ตอนที่ 173 หอลอยฟ้า
“ภายในหอการค้าเป็นอย่างไรบ้าง พวกคู่ค้าต่างๆ เกลี้ยกล่อมเป็นอย่างไรบ้าง?”
ภายในคฤหาสน์ตระกูลโจว กงหู่อี้กำลังเผชิญหน้ากับเผิงซีที่เข้ามาคารวะ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
เขาคือหนึ่งในสามเลขานุการใหญ่ที่เป็นรองเพียงแค่หัวหน้าตระกูลกงหู่ หอการค้าตระกูลโจวที่อยู่ในพื้นที่กลุ่มดาวโต่วเกิดปัญหาวุ่นวายอย่างหนัก ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของตระกูลกงหู่ เขาจึงจำเป็นต้องเดินทางมาจัดการปัญหาด้วยตัวเอง
เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา กงหู่จ้าวทำได้เพียงยืนสงบเสงี่ยมอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ คล้ายไม่กล้าแม้กระทั่งหายใจแรง
ปกติไม่ได้เป็นแบบนี้ แต่ครั้งนี้นับว่าเขาทำผิดพลาดจริงๆ ไม่กล้าพูดอะไรเสียงดัง แล้วก็ไร้ซึ่งความมั่นใจ
เผิงซีเอ่ยอย่างเยือกเย็น “กำลังเกลี้ยกล่อมอยู่ครับ”
ซึ่งในความเป็นจริงเขาก็กำลังทำเช่นนั้นอยู่จริงๆ แต่คำพูดนี้พูดไปแล้วก็เหมือนไม่ได้พูด แต่ถ้าไม่ตอบไปแบบนี้ก็ไม่ได้เช่นกัน
ตอนนี้เขาอยู่ในที่สว่าง โจวหม่านเชาที่ต้องเผชิญหน้ากับเขาที่ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลกงหู่เองก็ไม่กล้ากระโดดออกมาปะทะกันซึ่งๆ หน้า ทำได้เพียงแอบเล่นงานเขาอยู่ในที่มืด ทั้งสองฝ่ายสู้กันอย่างดุเดือดรุนแรง แต่ก็ยังไม่อาจตัดสินแพ้ชนะได้ ยังไม่มีใครเพลี่ยงพล้ำให้ใคร
นี่คือการต่อสู้ที่ตัดสินว่าใครจะอยู่ใครจะไป เป้าหมายของทั้งสองฝ่ายนั้นมีเพียงแค่หนึ่งเดียว นั่นคือกำจัดอีกฝ่าย เพื่อเป้าหมายนี้แล้ว ทั้งสองฝ่ายเริ่มไม่สนใจเรื่องผลประโยชน์ของหอการค้าตระกูลโจวแล้ว
แต่สำหรับตระกูลกงหู่ การสู้กันไปสู้กันมาโดยไม่อาจตัดสินแพ้ชนะได้ของทั้งสองฝ่ายนั้นหมายถึงความสูญเสียของตระกูลกงหู่ เผิงซีสามารถละทิ้งผลประโยชน์ทั้งหมดได้ แต่ตระกูลกงหู่ไม่อาจปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นได้
พนักงานเก่าๆ ของโจวหม่านเชาที่อยู่ในหอการค้าตระกูลโจวถูกกวาดล้าง ถูกเผิงซีเขี่ยทิ้งออกไปอย่างต่อเนื่อง ส่วนพนักงานคนใหม่ที่ถูกเผิงซีดันขึ้นมาก็กำลังเจอกับความยากลำบากอยู่เช่นเดียวกัน
แต่ภายใต้การปลุกปั่นอยู่เบื้องหลังของโจวหม่านเชา มันได้ก่อให้เกิดปัญหาที่รุนแรงยิ่งกว่านั้นขึ้นมา นั่นคือได้เกิดเหตุการณ์ที่มีพนักงานจำนวนมากพากันแห่ลาออก การลาออกเป็นวงกว้างได้กระจายตัวไปทั่วทั้งนอกและในหอการค้าตระกูลโจว
เหตุการณ์นี้ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของหอการค้าตระกูลโจวอย่างรุนแรง พันธมิตรทางธุรกิจในด้านต่างๆ ล้วนแต่ได้รับผลกระทบ ต่างพากันสอบถามทางหอการค้าตระกูลโจวว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ในนี้มีพันธมิตรทางธุรกิจจำนวนหลายแห่งที่ได้ตกลงกับโจวหม่านเชาเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว อาศัยเส้นสายที่สั่งสมมาเป็นเวลาหลายปีสร้างแรงกดดันให้แก่หอการค้าตระกูลโจวจากภายนอก
ปัญหาที่รุนแรงยิ่งกว่านั้นคือการที่อุตสาหกรรมหลักของหอการค้าตระกูลโจวคือการเป็นหนึ่งในซัพพลายเออร์ที่คอยส่งมอบข่ายพลังภายในเทพมหาวิญญาณ พวกเขาต้องส่งมอบสินค้าให้กับทางสภาเซียนตามเวลาที่กำหนดเอาไว้ หากส่งมอบสินค้าล่าช้าล่ะก็ พวกเขารับผิดชอบผลลัพธ์ที่ตามมาไม่ไหว ตอนนี้หอการค้าตระกูลโจวไม่อาจดำเนินงานได้ตามปกติ จนจำเป็นต้องเอาสินค้าคงคลังที่ใช้ในเวลาฉุกเฉินออกมาใช้แล้ว
เรื่องที่ใหญ่ขนาดนี้ กงหู่จ้าวจัดการแก้ไขไม่ไหวแล้ว ทำให้กงหู่อี้ต้องเดินทางมาจัดการด้วยตัวเอง
การโจมตีกลับของโจวหม่านเชาทำให้ตระกูลกงหู่ตระหนักได้แล้วว่าตัวเองทำผิดพลาดร้ายแรงแค่ไหน!
กำลังเกลี้ยกล่อมอย่างนั้นหรือ? หางคิ้วของกงหู่อี้เลิกขึ้นเล็กน้อย คิดว่านี่เป็นคำพูดเหลวไหล แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้เอ่ยคำพูดตักเตือนสั่งสอนออกมา หากแต่เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เธอเองก็รู้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้เป็นอย่างไร ตระกูลกงหู่ไม่อาจออกหน้าช่วยเธอได้นานนัก รีบไปจัดการให้เรียบร้อยซะ!”
“ครับ!” เผิงซีรับคำ ก่อนจะประสานมือขอตัวลา
กงหู่อี้มองดูแผ่นหลังของเขาที่เดินออกไป กรามค่อยๆ ขบแน่นขึ้นมา
ทั้งสองฝ่ายต่างรู้ดี
เผิงซีรู้ว่าโจวหม่านเขากลับมาแก้แค้นแล้ว แต่กลับไม่ยอมบอกกับทางกงหู่อี้ เพราะกลัวว่าตระกูลกงหู่จะเขี่ยตัวเองทิ้ง
กงหู่อี้เองก็รู้ว่าโจวหม่านเชากลับมาแก้แค้นแล้ว แต่ก็ไม่ได้พูดกับเผิงซีเช่นเดียวกัน เพราะกลัวเผิงซีจะคิดมากแล้วทำอะไรเหลวไหล
ซึ่งในความเป็นจริงทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้ว่าอีกฝ่ายรู้เรื่องนี้แล้ว แต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ต่างคนต่างแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง ทำให้ทั้งสองฝ่ายตกอยู่ในสถานการณ์ที่คล้ายว่ารู้ใจซึ่งกันและกัน
“เจอเบาะแสของโจวหม่านเชาหรือยัง?” กงหู่อี้พลันหันหน้ามาเอ่ยถาม
กงหู่จ้าวรีบกล่าวว่า “ยังไม่พบครับ กระผมสงสัยว่าทางการของเมืองฝูปอจะแอบให้ความคุ้มครองเขาอยู่ครับ”
กงหู่อี้เอ่ยว่า “ในเมื่อคิดว่ามีความเป็นไปได้ อย่างนั้นก็ไปสืบมาซะ ถ้าหาเขาเจอแล้ว บอกเขาว่าฉันอยากคุยกับเขา ฉันรับประกันเรื่องความปลอดภัยของเขา”
“ครับ” ปากของกงหู่จ้าวเอ่ยรับคำ ทว่าภายในใจกลับบ่นพึมพำ กลัวว่าจะไม่ง่ายอย่างนั้นน่ะสิ เรื่องราวมันมาไกลถึงขนาดนี้แล้ว หากโจวหม่านเชาไม่อาจเอาผลประโยชน์ของตระกูลกงหู่ที่อยู่ในเมืองนี้มาเป็นหลักประกันชีวิตตัวเองได้ล่ะก็ เขาไหนเลยจะยอมโผล่หน้าออกมาได้ ไหนเลยจะอาศัยเพียงคำพูดปากเปล่าแล้วทำให้เขาเลิกระแวงได้
กงหู่อี้จ้องมองเขา “ติดต่อฉินอี๋ บอกให้เธอมาเซ็นสัญญาซะ เดี๋ยวนี้!”
เรื่องกลายเป็นแบบนี้แล้ว ฉินอี๋ยังจะมาเซ็นสัญญาได้ยังไง? ที่โจวหม่านเชาออกมาจากคุกได้ เป็นไปได้สูงว่าจะเป็นฝีมือของนังแพศยาฉินอี๋! กงหู่จ้าวอึกอักคล้ายอยากพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ทำตามที่กงหู่อี้สั่ง หยิบเอาโทรศัพท์มือถือออกมาติดต่อฉินอี๋ต่อหน้ากงหู่อี้
หลังโทรติด กงหู่อี้ส่งสายตาบอกให้กงหู่จ้าวเปิดลำโพง กงหู่จ้าวหัวเราะแห้งๆ พร้อมเอ่ยว่า “ประธานฉิน นี่ผมเอง”
เสียงของฉินอี๋ดังลอดออกมาจากในโทรศัพท์ “ท่านเสมียนใหญ่ ว่ายังไงคะ?”
กงหู่จ้าวเอ่ยว่า “ประธานฉิน เรื่องเซ็นสัญญา สามารถจัดการได้แล้วนะ”
ฉินอี๋กล่าว “ก่อนหน้านี้ฉันให้ท่านเสมียนใหญ่มาเซ็นสัญญา ท่านเสมียนใหญ่กลับบอกว่ามีธุระ ตอนนี้ฉันกำลังดูสถานที่อยู่กับตัวแทนของทางสภาเซียนและแขกสำคัญคนอื่นๆ ไม่ว่างจริงๆ ค่ะ”
ยังมีหน้ามาพูดเรื่องเซ็นสัญญาก่อนหน้านี้ แล้วยังปัดความรับผิดชอบมาให้ฉันอีก ฉันล่ะยอมใจเธอเลยจริงๆ! กงหู่จ้าวบ่นอยู่ในใจ แต่ถึงกระนั้นก็ยังอดมองดูท่าทีของกงหู่อี้เล็กน้อยไม่ได้ ก่อนจะมองเห็นกงหู่อี้กำลังจ้องมองตัวเองด้วยสายตาเย็นชาอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ ภายในใจลอบเหงื่อตก รีบเอ่ยว่า “ประธานฉิน อย่างนั้นคุณรีบนัดเวลามาเซ็นสัญญากันเถอะ”
ฉินอี๋กล่าว “ท่านเสมียนใหญ่คะ คำพูดบางอย่างจะเป็นการดีกว่าถ้าไม่พูดออกมา อย่าบีบบังคับกันมากเกินไปเลยค่ะ!”
“บีบบังคับ?” กงหู่จ้าวประหลาดใจ “ประธานฉินหมายความว่าอย่างไร?”
ฉินอี๋กล่าว “ท่านเสมียนใหญ่ คำพูดบางอย่างถ้าพูดไปแล้วมันจะทำลายน้ำใจกันเปล่าๆ แต่ท่านก็บีบให้ฉันพูดมันออกมาให้ได้ อย่างนั้นฉันขอถามท่านประโยคหนึ่งค่ะ เรื่องที่ท่านสัญญาเอาไว้ก่อนหน้านี้ท่านทำได้หรือยังคะ?”
กงหู่จ้าวเอ่ย “เผิงซีก็เป็นประธานหอการค้าตระกูลโจวแล้วนี่!”
ฉินอี๋รีบเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูไม่ค่อยพอใจทันที “ท่านคิดว่าฉันตาบอดหรือคะ คิดว่าฉันไม่รู้ว่าโจวหม่านเชากลับไปยังเมืองฝูหอ แล้วก็กำลังแย่งชิงอำนาจบริหารหอการค้าตระกูลโจวอยู่กับเผิงซีหรือคะ?”
กงหู่จ้าวว่า “เธอวางใจได้ เดี๋ยวฉันจัดการเรื่องนี้เอง!”
ฉินอี๋กล่าว “ได้ค่ะ! ฉันเชื่อคำพูดของท่านเสมียนใหญ่! อย่างนั้นฉันจะให้เวลาท่านเสมียนใหญ่อีกหนึ่งเดือน ขอเพียงจัดการโจวหม่านเชาได้ ฉันก็จะเซ็นสัญญากับตระกูลกงหู่ทันที! ฉันยอมถอยให้ถึงขนาดนี้แล้ว ท่านเสมียนใหญ่คงไม่มาบอกว่าฉันผิดคำพูดอีกหรอกนะคะ?”
กงหู่จ้าวนึกอยากด่าโคตรเหง้าของเธอขึ้นมา ถ้าขืนยังกัดโจวหม่านเชาไม่ปล่อยแบบนี้ หากยังปล่อยให้หอการค้าตระกูลโจวสู้กันไปแบบนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าหอการค้าตระกูลโจวจะพังทลายหรือไม่เลย เกรงว่าไม่ถึงหนึ่งเดือนหอการค้าตระกูลโจวก็คงจะส่งสินค้าให้กับทางสภาเซียนไม่ได้แล้ว เมื่อถึงตอนนั้นยังไม่ต้องไปจัดการโจวหม่านเชาหรอก เกรงว่าสภาเซียนคงจะมาจัดการหอการค้าตระกูลโจวก่อนแล้ว และต่อไปตระกูลกงหู่ก็จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับแคว้นเซียนคุนกว่าง เมื่อถึงตอนนั้นยังจะทำอะไรได้อีก
แต่ข้ออ้างของทางฉินอี๋กลับฟังดูเป็นเหตุเป็นผลทุกอย่าง ทำเอาเขาพูดอะไรไม่ออก
กงหู่อี้ที่อยู่ด้านข้างเอ่ยแทรกขึ้นมา “ช่างเป็นผู้หญิงที่ร้ายกาจจริงๆ หวังว่าพวกเราจะมีโอกาสได้พบกันนะ”
ฉินอี๋ที่อยู่ในโทรศัพท์ฟังออกว่านี่มิใช่เสียงของกงหู่จ้าว จึงดูระแวงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด “คุณเป็นใคร?”
กงหู่อี้ยกมือส่งสัญญาณ กงหู่จ้าวกดตัดสายไป ทิ้งปริศนาเอาไว้ให้ฉินอี๋คาดเดาต่อไป
“ดูเหมือนผู้หญิงคนนี้คงไม่มีทางเซ็นสัญญากับพวกเราแล้ว” กงหู่อี้แค่นหัวเราะหึหึออกมา
กงหู่จ้าวเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว “ท่านเลขา ทั้งหมดนี่เป็นหลุมพรางของผู้หญิงคนนี้ครับ!”
กงหู่อี้เอ่ย “ก็ใช่น่ะสิ! แต่เพิ่งมารู้ตัวเอาตอนนี้ ไม่คิดว่ามันสายไปหน่อยเรอะ?”
“กระผม….” กงหู่จ้าวไม่สามารถแก้ตัวได้
กงหู่อี้ว่า “แต่เรื่องนี้จะโทษแกทั้งหมดก็ไม่ได้ แกรายงานกับทางตระกูลไปแล้ว ทางตระกูลเองก็เห็นด้วย สรุปแล้วก็คือพวกเราโลภมากจนเลอะเลือนไปเอง ดูถูกอีกฝ่ายเกินไป สมควรแล้วที่จะถูกเล่นงานแบบนี้…แต่ในอีกแง่หนึ่งมันก็เป็นเพราะแกประมาทจริงๆ นั่นแหละ เดิมทีทางตระกูลอยากวางเดิมพันทั้งสองฝ่าย คอยดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยทำการตัดสินใจว่าจะเลือกใคร แต่แกกลับปล่อยให้เรื่องราวมันเสียสมดุลไป คิดไม่ถึงว่าแกจะปล่อยให้เผิงซีลงมือฆ่าคนของโจวหม่านเชาทั้งๆ ที่อยู่ใต้จมูกแกได้ แกคิดว่าแกเป็นใคร? บนโลกนี้มีคนมากมายที่ไม่สนใจความเป็นความตายเพื่อผลประโยชน์ แกคิดว่าอาศัยแค่ชื่อตระกูลกงหู่แล้วจะทำให้หมาบ้ามันไม่กัดแกอย่างนั้นเรอะ? เอาแต่อวดดีดูถูกคนอื่น แล้วจะมองเห็นปัญหาที่มาขวางทางได้ยังไง? เจ้าโง่!”
“ครับ! กระผม ผิดไปแล้วครับ!” กงหู่จ้าวรีบก้มหน้ารับผิด
กงหู่อี้เอามือไพล่หลัง “หนี้แค้นของหอการค้าตระกูลฉิน เอาไว้ค่อยคิดบัญชี ตอนนี้ทุ่มสมาธิจัดการเรื่องที่อยู่ตรงหน้าก่อนค่อยว่ากัน การจะหาตัวโจวหม่านเชาในเมืองของซางเจ๋อ ดูแล้วหากไม่ได้รับการเห็นชอบจากซางเจ๋อคงจะเป็นไปไม่ได้ อย่างน้อยเขาจะต้องมีวิธีติดต่อโจวหม่านเชาอยู่อย่างแน่นอน จะมัวชักช้ารีรอไม่ได้ ไม่มีเวลาแล้ว ติดต่อซางเจ๋อซะ ฉันจะเป็นตัวแทนตระกูลกงหู่ไปเจรจาดีๆ กับเขา แกไปจัดการเรื่องนี้ ห้ามมีอะไรผิดพลาดอีก!”
“ครับ ผมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ครับ” กงหู่จ้าวรับคำแล้วรีบก้าวอาดๆ ออกไป
…..
ภายในขบวนรถที่อยู่ระหว่างทางกลับไปยังสำนักงานใหญ่ของหอการค้าตระกูลโจว เผิงซีรับโทรศัพท์ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย หลังวางสายไป จู่ๆ พลันกล่าวกับชิงจั๋วที่นั่งอยู่ด้านข้างคนขับว่า “ไปหอลอยฟ้า”
ชิงจั๋วไม่รู้ว่าเขาจะไปที่นั่นทำไม แต่สุดท้ายก็ยังถ่ายทอดคำสั่งลงไป
หอลอยฟ้าที่ว่าคือภูเขาเล็กๆ ลูกหนึ่งที่ลอยอยู่บนฟ้าได้โดยมีข่ายพลังคอยค้ำจุนอยู่ ลอยอยู่เหนือป่าไม้ที่เขียวขจีแห่งหนึ่ง สามารถมองดูทิวทัศน์ของเมืองฝูปอจากด้านบนได้ เป็นสถานที่พักผ่อนชั้นสูงแห่งหนึ่ง
หลังขบวนรถจอดลงในลานจอดรถที่อยู่บนพื้นที่ว่างในป่า พวกเผิงซีก็ขึ้นเรือหินที่สามารถลอยฟ้าได้เช่นเดียวกับหอลอยฟ้า คนขับเรือเปิดใช้งานข่ายพลัง พาพวกเผิงซีลอยขึ้นไปบนฟ้าทันที บินขึ้นไปจอดเทียบอยู่ด้านข้างหอลอยฟ้า
เผิงซีที่ขึ้นไปบนหอลอยฟ้าไม่สนใจสายตาของผู้คนที่มาเที่ยวพักผ่อนที่กำลังมองมา เดินตรงไปยังที่พักแห่งหนึ่งที่อยู่ในหอลอยฟ้า
ก่อนจะเข้าไปยังที่พัก ชิงจั๋วที่ได้รับคำสั่งมาอย่างลับๆ ได้เข้าไปตรวจสอบดูภายในห้องอย่างละเอียดก่อนแล้วรอบหนึ่ง จากนั้นถึงจะออกมาพยักหน้าให้เผิงซี
เมื่อเดินเข้าไปด้านใน เผิงซีพบว่าด้านในห้องมีฉากแสงอยู่แถบหนึ่ง ภายในฉากแสงเป็นสีดำ มองไม่เห็นอะไร
นอกจากนี้ภายในห้องยังมีคนยืนสงบเสงี่ยมอยู่อีกคนหนึ่ง อีกฝ่ายขอทำการค้นตัวเผิงซี เพื่อป้องกันไม่ให้มีการพกพาอุปกรณ์บันทึกเสียงหรือบันทึกภาพใดๆ เข้ามาข้างใน
เผิงซีไม่ได้ปฏิเสธ หลังค้นตัวเสร็จเรียบร้อย คนผู้นั้นกับพวกชิงจั๋วก็เดินออกไป เหลือเผิงซีอยู่ภายในห้องเพียงคนเดียว
เผิงซีได้ส่งคนมาตรวจสอบที่นี่ก่อนหน้าแล้ว เรื่องความปลอดภัยจึงไม่ต้องเป็นกังวล
หลังประตูปิดลงไม่นาน ภายในฉากแสงแถบนั้นก็ค่อยๆ สว่างขึ้นมา คนผู้หนึ่งปรากฏตัวอยู่ในฉากแสง บุคลิกท่าทางสุขุมสง่างาม มิใช่ใครอื่น เป็นหนานชีหรูอัน
เผิงซีมึนงง “คุณชายหรูอัน เป็นคุณอย่างนั้นหรือ?”
ก่อนหน้านี้เขาได้รับโทรศัพท์ลับสายหนึ่ง มีคนบอกว่าสามารถช่วยเขาหาตัวโจวหม่านเชาได้ ทว่ามีเงื่อนไขต้องการเจรจาด้วย เขาที่ไม่มีทางเลือกอื่นจึงได้แต่ต้องมาที่นี่
หนานชีหรูอันที่อยู่ในฉากแสงยิ้มพลางกล่าวว่า “ทำไมครับ ประธานเผิงไม่อยากเจอผมอย่างนั้นหรือครับ?”
เผิงซีกล่าว “คุณรู้ว่าโจวหม่านเชาอยู่ที่ไหนอย่างนั้นหรือครับ?”
หนานชีหรูอันว่า “ล้อประธานเผิงเล่นนิดหน่อย ประธานเผิงคงไม่ถือสาใช่ไหมครับ?”
เผิงซีรู้สึกว่าการที่อีกฝ่ายมาหาตัวเองนั้นมีอะไรไม่ชอบมาพากล กังวลว่าจะเป็นหลุมพราง จึงไม่กล้ารั้งอยู่ที่นี่นานนัก “คุณชายหรูอัน ผมยังมีธุระที่ต้องไปจัดการอีก ขออภัยที่ไม่อาจอยู่เป็นเพื่อนคุณชายได้ครับ” กล่าวจบก็ประสานมือ หมุนตัวเตรียมจากไป
หนานชีหรูอันกล่าว “ผมสามารถคลี่คลายสถานการณ์ที่กระอักกระอ่วนของประธานเผิงได้ สามารถช่วยชีวิตประธานเผิงได้ ประธานเผิงไม่อยากฟังหน่อยหรือครับ?”
เผิงซีหยุดฝีเท้า “เกรงว่าคุณชายคงจะรวมหัวกับฉินอี๋เพื่อมาหลอกผมกระมังครับ?” แม้นจะพูดเช่นนี้ แต่เขายังคงหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้าอย่างช้าๆ
หนานชีหรูอันกล่าว “มันก็ไม่แปลกที่คุณจะคิดแบบนี้ แต่แน่นอน มันไม่มีประโยชน์ครับ ผมเองก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปช่วยคุณด้วย พูดอีกอย่างคือผมต้องการเงิน ส่วนคุณต้องการรักษาชีวิต ทุกคนต่างมีสิ่งที่อยากจะได้ มีอะไรไม่ดีล่ะครับ”
ต้องการเงิน? เผิงซีหรี่ตาเล็กน้อย เอ่ยเนิบๆ ว่า “ชีวิตของผมคงไม่ต้องลำบากคุณชายมาเป็นห่วงหรอกครับ”
หนานชีหรูอันกล่าว “อย่างนั้นหรือครับ? คุณสู้กับโจวหม่านเชามาถึงขนาดนี้แล้ว สุดท้ายแล้วตระกูลกงหู่จะยืนอยู่ฝั่งไหน ด้วยสติปัญญาและความเฉลียวฉลาดของประธานเผิง เกรงว่าประธานเผิงคงจะทราบดีกว่าผม หากตระกูลกงหู่ต้องการซื้อความเชื่อใจจากโจวหม่านเชา เช่นนั้นพวกเขาก็มีแต่ต้องเอาหัวของประธานเผิงไปมอบให้ หรือประธานเผิงคิดว่าเรื่องราวมาถึงขนาดนี้แล้ว ตระกูลกงหู่จะปล่อยให้คุณหนีไปได้หรือครับ? เกรงว่าตอนนี้ตระกูลกงหู่คงจะจับตาดูคุณแบบไม่ให้คลาดสายตาแล้ว ประธานเผิงคงไม่คิดว่าอาศัยเซียนกระบี่เชอมั่วเพียงคนเดียวจะทำให้คุณรอดพ้นอันตรายไปได้หรอกนะครับ?”
……………………………………………………………..