ตอนที่ 130 เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องมีหลักฐาน
สิ่งที่ยากลำบากยิ่งกว่านั้นก็คือเรื่องราวสืบมาจนถึงขั้นนี้แล้ว ขอเพียงไม่ใช่คนโง่ก็จะต้องคาดเดาได้แน่นอนว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหอการค้าตระกูลพานกับหอการค้าตระกูลโจว เรื่องนี้ถ้าลั่วเทียนเหอปล่อยพวกเขาไปง่ายๆ ก็แปลกแล้ว
เผิงซีสูดหายใจ “พวกเราดูแคลนหลัวคังอันคนนี้มาโดยตลอด ดูเหมือนพวกเราต้องสืบประวัติของเขาอย่างละเอียดดูแล้วครับ”
โจวหม่านเชากล่าวว่า “ตอนนี้ประเด็นนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ตระกูลหนานชีที่อยู่เบื้องหลังหอการค้าตระกูลฉินเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว อีกทั้งยังได้เปรียบด้วย หากคิดอยากจะขัดขวางไม่ให้หอการค้าตระกูลฉินกลืนกินผลประโยชน์ในการประมูลคงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว ตอนนี้การทำให้หอการค้าตระกูลฉินไม่มีเวลาจัดสรรผลประโยชน์ตรงนี้ต่างหากถึงจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่สถานการณ์ในเวลานี้มันทำให้เกิดผลกระทบที่ไม่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากเรายังไปลงมือกับหอการค้าตระกูลฉินที่เมืองปู๋เชวี่ยอีก เกรงว่าลั่วเทียนเหอคงไม่นั่งดูเฉยๆ แน่ ทันทีที่ลั่วเทียนเหอเข้ามาจัดการเรื่องนี้เต็มตัว พวกเราคงจะเล่นงานหอการค้าตระกูลฉินได้ไม่สะดวกเท่าไร”
เผิงซีกล่าวว่า “อย่างนั้นก็ทำให้ลั่วเทียนเหอได้แต่นั่งมองอยู่เฉยๆ สิครับ”
โจวหม่านเชาเหลียวหน้ากลับไปมองเขา “หมายความว่ายังไง?”
เผิงซีเขยิบเข้าไปใกล้เล็กน้อย กล่าวเสียงเบาๆ ว่า “ภายในค่ายผู้พิทักษ์เทพของเมืองปู๋เชวี่ยมีหนอนบ่อนไส้ เกือบจะส่งผลกระทบต่อการประมูลของสภาเซียนในครั้งนี้ ประกอบกับคดีฆาตกรรมก่อนหน้านี้ นี่นับเป็นข้ออ้างได้พอดี ถ้าเราร่วมมือกับคนที่หนุนหลังหอการค้าตระกูลพาน ย้ายลั่วเทียนเหอออกไปจากเมืองปู๋เชวี่ย หากสามารถเปลี่ยนเอาคนที่ไว้ใจได้มานั่งในตำแหน่งเจ้าเมืองปู๋เชวี่ยแทนได้ อย่างนั้นก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่”
โจวหม่านเชาได้ฟังจนสีหน้าตื่นตัวขึ้นมา เขารีบหมุนตัวทันที สองมือไพล่ไว้ด้านหลังเดินกลับไปกลับมา พยักหน้าเล็กน้อยเป็นพักๆ
เหตุใดหอการค้าตระกูลฉินถึงผงาดขึ้นมาได้? มิใช่เพราะมีลั่วเทียนเหอคอยให้สิทธิพิเศษอยู่ในเมืองปู๋เชวี่ยหรอกหรือ ถ้าหากย้ายเอาลั่วเทียนเหอออกไปได้ รากฐานที่ทำให้หอการค้าตระกูลฉินสามารถยืนได้อย่างมั่นคงก็จะหายไปเกือบครึ่ง หากมีคนของฝั่งตัวเองไปเป็นเจ้าเมืองแทนอีกล่ะก็ การจะทำลายหอการค้าตระกูลฉินก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
นี่เรียกได้ว่าเป็นการลงมือเล่นงานจากรากฐานของหอการค้าตระกูลฉิน เมื่อก่อนไม่มีโอกาสที่จะเล่นงานลั่วเทียนเหอได้ แต่ตอนนี้พอได้ยินเผิงซีกล่าวเช่นนี้ มันก็นับเป็นโอกาสดีจริงๆ อย่างที่อีกฝ่ายว่ามา เรื่องร้ายคล้ายจะกลายเป็นเรื่องดี
โจวหม่านเชาพลันหยุดฝีเท้าแล้วหมุนตัวกลับมา หันไปสั่งการเมิ่งซู่ผู้เป็นผู้ช่วยที่ยืนตัวตรงอยู่ข้างๆ “ไป ไปเชิญพานชิ่งมานี่หน่อย!”
“ครับ” เมิ่งซู่พยักหน้ารับคำสั่ง เหลือบมองเผิงซีเล็กน้อยก่อนจะหมุนตัวออกไป
……
“ตายไปอีกคนแล้ว!”
ตรงด้านหน้าโต๊ะ ลั่วเทียนเหอที่กำลังดูข้อมูลที่ถูกส่งมาบนโต๊ะเรียกได้ว่ากำลังแค่นหัวเราะอย่างเย็นชา
ข่าวการตายของฉู่ผิงถูกส่งมาแล้ว จากนั้นก็มีข้อมูลของฉู่ผิง แล้วก็มีภาพสถานที่ที่ฉู่ผิงเสียชีวิต เหิงเทาล้วนส่งมาให้เขาในทันที
ตอนนี้รู้แล้วว่าคนที่ยุยงให้จูลี่พยายามพาคณะแสดงมาที่เมืองปู๋เชวี่ยคือใคร ทว่าคนคนนั้นตายไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าฉู่ผิงคนนี้ก็ไม่ใช่คนที่อยู่เบื้องหลังที่แท้จริงเช่นกัน เพราะเธอถูกคนฆ่าปิดปากไปแล้ว
ข้อมูลที่เหิงเทาส่งมาพร้อมกันยังมีข้อมูลในด้านอื่นๆ อีก การสืบสวนเรื่องจ่าเซียวที่เป็นผู้บังคับบัญชาของค่ายผู้พิทักษ์เทพมีความคืบหน้าแล้ว
จากคำให้การของผู้พิทักษ์เทพที่เข้าเวรในคืนที่มีการแสดงได้ยืนยันแล้วว่าสิ่งที่หลัวคังอันพูดมานั้นเป็นความจริง ในคืนวันนั้นหลัวคังอันได้พาคนคนหนึ่งเดินเล่นอยู่ในค่ายผู้พิทักษ์เทพ ดูคล้ายจะเป็นผู้ชายคนหนึ่ง แต่จากหน้าตาและกลิ่นหอมของคนคนนั้น ผู้พิทักษ์เทพบางส่วนที่เข้าเวรในคืนวันนั้นจึงพอจะมองออกว่าเป็นผู้หญิง เพียงแต่สถานการณ์ภายในค่ายผู้พิทักษ์เทพในคืนวันนั้นมีความพิเศษ จึงไม่มีใครสนใจอะไร
แล้วก็มีคนเคยรายงานเรื่องนี้กับทางจ่าเซียวแล้วเช่นกัน แต่ตอนนี้ดูแล้ว ข้อมูลที่ถูกรายงานขึ้นไปเหมือนจะถูกหยุดเอาไว้ที่จ่าเซียว ไม่ได้ถูกกระจายออกไปต่ออีก
จากรูปร่างหน้าตาที่ได้มาจากคำให้การ ประกอบกับภาพกล้องวงจรปิดบางส่วนที่ดึงออกมาได้ ผู้หญิงคนนั้นก็คือเสวี่ยหลานที่เข้าร่วมการแสดงโดยแต่งตัวเป็นผู้ชาย
ในแง่หนึ่งแล้ว เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าค่ายผู้พิทักษ์เทพของเมืองปู๋เชวี่ยนั้นเงียบสงบมาเป็นเวลานานแล้วจริงๆ ในด้านความระแวดระวังล้วนเฉื่อยชาไปจนหมด
เหิงเทาเองก็ได้ทำการตรวจสอบดูภาพจากกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งอยู่ภายในโรงเก็บเทพมหาวิญญาณภายในคืนที่เกิดเรื่องทันที จากการตรวจสอบอย่างละเอียดถึงได้พบปัญหา มีภาพจากกล้องวงจรปิดบางส่วนที่ขาดหาดไป เมื่อตรวจสอบเวลาดูแล้วพบว่าตรงกับช่วงเวลาที่หลัวคังอันกับเสวี่ยหลานหายไปพอดี
ทำไมกล้องวงจรปิดถึงเกิดปัญหาได้? เหิงเทาจึงรีบสอบสวนเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบดูแลกล้องวงจรปิดในคืนวันนั้นทันที จากคำให้การถึงได้รู้ว่าจ่าเซียวได้แสดงความเห็นใจพวกเขา อนุญาตให้พวกเขาไปดูการแสดงได้ ส่วนตัวจ่าเซียวเองก็มารับช่วงดูแลศูนย์ตรวจตราของค่ายผู้พิทักษ์เทพแทน
และจากภาพที่ได้จากกล้องวงจรปิดภายในค่ายเทพมหาวิญญาณในคืนนั้น ประกอบกับคำให้การของเจ้าหน้าที่บางส่วนที่เข้าเวรในคืนนั้น มันก็ได้แสดงให้เห็นถึงร่องรอยความเคลื่อนไหวของหลัวคังอันและเสวี่ยหลาน เป็นจ่าเซียวที่สั่งการให้เจ้าหน้าที่ลาดตระเวนบีบให้ทั้งสองคนนั้นมุ่งหน้าไปยังโรงเก็บเทพมหาวิญญาณของหอการค้าตระกูลฉิน
ร่องรอยและเบาะแสต่างๆ ได้พิสูจน์ยืนยันแล้วว่าจ่าเซียวที่ประจำการอยู่ในคืนวันเกิดเหตุก็คือหนอนบ่อนไส้
ทำไมถึงต้องทำเรื่องแบบนี้? เห็นได้ชัดว่าก็เพื่อสนับสนุนปฏิบัติการของเสวี่ยหลาน เพื่อให้เสวี่ยหลานได้เข้าใกล้เทพมหาวิญญาณของหอการค้าตระกูลฉิน และจากคำสารภาพของหลัวคังอัน มันก็พอจะมั่นใจได้แล้วว่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับเทพมหาวิญญาณหอการค้าตระกูลฉินนั้นเป็นฝีมือของเสวี่ยหลานจริงๆ
เรื่องราวทั้งหมดเปิดเผยอยู่ตรงหน้า
จ่าเซียวหายตัวไป ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย สามารถมองว่าหลบหนีไปแล้วก็ได้ ฉู่ผิงถูกฆ่าปิดปาก เสวี่ยหลานถูกฆ่าปิดปาก
เทพธิดาคนหนึ่ง นักข่าวในเมืองหลวงคนหนึ่ง แล้วก็ยังมีผู้บังคับบัญชาของค่ายผู้พิทักษ์เทพคนหนึ่ง บางทีอาจจะเป็นคนสามคนที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน แต่กลับทำงานประสานในเรื่องเดียวกัน เบื้องหลังจะต้องมีคนคอยเชื่อมโยงทั้งสามคนเอาไว้ด้วยกันอย่างแน่นอน
โครงร่างของเรื่องราวปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว ฉู่ผิงที่เป็นนักข่าวของเมืองหลวงยุยงให้จูลี่พยายามดึงคณะแสดงให้มาจัดการแสดงที่เมืองปู๋เชวี่ย เพื่อจะได้ฉวยโอกาสส่งเสวี่ยหลานเข้าไปในค่ายผู้พิทักษ์เทพ ทำให้เสวี่ยหลานได้เจอกับหลัวคังอัน จากนั้นถ่ายไฟเก่าปะทุขึ้นมา ส่วนจ่าเซียวที่อยู่ในค่ายผู้พิทักษ์เทพก็คอยสนับสนุนปฏิบัติการของเสวี่ยหลานอีกชั้นหนึ่ง
ฉู่ผิงเป็นเพียงตัวชี้นำ เสวี่ยหลานคือคนที่ลงมือปฏิบัติการจริงๆ ส่วนจ่าเซียวคือหัวใจสำคัญที่รับประกันว่าแผนการจะไม่ผิดไปจากที่วางเอาไว้
แผนการนี้ดูเหมือนเรียบง่าย แต่ความจริงแล้วไม่ธรรมดา มันไม่ใช่แผนที่คนธรรมดาจะทำได้เลย แต่กลับมีคนใช้คนที่มีสถานะแตกต่างกันไปเพียงสามคนทำให้แผนการนี้สำเร็จลุล่วงได้ จากตรงนี้จะเห็นได้เลยว่าอิทธิพลของคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ไม่ธรรมดา
“การตระเวนแสดง…” ลั่วเทียนเหอที่กล่าวพึมพำเดินไปเดินมาอยู่ภายในห้อง สายตาฉายแววดุร้าย
การตระเวนแสดงที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาก่อนหน้านี้ดูเหมือนสมเหตุสมผล เพื่อปลอบประโลมผู้คนหลังจากที่เมืองหลวงถูกโจมตี แต่ตอนนี้เมื่อดูจากเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นแล้ว จะเห็นได้ว่าการตระเวนแสดงครั้งนี้มันค่อนข้างจะปุบปับกะทันหันไปหน่อย
……
ณ ตำหนักคุนกว่าง ภายในพื้นที่ว่างเปล่าและดำมืดที่อยู่ลึกเข้าไปในตำหนักมีเพียงประกายเรืองรองของไข่มุก
หนานหรูหลับตายืนนิ่ง อาภรณ์พลิ้วไหวทั้งๆ ที่ไม่มีลม บนพื้นที่อยู่ตรงหน้ามีกองทรายที่กระจายตัวเป็นชั้นบางๆ มีสายลมพัดเอื่อยผ่านไปเป็นระยะ บนพื้นทรายคล้ายมีอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนไหว ตัวอักษรตัวแล้วตัวเล่าปรากฏขึ้นมาบนพื้นทรายอย่างรวดเร็ว
กระทั่งตัวอักษรที่ปรากฏขึ้นมาอย่างต่อเนื่องหยุดลง สายลมที่พัดเอื่อยก็หายไปด้วยเช่นกัน หนานหรูถึงจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา จ้องมองตัวอักษรที่อยู่บนพื้นทรายเป็นเวลาครู่ใหญ่ ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อที่มีขนาดใหญ่คราหนึ่ง เม็ดทรายที่กระจายตัวอยู่บนพื้นเคลื่อนตัวเข้ามารวมกันเหมือนใยเมฆ ก่อนจะพุ่งขึ้นมาแล้วมุดเข้าไปในแหวนสารพัดนึกของเขา
จากนั้นเขายกมือไพล่หลังแล้วก้าวเดิน เดินไปเดินมาอยู่เพียงลำพังภายใต้แสงไฟสลัว สีหน้าคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไร
จู่ๆ ภายในส่วนลึกของความมืดพลันมีเสียงรายงานดังขึ้นมา “ท่านเจ้าแคว้น ลั่วเทียนเหอเจ้าเมืองปู๋เชวี่ยมาขอเข้าพบครับ”
หนานหรูหันศีรษะไป นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะเอยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “เชิญเข้ามา”
จากนั้นสะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง แสงไฟพลันสว่างขึ้นมา ส่องสว่างการประดับประดาตกแต่งต่างๆ ที่อยู่ภายในตำหนักแห่งนี้ให้สว่างไสวขึ้นมา
ไม่นานนัก ลั่วเทียนเหอที่ย่างก้าวอย่างมั่นคงก็มาถึง ไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยอะไรออกมา หนานหรูพลันค้อมกายเล็กน้อย เรียกขานอย่างเคารพนอบน้อมว่า “อาจารย์”
เมื่อเห็นว่าที่นี่ไม่มีใครอื่น ลั่วเทียนเหอจึงหยิบเอาม้วนเอกสารม้วนหนึ่งส่งให้ “คดีมีความคืบหน้าแล้ว เธอลองดู”
หนานหรูร้องอ้อ รับเอาม้วนเอกสารมา ยืนพลิกอ่านไปทีละหน้าๆ ยิ่งอ่านยิ่งเร็วขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสุดท้ายเพียงแค่ดูคร่าวๆ เล็กน้อยเท่านั้น ไม่นานก็อ่านจบ ประคองม้วนเอกสารด้วยสองมือส่งคืนให้ลั่วเทียนเหอ “อาจารย์ทำงานรวดเร็วจริงๆ ครับ เพิ่งจะผ่านไปวันเดียวก็สามารถสืบได้คร่าวๆ แล้วว่าอะไรเป็นอะไร”
ลั่วเทียนเหอกล่าว “การตระเวนแสดงนั่นมีปัญหา แต่เบื้องหลังทีมผู้จัดงานมีคนที่เกี่ยวข้องอยู่เยอะเกินไป มันอยู่เหนือขอบเขตที่เมืองปู๋เชวี่ยจะยื่นมือเข้าไปได้ เกรงว่าคงต้องให้เธอช่วย ฉันถึงจะมีอำนาจสืบต่อไปได้”
หนานหรูพยักหน้าเล็กน้อย แต่น้ำเสียงยังคงฟังดูผ่อนคลาย “ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากขนาดนั้นครับ ส่งคดีนี้ไปให้ทางเมืองหลวง ให้ทางนั้นเป็นคนสืบก็พอครับ”
ลั่วเทียนเหอขมวดคิ้วขึ้นมา “นี่เป็นเรื่องในเมืองปู๋เชวี่ยของฉัน จะส่งไปให้ทางเมืองหลวงสืบ? มันไม่ใช่เรื่องของพวกเขา จะคาดหวังให้พวกเขามอบคำตอบอะไรได้เหรอ?”
หนานหรูส่ายศีรษะ “แค่สืบได้เรื่องนิดหน่อยก็พอแล้ว เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องไปตามสืบจนถึงที่สุด หรืออาจารย์ยังคิดว่าเราจะสืบหาความจริงจากเรื่องนี้ได้อยู่อีกเหรอครับ? อาจารย์เองก็เห็นแล้วว่าแผนการฆ่าปิดปากมันเริ่มขึ้นตั้งนานแล้ว ไม่มีทางเหลือหลักฐานอะไรที่จะเอาผิดพวกเขาได้แน่ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องให้เมืองปู๋เชวี่ยมาเปลืองแรงกับเรื่องที่ไม่จำเป็นเลยครับ!”
ลั่วเทียนเหอเผยสีหน้าโกรธเคืองเล็กน้อย “ยื่นมือเข้ามาในค่ายผู้พิทักษ์เทพของฉัน หรือจะให้ฉันปล่อยมันผ่านไปง่ายๆ แบบนี้?”
หนานหรูกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ในเมื่อรู้ว่าสืบไม่ได้อะไร อย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องไปสืบครับ อาจารย์ครับ เรื่องบางเรื่องมันไม่จำเป็นต้องไปสืบอีก เรื่องบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องไปตามสืบด้วยเช่นกัน เรื่องราวดำเนินมาถึงตอนนี้แล้ว เรื่องเหล่านี้เป็นฝีมือของใคร หรืออาจารย์ยังไม่รู้อีกครับ?”
ลั่วเทียนเหอกล่าวน้ำเสียงคร่ำเคร่ง “เป็นไปได้สูงว่าจะเป็นหอการค้าตระกูลพานและหอการค้าตระกูลโจว”
หนานหรูผายมือทั้งสองข้าง “อย่างนั้นยังมีความจำเป็นต้องสืบอีกหรือครับ? ในเมื่อรู้แล้ว กับอีแค่หอการค้าสองแห่ง มีค่าพอให้อาจารย์กับผมต้องเสียเวลาไปยุ่งวุ่นวายด้วยหรือครับ? พวกเขาไม่คู่ควรครับ!”
ลั่วเทียนเหอเผยสีหน้าคร่ำเคร่ง “เธอหมายความว่ายังไง?”
หนานหรูวางมือทั้งสองข้างลง ยกไปไพล่ไว้ด้านหลัง “อาจารย์ครับ แคว้นคุนกว่างเป็นดินแดนของพวกเรา พวกเราเป็นคนตัดสินใจ ขอเพียงพวกเราอยากทำ เรื่องบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐาน ควรจะทำอย่างไรก็ทำ แค่ระวังเรื่องวิธีการเอาไว้หน่อยก็พอ ไม่อย่างนั้นเราจะมีเวลาไปจัดการทุกๆ เรื่องที่ไหนกันล่ะครับ เราหาข้ออ้าง คนที่ควรจับก็จับ คนที่ควรให้บทเรียนก็ต้องให้บทเรียนหน่อย คนที่หลงลืมกฏเกณฑ์ ไม่รู้ว่า ‘ความเคารพยำเกรง’ คืออะไร อย่างนั้นเราก็ต้องสั่งสอนพวกเขาหน่อยว่าอะไรคือกฎเกณฑ์! ในดินแดนของผม ไม่อนุญาตให้ใครทำอะไรตามอำเภอใจได้!”
ลั่วเทียนเหอตกใจไม่น้อย “จับคนโดยไม่มีหลักฐานเหรอ? จับหอการค้าตระกูลพานกับหอการค้าตระกูลโจวเหรอ?”
หนานหรูกล่าว “หรือว่าไม่ได้ครับ?”
ลั่วเทียนเหอกล่าวเสียงเคร่งขรึม “การทำแบบนั้นต่างหากถึงจะเป็นการทำลายกฎเกณฑ์อย่างแท้จริง เธออย่าลืมสิว่าเบื้องหลังพวกเขาเป็นใคร ถ้าเราทำแบบนั้นจริงๆ และทำให้อีกฝ่ายมีข้ออ้างได้ คนที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาจะต้องเล่นงานเราทันทีแน่”
หนานหรูตอบไม่ตรงคำถาม “อาจารย์ครับ เรื่องการประมูลครั้งนี้ ทางสภาเซียนมีข้อสรุปมาแล้ว หอการค้าไหนที่ยังมีข้อสงสัยในผลการประมูลสามารถไปขอเข้าทดสอบในด่าน ‘หล่อหลอมกายา’ ต่อได้ กฎในการทดสอบเหมือนกับหอการค้าตระกูลฉิน คนที่สามารถผ่านการทดสอบทั้งสามด่านได้ถึงจะมีสิทธิ์ทำการประลองในครั้งสุดท้ายกับหอการค้าตระกูลฉิน”
ลั่วเทียนเหอกล่าว “เธออย่าเปลี่ยนประเด็น!”
“หนานหรูกล่าว “อาจารย์ครับ ผมไม่ได้เปลี่ยนประเด็น ประสิทธิภาพของเทพมหาวิญญาณหอการค้าตระกูลฉินท่านก็ได้เห็นแล้ว ท่านคิดว่าภายใต้กฎการประมูลเช่นนี้ยังจะมีหอการค้าไหนที่มีสิทธิ์เข้าไปแข่งกับหอการค้าตระกูลฉินได้อีกเหรอครับ? ตระกูลหนานชีทราบถึงความจริงในเรื่องนี้ จึงคอยให้การสนับสนุนหอการค้าตระกูลฉินอยู่ในสภาเซียน ผลการประมูลเรียกได้ว่าเป็นที่แน่นอนแล้ว ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด คนที่ชนะการประมูลน่าจะเป็นหอการค้าตระกูลฉินนั่นแหละครับ”
“ปัญหาวุ่นวายต่างๆ ผมได้ปัดออกไปหมดแล้ว ความรับผิดชอบไม่ได้อยู่ที่ผมแล้ว ผมสามารถมอบคำอธิบายให้กับทางสภาเซียนได้อย่างเต็มปากเต็มคำ ไม่มีใครมาว่าอะไรผมได้อีก การประมูลครั้งนี้ผมถือว่ารอดมาได้แล้ว อาจารย์กังวลว่าหลังจากหอการค้าตระกูลฉินชนะการประมูลแล้วจะนำพาความเดือดร้อนมาสู่เมืองปู๋เชวี่ย กังวลว่าเมืองปู๋เชวี่ยจะตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวายไม่ใช่เหรอครับ? เช่นนั้นอาจารย์คิดว่าเราควรจะสืบคดีที่รู้ดีว่าไม่ได้ผลลัพธ์อะไรออกมา หรือว่าควรจะไปเตรียมตัวรับมือความวุ่นวายที่กำลังจะมาเยือนเมืองปู๋เชวี่ยดีล่ะครับ อันไหนมีประโยชน์มากกว่า ผมคิดว่าอาจารย์น่าจะรู้แก่ใจดีนะครับ”
……………………………………………………………