ตอนที่ 197 พังทลาย
เซียวอวี่เหยียนค่อนข้างประหลาดใจ “หลงซืออวี่?”
เจิงอิงฉางส่งเสียงอืมพลางพยักหน้า
เซียวอวี่เหยียนกล่าว “เพิ่งสองวันเอง นายแน่ใจนะว่าสืบมาดีแล้ว?”
เจิงอิงฉางตอบว่า “ผมให้คนปลอมตัวไปที่หอการค้าตระกูลโจวกับหอการค้าตระกูลพาน อ้างว่าอยากจะคุยเรื่องความร่วมมือ พวกเขาเหมือนเจอพระมาโปรดอย่างไรอย่างนั้น โจวหม่านเชากับพานชิ่งดูกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก มาเจอคนของพวกเราด้วยตัวเอง ในตอนที่คุยกัน ทางเราก็ดึงประเด็นไปเข้ากับสถานการณ์ของพวกเขา คนของพวกเราจงใจเอ่ยถึงเรื่องการประมูลขึ้นมา ประเด็นการพูดคุยย่อมต้องเกี่ยวพันไปถึงหลัวคังอัน คนของเราถึงได้รู้ว่าที่แท้ตระกูลกงหู่กับตระกูลเซียงหลัวได้สืบทราบตัวตนที่หลัวอังคันแอบซ่อนเอาไว้หลังจบการประมูลแล้ว เขาเป็นลูกศิษย์ของหลงซืออวี่ครับ”
“ท่านประธาน น่าจะไม่ผิดแน่ครับ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครรู้ล่วงหน้าว่าเราจะลงมือสืบจากหอการค้าสองแห่งนั้น พวกเราเองก็ไปที่นั่นอย่างกระทันหัน จากที่ฟังพวกเขาพูดมา หลัวคังอันเข้าไปในหน่วยผู้พิทักษ์เทพของเมืองหลวงโดยไม่ต้องสอบ เป็นหลงซืออวี่ที่แนะนำเขาเข้าไปครับ ตอนแรกแม้แต่ตระกูลกงหู่กับตระกูลเซียงหลัวก็ไม่ทราบเรื่องนี้ จนทำให้พวกเขาประมาทไป กระทั่งหลัวคังอันได้แสดงความสามารถออกมาในการประมูล ทั้งสองตระกูลถึงได้หันมาให้ความสนใจเขา ใช้อิทธิพลของตระกูลทำการสืบมา ถึงได้พบว่าหลัวคังอันมีเบื้องหลังเช่นนี้ด้วยครับ”
เซียวอวี่เหยียนลูบเคราพลางเอ่ยพึมพำ “เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์หลงอย่างนั้นเหรอ มิน่าล่ะ!”
เจิงอิงฉางกล่าวว่า “ท่านประธานครับ ดูเหมือนหอการค้าตระกูลฉินอาจจะมอบเคล็ดลับการสร้างข่ายพลังที่ทำการสำรองข้อมูลเอาไว้ให้หลัวคังอันเป็นคนดูแลจริงๆ ก็ได้นะครับ”
เซียวอวี่เหยียนพึมพำกับตัวเอง “พูดอีกอย่างก็คือหอการค้าตระกูลฉินคิดว่ามอบสิ่งนี้ไว้กับหลัวคังอันแล้วจะปลอดภัย หอการค้าตระกูลฉินคิดว่าหลัวคังอันมีความสามารถในการปกป้องเคล็ดลับการสร้างข่ายพลังได้ เบื้องหลังของศิษย์ของหลงซืออวี่ผู้นี้น่าจะยังมีอะไรอย่างอื่นอยู่อีก ไม่อย่างนั้นไม่มีทางที่จะฝากความหวังไว้ที่เขาแน่ เหล่าเจิง ส่งคนไปคอยจับตาดูเขาเอาไว้อย่างใกล้ชิด หาวิธีรวบรวมข้อมูลทุกๆ ด้านเกี่ยวกับหลัวคังอันมาให้ได้มากที่สุด”
เจิงอิงเฉิงตอบว่า “ได้ครับ ท่านประธาน ยังมีอีกเรื่องครับ พวกเรารู้แล้วว่าผู้พิทักษ์เมืองสองคนเป็นใคร แต่มันบังเอิญอย่างมาก พวกเขาสองคนไปเข้าเวรอยู่ในค่ายผู้พิทักษ์เทพเมื่อวานนี้ครับ ต้องไปอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหนึ่งเดือน คนของเราไม่สามารถเข้าไปใกล้พวกเขาได้ครับ”
เซียวอวี่เหยียนระแวงขึ้นมา “ทำไมถึงได้บังเอิญขนาดนี้?”
เจิงอิงฉางยิ้มเจื่อน “มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญอะไรเลยครับ ตอนที่รู้ผมก็รู้สึกสงสัยเหมือนกัน แต่พอทำการสืบไป ผมถึงได้รู้ว่ารายชื่อผู้พิทักษ์เมืองที่ต้องเข้าไปประจำการในค่ายผู้พิทักษ์เทพได้ถูกกำหนดเอาไว้นานแล้ว พวกเขาอยู่ในรายชื่อที่ต้องไปเปลี่ยนเวรจริงๆ ไม่ได้ถูกเปลี่ยนตัวกะทันหันครับ”
ในตอนที่ลู่หงเยียนทำการคัดเลือกคน ทางเหิงเทาย่อมต้องส่งรายชื่อที่เหมาะสมให้เธอตามเงื่อนไขที่เธอต้องการ
เซียวอวี่เหยียนนิ่งเงียบ จมอยู่ในความคิด
…..
ภายในห้องรับรองแขกของสำนักงานเลขาธิการตะวันออกในแคว้นเซียนคุนกว่าง โจวหม่านเชาและพานชิ่งนั่งอยู่ด้วยกัน รอคอยเลขาธิการตะวันออกฮั่นซาที่ยังคงไม่ปรากฏตัวออกมาเสียที น้ำชานั้นดื่มไปไม่น้อยแล้ว กรอกเข้าปากจนเต็มท้องแล้ว แต่ถึงกระนั้นน้ำชาที่เติมเข้าไปเต็มท้องก็ยังไม่สามารถดับความร้อนใจของพวกเขาได้
หลังต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานในช่วงนี้ ทั้งคู่ก็ไม่ได้ดูมีสง่าราศีเหมือนอย่างเมื่อในอดีตอีก ใบหน้าของทั้งสองคนเต็มไปด้วยความอิดโรย กระทั่งผมก็หงอกมากขึ้นกว่าเดิม
เจ้าหน้าที่หญิงคนหนึ่งถือถาดเข้ามาในห้อง เข้ามาเติมน้ำชาให้ทั้งสองคนอีกครั้ง
พานชิ่งลุกขึ้นยืน เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านเลขาธิการกลับมาหรือยังครับ?”
เจ้าหน้าที่หญิงส่ายศีรษะและพูดว่า “ยังไม่กลับมาค่ะ” หลังเติมชาเสร็จก็เดินออกไป
พานชิ่งนั่งลงด้วยความสิ้นหวัง ถอนหายใจพลางสบตากับโจวหม่านเชา สิ่งใดที่เรียกว่าเมื่อไร้อำนาจผู้คนพากันหมางเมิน เวลานี้พวกเขานับว่าได้รู้ซึ้งแล้ว ในอดีตตอนที่รู้ว่าพวกเขาร่ำรวย ผลประโยชน์แม้เพียงเล็กน้อยที่เล็ดลอดผ่านซอกนิ้วพวกเขาไปก็เป็นเสมือนเนื้อติดมัน เจ้าหน้าที่ของที่นี่มีใครบ้างไม่เกรงใจพวกเขา
แต่ตอนนี้น่ะเหรอ? ตั้งแต่พวกเขามาที่นี่ สภาพแวดล้อมรอบด้านไม่เพียงแต่จะอ้างว้างวังเวง แม้แต่พนักงานหญิงที่รินน้ำชาให้ก็ยังไม่สนใจพวกเขาเลย
ที่พวกเขามาที่นี่ก็เพราะว่าอับจนหนทางแล้วจริงๆ การโจมตีของหอการค้าตระกูลฉินได้แสดงอานุภาพออกมาแล้ว
ผู้จัดหาสินค้าต่างๆ เร่งรัดให้พวกเขาชำระเงินโดยไม่มีความเกรงใจอีก ติดหนี้ไม่อาจไม่คืนได้ ตระกูลกงหู่และตระกูลเซียงหลัว ก็ไม่อาจช่วยพูดได้ ทำได้เพียงมองดูหอการค้าตระกูลพานและหอการค้าตระกูลโจวทยอยเอาทรัพย์สินไปจำนำเพื่อหาเงินมาใช้หนี้ ขนาดของหอการค้าทั้งสองค่อยๆ เล็กลงเรื่อยๆ
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกว่าพวกเขาจะเฉือนเนื้อตัวเองมาใช้หนี้ได้ แต่ผู้จัดหาสินค้าที่สัญญาหมดอายุก็ยังจะขึ้นราคาสินค้าอีก ช่วยไม่ได้ เพราะพวกหอการค้าตระกูลฉินจะขึ้นราคาให้
ส่วนผู้จัดหาสินค้ารายอื่นๆ ที่สัญญายังไม่หมดอายุก็สงสัยในความสามารถในการชำระเงินของพวกเขา พากันเรียกร้องให้วางเงินมัดจำที่สูงขึ้น เดิมทีหอการค้าทั้งสองแห่งก็ไม่มีเงินอยู่แล้ว การให้พวกเขาวางเงินมัดจำล่วงหน้าเป็นจำนวนมาก ถ้าไม่ใช่การฆ่าพวกเขาแล้วจะเรียกว่าอะไร? จะไปขอร้องวิงวอนก็ไม่มีประโยชน์ มีแต่จะไปทะเลาะกันเปล่าๆ
ผลที่ตามมาคือผู้จัดหาสินค้าที่ได้รับผลกระทบพากันไปยื่นคำร้องต่อหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบของสภาเซียน เพื่อขอให้ทางสภาเซียนยกเลิกสัญญากับหอการค้าทั้งสองแห่งนี้ เนื่องจากความสามารถในการชำระหนี้ของหอการค้าทั้งสองแห่งนี้มีจำกัด
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการจะพิจารณาว่าควรยกเลิกสัญญาหรือไม่นั้นจำเป็นต้องใช้เวลา สรุปแล้วคือการส่งสินค้าถูกชะลอออกไป
ตระกูลกงหู่และตระกูลเซียงหลัวไม่สามารถนั่งดูหอการค้าตระกูลพานและหอการค้าตระกูลโจวล่มสลายไปเฉยๆ โดยไม่ทำอะไรได้ พวกเขาระดมกำลังของตระกูลเพื่อทำการประนีประนอม แต่ตระกูลใหญ่ตระกูลอื่นๆ อย่างตระกูลหนานฉีก็ไม่มีทางนั่งมองอยู่เฉยๆ เช่นกัน ต่างพากันลงมือขัดขวาง ตระกูลที่อยู่เบื้องหลังของทั้งสองฝ่ายเรียกได้ว่าเผชิญหน้ากันอย่างแท้จริงแล้ว
ตระกูลกงหู่และตระกูลเซียงหลัวที่กำลังโกรธเกรี้ยวไม่ใช่ว่าจะไม่เคยคิดเรื่องที่จะให้เงินสนับสนุนแก่หอการค้าตระกูลพานกับหอการค้าตระกูลโจว แต่สถานการณ์มาถึงขั้นนี้แล้ว ผู้จัดหาสินค้าเหล่านั้นพากันย้ายข้างไปหมดแล้ว ลับหลังจะต้องมีการเซ็นสัญญาใหม่ในด้านต่างๆ กับหอการค้าตระกูลฉินแล้วเป็นแน่ ต่อให้สนับสนุนทางการเงินไปก็ทำได้เพียงช่วยประคองหอการค้าตระกูลพานกับหอการค้าตระกูลโจวไปได้ระยะหนึ่งเท่านั้น เมื่อสัญญาหมดอายุ ผลลัพธ์ก็จะเหมือนเดิม เงินที่สองตระกูลใหญ่อัดฉีดเข้าไปก็ไม่มีทางช่วยเหลือหอการค้าตระกูลพานกับหอการค้าตระกูลโจวได้อยู่ดี
สิ่งที่อันตรายยิ่งกว่านั้นคือท่าทีของตระกูลใหญ่ตระกูลอื่นๆ ที่พากันลุกฮือขึ้นมารุมโจมตี หากตระกูลกงหู่และตระกูลเซียงหัวเอาเงินไปช่วยเหลือหอการค้าตระกูลพานและหอการค้าตระกูลโจว ทันทีที่ตัวเองอ่อนแอขึ้นมา ตระกูลอื่นๆ อาจจะฉวยโอกาสนี้ลงมือรุมทึ้งตนเองก็เป็นได้
ตระกูลกงหู่และตระกูลเซียงหลัวที่ลังเลไม่กล้าตัดสินใจจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริง สุดท้ายแล้วไม่รู้ว่าพวกเขาไปบรรลุข้อตกลงอะไรกับศัตรู จึงปล่อยมือจากหอการค้าตระกูลพานและหอการค้าตระกูลโจว บอกให้ตระกูลพานกับตระกูลโจวโอนหอการค้าทั้งสองแห่งให้พวกเขา โดยบอกว่าพวกเขาจะรับผิดชอบทุกอย่างหลังจากนี้เอง
โจวหม่านเชาและพานชิ่งไม่ได้โง่ พวกเขารู้ว่าตระกูลใหญ่ทั้งสองกำลังถอนตัว จะเอาทรัพย์สินของหอการค้าทั้งสองไปเปลี่ยนเป็นเงินสด หลังกลบหนี้ต่างๆ เสร็จเรียบร้อย พวกเขาก็จะกลืนกินสิ่งมีค่าสุดท้ายของหอการค้าทั้งสองแห่งไป
พวกเขาสองคนย่อมไม่ยินยอม พากันมาหาเลขาธิการทั้งสี่ของแคว้นเซียนคุนกว่าง โดยหวังว่าจะหยิบยืมอำนาจของทางการในการดิ้นรนขัดขืน
แต่ท่าทีของเลขาธิการทั้งสี่คลุมเครือ ไม่ยอมแสดงท่าทีที่ชัดเจนออกมา เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้ดีว่าสถานการณ์ในตอนนี้เป็นอย่างไร
กระทั่งในตอนที่มาขอเข้าพบเลขาธิการทั้งสี่อีกครั้ง พวกเขากลับไม่เจอใคร ทั้งสองคนที่หมดหนทางมาที่นี่ด้วยกันก็ด้วยหวังว่าจะได้รับความช่วยเหลืออะไรบ้าง
โทรศัพท์ดังขึ้นมา โจวหม่านเชารับสาย หลังได้ยินปลายสายแจ้งมา เขาก็ถามว่า “นายแน่ใจเหรอ?” สุดท้ายก็ค่อยๆ วางสายไปด้วยรอยยิ้มขมขื่น
พานชิ่งถาม “มีอะไรเหรอ?”
โจวหม่านถอนหายใจ “ฉันได้รับแจ้งมาว่าท่านเลขาธิการยังอยู่ในสำนักงาน เขาไม่ได้ออกไปไหนเลย”
ใบหน้าของพานชิ่งเผยให้เห็นถึงความเศร้าและความโกรธเกรี้ยว “พูดง่ายๆ ก็คือไม่เจอพวกเรา”
โจวหม่านเชายืนขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ไปกันเถอะ รอต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร”
ปัง! พานชิ่งตบโต๊ะ แต่พวกเขาจะทำอะไรได้ล่ะ? สุดท้ายก็ต้องเดินตามโจวม่านเชาออกไปอย่างเงียบๆ
พ่ายศึกเหมือนภูเขาถล่มคืออะไร? กำแพงล้มคนช่วยผลักกันคืออะไร? ในเวลานี้พวกเขาทั้งสองคนเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้ว
….
สีหน้าของเลขาธิการตะวันออกฮั่นซาที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างเรียบเฉย หลังมองดูทั้งสองคนขึ้นรถและจากไปแล้ว เขาก็ถอนหายใจออกมา รู้สึกจนปัญญาอย่างมากเช่นกัน
ทั้งสองคนมาทำไม ตัวเขาย่อมทราบดี ในตอนที่เจอหน้ากันก่อนหน้านี้ทั้งสองคนก็เคยเอ่ยออกมาแล้ว ทั้งสองหวังว่าพวกเขาเลขาธิการทั้งสี่คนจะใช้อำนาจของทางการหาข้ออ้างมาเล่นงานหอการค้าตระกูลฉิน ขอเพียงทิศทางลมเปลี่ยน ท่าทีของผู้จัดหาสินค้าเหล่านั้นก็จะเปลี่ยนตามไปด้วยแน่นอน และนี่ก็จะทำให้หอการค้าตระกูลพานกับหอการค้าตระกูลโจวมีโอกาสที่จะฟื้นคืนกลับมาได้
ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากช่วยหอการค้าทั้งสองแห่งนี้ เขาเองก็ไม่อยากเห็นหอการค้าตระกูลฉินแข็งแกร่งขึ้นมาเช่นกัน แต่หอการค้าตระกูลฉินไม่ใช่หอการค้ากระจอกๆ ทางนั้นก็มีอิทธิพลอย่างมากเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าใครนึกอยากจะไปเล่นงานก็จะไปเล่นงานได้
ทางหอการค้าตระกูลฉินมีลั่วเทียนเหอ และเบื้องหลังลั่วเทียนเหอก็คือเจ้าแคว้นหนานหรู ตราบใดที่ยังมีหนานหรูอยู่ หากพวกเขาทั้งสี่กล้าสร้างปัญหา หนานหรูก็สามารถหยุดพวกเขาได้ทุกเมื่อ หากกล้าขัดขืน คนที่ซวยกลับจะเป็นพวกเขาเสียเอง
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้หอการค้าตระกูลฉินแข็งแกร่งขึ้นกว่าแต่ก่อนแล้ว ไม่เพียงแต่จะดึงกองกำลังของทางกองทัพมาช่วยคุ้มครอง แต่ยังจับมือเป็นพันธมิตรกับอีกหลายๆ ตระกูลด้วย หากพวกเขาสี่คนกล้าเข้าไปพัวพันด้วย ตระกูลเหล่านั้นจะต้องหันมาเล่นงานพวกเขาอย่างแน่นอน
ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากช่วย แต่ตอนนี้สถานการณ์มันเอนเอียงไปทางหอการค้าตระกูลฉินกันหมดแล้ว ต่อให้พวกเขาจะอยากช่วย ก็ไม่กล้าช่วย กลัวว่าจะโดนลูกหลงไปด้วย จึงได้แต่ต้องหลบหน้าพานชิ่งกับโจวหม่านเชา
…..
สุดท้ายสิ่งที่ควรเกิดมันก็ต้องเกิด อาคารสูงใหญ่ที่เต็มไปด้วยรูพรุน บทจะล้มก็พังครืนลงมาในพริบตา ยิ่งไปกว่านั้นดังสนั่นหวั่นไหวอย่างมากด้วย
เมื่อไม่ได้รับการแยแสจากพวกฮั่นซา อีกทั้งยังมีการประนีประนอมกับศัตรูของตระกูลกงหู่และตระกูลเซียงหลัว ผลการพิจารณาคำร้องของสภาเซียนก็ได้ออกมาแล้ว
เมื่อไม่มีใครออกมาคัดค้าน เนื่องจากผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการที่หอการค้าตระกูลพานกับหอการค้าตระกูลโจวส่งมอบข่ายพลังให้ทางสภาเซียนล่าช้า ผลการพิจารณาคำร้องจึงออกมาทันที
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการจัดหาข่ายพลังของสภาเซียน อีกทั้งตระกูลกงหู่และตระกูลเซียงหลัวเสนอตัวเข้ามาขอเป็นผู้รับผิดชอบเอง ทางคณะกรรมการที่พิจารณาคำร้องจึงลงความเห็นโอนหอการค้าตระกูลโจวและหอการค้าตระกูลพานให้กับทั้งสองตระกูล ให้ทั้งสองตระกูลเป็นคนรับผิดชอบและคลี่คลายผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเรื่องนี้
ยังมีอะไรให้คลี่คลายอีก? เบื้องหลังการเผชิญหน้าและการประนีประนอมมันได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว
ทรัพย์สินทั้งหมดของหอการค้าตระกูลโจวและหอการค้าตระกูลพานถูกเปลี่ยนมือในพริบตา กระทั่งคฤหาสน์ตระกูลโจวและคฤหาสน์ตระกูลพานก็กลายเป็นของทั้งสองตระกูลด้วย
โจวหม่านเชาและพานชิ่งที่ถูกไล่ออกมา กระทั่งรถสักคันก็เอาออกมาไม่ได้
ในตอนแรกตระกูลใหญ่ทั้งสองอยากจะเหลือหนทางไว้ให้พวกเขาบ้าง แต่โจวหม่านเชาและพานชิ่งไม่ยอม ไม่ให้ความร่วมมือ ทั้งสองตระกูลจึงได้แต่ต้องไร้ความปราณี
หลังจากนั้น ตระกูลเซียงหลัวกับตระกูลกงหู่ก็ขายทรัพย์สินทุกอย่างที่สามารถขายได้ของหอการค้าตระกูลโจวและหอการค้าตระกูลพาน จ่ายค่าชดเชยให้กับเหล่าพนักงาน ทรัพย์สินส่วนที่เหลือถูกทั้งสองตระกูลกินจนไม่เหลือ แล้วก็ถือว่ากินอย่างเพลิดเพลินด้วย
แต่นั่นล้วนเป็นเรื่องราวในภายหลัง
โจวหม่านเชาและพานชิ่งที่ถูกไล่ออกมาหันกลับไปมองดูประตูบ้านของตน ความโศกเศร้าและความโกรธแค้นภายในใจยากจะพรรณนาออกมาได้
ด้วยความมั่งคั่งที่พวกเขาสะสมมา ถึงแม้จะพ่ายแพ้ พวกเขาก็ยังมีทรัพย์สินเหลือพอให้ใช้ชีวิตอย่างเศรษฐีได้ แต่กลับถูกคนอื่นเขมือบไปจนหมด นี่มันปล้นกันชัดๆ!
“โจวหม่านเชา!”
โจวหม่านเชาที่กำลังมองดูประตูบ้านของตัวเองหันหน้ากลับไปเมื่อได้ยินเสียง เห็นผู้พิทักษ์เมืองกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมา
ผู้พิทักษ์เมืองที่เป็นหัวหน้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “คุณมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีคดีหนึ่ง โปรดตามพวกเราไปด้วย” กล่าวจบก็โบกมือทีหนึ่ง ผู้พิทักษ์เมืองที่อยู่ด้านหลังกรูกันเข้ามา พาตัวเขาออกไป
ผู้ติดตามกลุ่มหนึ่งที่ยังถือว่าจงรักภักดีต่อโจวหม่านเชาพากันมองหน้ากัน ผู้พิทักษ์เมืองจับโจวหม่านเชาไป พวกเขาเองก็ไม่กล้าเข้าไปแทรกแซง ทำได้เพียงมองดูโจวหม่านเชาถูกนำตัวไป
โจวหม่านเชาระเบิดเสียงหัวเราะออกมา นี่เป็นเรื่องที่เขาคาดคิดเอาไว้อยู่แล้ว หากเขาไม่ตาย เกรงว่าคนบางคนคงยากจะเป็นสุขได้
สถานการณ์แบบเดียวกันก็เกิดขึ้นกับพานชิ่ง เขาถูกผู้พิทักษ์เมืองพาตัวไปทันที
ก็เหมือนคำกล่าวที่ว่าตะขาบตายแต่ยังไม่แข็ง ใครจะไปรู้ว่าทั้งสองคนยังมีทรัพย์สินอะไรแอบซ่อนเอาไว้อยู่หรือเปล่า? มีคนคิดอยากจะรีดเอาเลือดออกมาจากตัวพวกเขาจนหมด
แต่แน่นอน นี่เป็นเรื่องรองลงมา มีคนกลัวว่าทั้งสองคนจะเปิดเผยในสิ่งที่ไม่ควรเปิดเผย จึงอยากจะง้างปากพวกเขา ด้วยคิดที่จะเก็บกวาดภัยคุกคามที่อาจจะเกิดขึ้นในภายหลัง
แต่โจวหม่านเชาและพานชิ่งได้คาดการณ์ถึงเรื่องบางเรื่องเอาไว้ก่อนแล้ว รู้ว่าคนบางคนไม่มีทางปล่อยพวกเขาไป ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า อยากจะฆ่าพวกเราอย่างนั้นเหรอ? อย่างนั้นก็อย่าได้หวังว่าจะได้อยู่กันอย่างสงบเลย!
หลังจากพวกเขาถูกจับตัวไป ก็มีคนที่ไม่เปิดเผยตัวตนส่งเอกสารฟ้องร้องมาเป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งหลักฐานที่ไม่มีทางปฏิเสธได้เป็นจำนวนมา พัวพันไปถึงคนจำนวนมาก
สภาเซียนได้ส่งเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจสอบมาที่แคว้นเซียนคุนกว่างทันที คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องจำนวนมากในเมืองฝูปอและเมืองเทียนกู่ถูกจับกุม แล้วก็พัวพันไปถึงคนบางส่วนทั้งนอกและในแคว้นเซียน
หอการค้าขนาดใหญ่สองแห่งล้มลง นี่จะต้องทำให้เกิดการล้างไพ่ใหม่ในแต่ละด้านอย่างแน่นอน
และก่อนที่เจ้าหน้าที่ผู้ตรวจสอบจะเดินทางมาถึง โจวหม่านเชาและพานชิ่งก็ได้ฆ่าตัวตายไปอย่างน่าประหลาดภายในคุก
……………………………………………………………