตายเหรอ? พวกท่านคิดว่าคนที่ได้ดูการประมูลครั้งนี้ยังจะคิดว่าเขาเป็นพวกรักตัวกลัวตายเหรอ? กล้าหาญชาญฉลาดมากกว่าน่ะสิ! คนที่มีความสามารถแบบนี้…เขาถูกไล่ออกมาได้อย่างไร คนอื่นจะคิดอย่างไร? จะให้สภาเซียนมองผมอย่างไร? จะให้ฝ่าบาทมองผมอย่างไร?”

จื๋อเวยรีบกล่าว “หลัวคังอันผู้นี้เป็นคนอย่างไร คนในหน่วยผู้พิทักษ์เทพต่างรู้ดี ไม่กลัวทางสภาเซียนตรวจสอบครับ”

หยางเจินกล่าว “ก็กลัวว่าพอสภาเซียนตรวจสอบ คนในหน่วยผู้พิทักษ์เทพต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาเป็นพวกรักตัวกลัวตายนั่นแหละ! เมื่อเทียบกับฝีมือที่เขาแสดงออกมาในการประมูลแล้ว คนในหน่วยผู้พิทักษ์เทพต่างพูดกันไปอีกอย่างหนึ่ง พวกท่านว่าฝ่าบาทจะทรงคิดอย่างไร? จะให้ฝ่าบาททรงคิดว่าผมมีอำนาจยิ่งใหญ่จนเข้าไปควบคุมในหน่วยผู้พิทักษ์เทพได้อย่างนั้นเหรอ?”

ทั้งหกคนต่างนิ่งเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ใครจะไปคิดถึงได้ล่ะ ไม่มีใครเคยคิดว่าสวะคนหนึ่งจะแสดงความสามารถออกมาถึงขนาดนี้ได้ เรื่องนี้มัน….

หยางเจินพยักเพยิดหน้าไปทางฉากแสง “ไม่ว่าผลการประมูลครั้งนี้จะออกมาเป็นอย่างไร เขาก็ได้แสดงฝีมือออกมาให้เห็นแล้ว ส่งคนไปติดต่อเขา ถามเขาว่าอยากจะกลับมาที่หน่วยผู้พิทักษ์เทพไหม ถ้ากลับมา ก็ช่วยให้เขาได้กลับไปอยู่ในบัญชีรายชื่อเซียน แล้วก็เลื่อนตำแหน่งให้เขาด้วย! แล้วก็ไม่ต้องไปคิดเล็กคิดน้อยอะไรกับเขาอีก มีความสามารถที่แท้จริงคือสิ่งสำคัญที่สุด”

จื๋อเวยกล่าวอย่างลังเลว่า “กลัวเขาจะมองว่าจะมีการแก้แค้น เลยไม่กล้ากลับมาน่ะสิครับ”

หยางเจินกล่าวว่า “เรื่องราวมาถึงขึ้นนี้แล้ว ถ้าเขาไม่ยอมกลับมา อย่างนั้นก็ปล่อยเขาไป ไม่ต้องไปบังคับเขา ตอนนี้มีหลายคนจับตามองเขาอยู่ พวกท่านอย่าไปทำอะไรส่งเดชจะดีที่สุด”

“รับทราบ!” จื๋อเวยรับคำ แต่เขากลับกล่าวอย่างค่อนข้างแปลกใจว่า “เจ้านี่อยู่ในหน่วยผู้พิทักษ์เทพมาหลายปีแล้ว เมื่อดูจากข้อมูลทั่วๆ ไปที่ได้มาจากในหน่วยผู้พิทักษ์เทพแล้ว เขาถือเป็นพวกที่ไร้ความสามารถจริงๆ ทำไมจู่ๆ ถึงคล้ายว่าเปลี่ยนไปเป็นคนละคนได้?”

หยางเจินถามกลับ “ท่านแน่ใจหรือว่าเขาไร้ความสามารถจริงๆ?”

“เอ่อ…” จื๋อเวยลังเลเล็กน้อย

หยางเจินกล่าวว่า “เขาสอบเข้าหน่วยผู้พิทักษ์เทพได้อย่างไร?”

จื๋อเวยกล่าวว่า “ตอนที่เขาอวดดีพูดจาเหลวไหล ผมเคยไปตรวจสอบประวัติของเขามา เขาไม่ได้สอบเข้ามา แต่เขาเป็นนักเรียนของหลิงซาน เป็นหลงซืออวี่ที่เป็นอาจารย์ของเขาแนะนำเขาเข้ามาในหน่วยผู้พิทักษ์เทพตอนเขาเรียนจบครับ”

หยางเจินประหลาดใจ “หลงซืออวี่? ตาแก่แซ่หลงที่ถูกขังตายอยู่ในดินแดนหมิงน่ะเหรอ?”

จื๋อเวยกล่าว “ใช่ครับ หลงซืออวี่ชั่วชีวิตนี้ไม่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น สอนหนังสืออย่างเงียบๆ อยู่ในหลิงซาน คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายกลับพังพินาศด้วยน้ำมือผู้หญิง ตอนที่เขาแนะนำหลัวคังอันเข้าไปในหน่วยผู้พิทักษ์เทพคือช่วงก่อนที่เขาจะเกิดเรื่องไม่นานครับ”

หยางเจินคล้ายกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ หลังได้สติกลับมาก็ชำเลืองมองเขา “จากที่ผมรู้มา น้อยครั้งนักที่หลงซืออวี่จะใช้สถานะในหลิงซานของตัวเองแนะนำใคร คนที่เขาแนะนำ พวกท่านกลับคิดว่าเป็นคนธรรมดา พวกท่านคิดได้ยังไงกัน?”

จื๋อเวยยิ้มเจื่อน “ก็เป็นเพราะไม่ค่อยแนะนำใครนี่แหละ ในเมื่อเป็นคนที่หลงซืออวี่แนะนำ จะมากจะน้อยทางผู้พิทักษ์เทพของเมืองหลวงก็ต้องไว้หน้าบ้าง ด้วยเหตุนี้จึงให้หลัวคังอันไปเป็นผู้ควบคุมหลักของเทพมหาวิญญาณ คนเบื้องล่างเองก็จับตามองหลัวคังอันเป็นพิเศษ ภายหลังถึงได้พบว่าเขาเป็นแค่คนธรรมดาจริงๆ แล้วก็ไม่มีใครสนใจอะไรเขาอีก แต่คนผู้นั้นกลับมีปฏิสัมพันธ์ในหน่วยผู้พิทักษ์เทพของเมืองหลวงที่ไม่เลว แล้วก็ทำให้เขาอยู่ในหน่วยผู้พิทักษ์เทพมาได้เรื่อยๆ ครับ”

หยางเจินจ้องมองดูฉากแสงที่กำลังฉายภาพการประมูล “แล้วหอการค้าตระกูลฉินนั่นล่ะ? เป็นไปได้หรือที่พวกเขาจะถ่อมาถึงเมืองหลวงเพื่อเชิญคนที่ไร้ประโยชน์คนหนึ่งไปช่วยหอการค้าของพวกเขาทำเรื่องใหญ่ที่มีความสำคัญต่อพวกเขาอย่างมากได้? คนที่หลงซืออวี่แนะนำ คนที่หอการค้าตระกูลฉินส่งลงไปประมูล ถ้าบอกว่าเป็นคนธรรมดา พวกท่านเชื่อหรือ?”

ตรงประเด็น คล้ายพูดถูกจุดที่สำคัญ ทุกอย่างกระจ่างแจ้งขึ้นมาทันที ทำเอาทั้งหกคนต้องค้อมกายด้วยสีหน้าที่ดูแย่ คล้ายว่ายอมรับผิดอย่างไรอย่างนั้น

แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าหลัวคังอันไม่ได้แสดงความสามารถเช่นนี้ออกมา ใครมันจะไปนึกเชื่อมโยงสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้?

หยางเจินรู้แก่ใจดี แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรมากอีก เขาเบนความสนใจไปที่อีกคนหนึ่ง “คนที่แซ่หลินนั่น ชื่อหลินอะไรนะ?”

กัวฉีสวินรีบกล่าว “หลินยวนครับ”

หยางเจินกล่าว “นักเรียนหลิงซานที่เรียนมาสามร้อยปียังเรียนไม่จบ ความสามารถเองก็ไม่มีอะไรพิเศษ ทำไมหอการค้าตระกูลฉินถึงให้เขาไปเป็นผู้ช่วยหลัวคังอันล่ะ? ทำไมหอการค้าตระกูลฉินถึงให้เขารับผิดชอบหน้าที่ที่สำคัญถึงขนาดนี้ได้?”

กัวฉีสวินกล่าว “พอพูดถึงเรื่องนี้ ผมเองก็สงสัยเหมือนกัน หลังเมืองปู๋เชวี่ยเกิดคดีฆาตกรรมขึ้น ผู้พิทักษ์เมืองของทางนั้นเคยจับคนในหอการค้าตระกูลฉินมาสอบปากคำ รวมถึงหลินยวนคนนี้ด้วย ข้อสงสัยของท่านสองย่อมต้องเป็นข้อสงสัยของเมืองปู๋เชวี่ยด้วยเช่นกัน พวกเขาย่อมต้องทำการตรวจสอบ แต่หลังจากนั้นก็ปล่อยคนออกมา ดูแล้วทางลั่วเทียนเหอคงจะรู้เรื่องอะไรบางอย่างครับ”

“หลังจากนั้นผมก็ไปที่เมืองปู๋เชวี่ยเพื่อขอลั่วเทียนเหอดูบันทึกการสืบสวน แต่ลั่วเทียนเหอไม่ให้ ผมเลยใช้ช่องทางอื่นทำการตรวจสอบบันทึกการสืบสวนอย่างลับๆ ผลปรากฏว่าพบเรื่องแปลกประหลาดเรื่องหนึ่ง ในบันทึกการสืบสวนนั้น บันทึกการสอบปากคำของทุกคนล้วนอยู่ครบ มีเพียงบันทึกการสอบปากคำของบุคคลระดับสูงของหอการค้าตระกูลฉินจำนวนหนึ่งกับหลินยวนที่ไม่อยู่ เห็นได้ชัดว่ามีคนดึงออกไป ไม่รู้ว่าทางลั่วเทียนเหออยากจะปิดบังอะไร เรื่องนี้จะต้องมีความลับอะไรบางอย่างอยู่แน่นอนครับ”

หยางเจินร้องอ้อ “มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ?” เขาค่อยๆ เดินลงมาจากบนแท่นไพศาล สองมือไพล่หลัง ก้าวเดินพลางครุ่นคิด

สายตาของคนอื่นๆ เคลื่อนตามเขา กัวฉีสวินกล่าวว่า “ท่านสองครับ คดีฆาตกรรมในเมืองปู๋เชวี่ยไม่คล้ายว่าเป็นฝีมือคนธรรมดาทั่วไป ไม่แน่อาจจะเกี่ยวกับพวกผู้สนับสนุนราชวงศ์ก่อนเหล่านั้น เรื่องที่ลั่วเทียนเหอปิดบังข้อมูลการสืบสวนก็น่าสงสัย ถ้ายังไงเราขอให้ทางสภาเซียนขอคำให้การที่หายไปเหล่านั้นมาดีไหมครับ?”

หยางเจินชะงักฝีเท้า ทอดตามองออกไปด้านนอกประตู “หากมีเรื่องที่คิดจะปิดบังจริงๆ นายคิดว่าคำให้การที่ได้มาจะเป็นความจริงเหรอ?”

กัวฉีสวินกล่าว “เราจับคนที่เกี่ยวข้องมาแล้วทำการสอบสวนใหม่ ให้ทางวังพิฆาตมารเป็นคนสอบสวน จะต้องได้เบาะแสอะไรแน่นอนครับ”

หยางเจินกล่าว “ถ้าพวกเราแสดงท่าทีแข็งกร้าวเช่นนี้แล้ว แต่สิ่งที่สืบออกมาได้กลับไม่ใช่สิ่งที่นายคิดเอาไว้ แล้วเราจะไปอธิบายกับทางสภาเซียนอย่างไร เราจะแก้ต่างว่าอย่างไร?”

กัวฉีสวินเร่งฝีเท้าเดินไปข้างกายเขา “ท่านสองครับ เรื่องนี้มันน่าสงสัยจริงๆ นะครับ”

หยางเจินส่ายศีรษะเล็กน้อย “นายคิดมากไปแล้ว ถ้าบอกว่าลั่วเทียนเหอร่วมมือกับผู้สนับสนุนราชวงศ์ก่อน นายเชื่อเหรอ? คนที่พยายามสาดโคลนใส่เขามีอยู่ไม่น้อย แต่ถ้าไม่มีหลักฐาน จะสาดโคลนยังไงก็ไม่มีประโยชน์ ฝ่าบาททรงไม่มีทางเชื่อแน่นอน คนอย่างลั่วเทียนเหอ เรื่องอื่นฉันไม่กล้าพูด แต่เรื่องแบบนี้แทบจะไม่มีทางเป็นไปได้”

กัวฉีสวินกล่าว “กลัวว่าจะรู้หน้าไม่รู้ใจนะครับ”

หยางเจินเหลียวหน้ากลับไป มองเขาด้วยสายตาลุ่มลึก “นายอย่าลืมเสียล่ะ เขาเป็นคนข้างกายของเหนียงเหนียง[1] คำพูดที่เล่นงานฉันจนต้องถูกลดตำแหน่งในตอนนั้น ไม่มีใครรู้ว่าเป็นความคิดของเขาเองหรือว่าเป็นความคิดของเหนียงเหนียงกันแน่ แต่สุดท้ายแล้วเหนียงเหนียงก็ออกหน้าปกป้องเขา”

ทั้งหกคนมีสีหน้าคร่ำเคร่ง พวกเขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าเหนียงเหนียงคิดอะไรอยู่กันแน่ เห็นๆ อยู่ว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่กลับไม่พอใจที่ฝ่าบาททรงให้ความสำคัญกับหลานของตัวเอง คล้ายคอยเฝ้าระแวงฝั่งนี้อยู่ตลอดเวลา

หยางเจินพลันกลัดกลุ้มพร้อมถอนใจ “หากเป็นคนอื่น อยากจะจัดการก็คงไม่ใช่เรื่องลำบากอะไร แต่ถ้าจะจัดการลั่วเทียนเหอ มันไม่เหมาะจริงๆ! เขาจงใจเล่นงานฉันจนถูกลดตำแหน่ง ถ้าฉันไปทำอะไรเขา มันจะดูจงใจเป็นการแก้แค้นเกินไป ขอเพียงฉันยื่นเรื่องขึ้นไป เหนียงเหนียงจะต้องเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน ฝ่าบาทเองก็จะทรงเห็นแก่เหนียงเหนียง หากไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน ฝ่าบาทไม่แน่ว่าจะทรงอนุญาต”

กัวฉวีสวินโมโหเล็กน้อย “ถ้าเกิดมือเขาไม่ได้สะอาดเหมือนอย่างที่คิดล่ะครับ หรือจะปล่อยให้เขาทำผิดไปเรื่อยๆ โดยไม่มีใครทำอะไรเขาได้?”

หยางเจินกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “อย่างนั้นก็ปล่อยเขาทำไป พอถูกรัดมือรัดขา ถูกจับตามากเข้า เขาเองไม่มีโอกาสให้ทำผิดพลาดเช่นกัน ถ้าเขาทำเรื่องอะไรที่ไม่ควรทำจริงๆ คนที่ปวดหัวไม่ใช่พวกเรา หากแต่เป็นคนที่อยู่เบื้องหลังเขา”

คำพูดนี้มีความหมายลึกซึ้ง ทำให้ทั้งหกคนคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไร

“ยังมีเรื่องอื่นไหม?” หยางเจินกล่าวถาม สายตาหันไปสบเข้ากับเหยาเทียนมี่เล็กน้อย

ทั้งหกคนค้อมกายขอตัวลาออกไป ภายในตำหนักว่างเปล่า หยางเจินเดินไปตรงหน้าฉากแสงเพียงลำพัง

จากนั้นครู่หนึ่ง น้องสี่เหยาเทียนมี่ที่หน้าตาค่อนข้างโหดเหี้ยมดุร้ายก็กลับมา เดินมายังข้างกายหยางเจิน

หยางเจินกล่าว “ได้เบาะแสหรือยัง?”

เหยาเทียนมี่กล่าว “ไม่ได้โผล่หน้ามาอีกเลยครับ ถ้าท่านสองแน่ใจว่าเขาถูกพิษผนึกมาร ป่านนี้เขาน่าจะตายไปแล้วครับ แล้วก็น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ติดต่อไม่ได้ครับ”

หยางเจินกล่าว “ตอนที่โจมตีถูกฉันรู้สึกได้ เลือดที่อยู่บนทวนน่าจะเป็นเลือดของเขา เขาน่าจะถูกพิษผนึกมารของฉันแล้ว แต่จะตายจริงหรือไม่นั้นยังไม่แน่ ถ้ายังไม่ได้รับการยืนยัน เช่นนั้นก็พูดได้แค่ว่ามีโอกาสสูงมากที่จะตาย”

“เดี๋ยวทางผมจะทำการค้นหาต่อไปจนกว่าจะได้รับข้อมูลยืนยันที่แน่ชัดครับ” เหยาเทียนมี่กล่าวรับรอง จากนั้นมองไปรอบๆ อีกครั้งแล้วกล่าวถามเสียงเบาๆ ว่า “เจ้านั่นลงมือโหดเหี้ยมมาก อาการบาดเจ็บของท่านฟื้นตัวเป็นอย่างไรบ้างครับ?”

หยางเจินกล่าว “พอสมควรแล้ว เรื่องนี้ห้ามพูดออกไปเด็ดขาด”

“รับทราบครับ” เหยาเทียนมี่ค้อมกายเล็กน้อย “ได้ยินว่าเทพมหาวิญญาณรุ่นใหม่ใกล้จะออกมาแล้ว ท่านจะเป็นคนแรกของดินแดนเซียนที่ได้ทดลองใช้หรือเปล่าครับ?”

หยางเจินกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ได้ยินว่าเป็นรุ่นที่พลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์ สามารถใช้พลังหลอมรวมเป็นหนึ่งกับคนได้ ฉันเองก็อยากเห็นเร็วๆ เหมือนกัน”

………………………………………………………..

[1]เหนียงเหนียง คือคำเรียกราชินี

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

Status: Ongoing
อดีตแมงดาหวนคืนสู่มาตุภูมิในรอบ 300 ปี หวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่าง แต่กลับต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูลเทพมหาวิญญาณและการชิงอำนาจจนเสี่ยงจะถูกเปิดเผยตัวตน?!อีก 1 ผลงานใหม่จากนักเขียนระดับแพลตตินัมของ Qidian ‘เยวี่ยเชียนโฉว’ผู้เขียนเรื่อง < พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า > และ < ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า >ณ แดนเซียนในยุคปัจจุบัน‘หลินยวน’ อดีตแมงดา เดินทางกลับมายังมาตุภูมิพร้อมกับตัวตนใหม่ด้วยหวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่างแต่ด้วยความจำเป็น เขาจึงต้องเข้าไปทำงานในบริษัทของคนรักเก่าที่เขาเคยหลอกใช้ในฐานะผู้ช่วยของ ‘หลัวคังอัน’ จอมลวงโลกที่โกหกว่าตัวเองคือผู้ทำให้ ‘ป้าหวัง’ 1 ใน 13 มารสวรรค์บาดเจ็บสาหัสและนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หลินยวนต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูล ‘เทพมหาวิญญาณ’ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์จำนวนมหาศาลและการชิงอำนาจระหว่างตระกูลจนเสี่ยงต่อการถูกเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง?!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท