ตอนที่ 203 นับถอยหลัง
กระทั่งหลินยวนกลับมาแล้ว ลู่หงเยียนจึงเอาภาพที่อยู่ในกล้องวงจรปิดให้เขาดู
หลังจากหลินยวนดูแล้วก็ถามว่า “ติดต่อพวกเขาแล้วเหรอ?”
“เพคะ ลองหยั่งเชิงดูเพคะ…” ลู่หงเยียนเล่าเรื่องออกมาคร่าวๆ “เมื่อดูจากสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว แม้มันจะดูน่าเหลือเชื่อไปบ้าง แต่ก็พอจะมั่นใจได้ว่าพวกเขาน่าจะพุ่งเป้าไปที่พานหลิงอวิ๋นจริงๆ เพคะ”
หลินยวนไม่เข้าใจ “มาเพราะพานหลิงอวิ๋นเหรอ แล้วจะมาคอยจับตาดูฉันทำไม? พวกกลุ่มอิทธิพลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องพวกนั้นยังไม่รู้เลยว่าฉันเป็นคนทำ แล้วจอมยุทธ์พเนจรอย่างพวกเขาสองคนจะรู้ได้ยังไงว่าฉันทำ?”
ลู่หงเยียน “อันนี้ไม่ทราบเพคะ เกรงว่าข้อเท็จจริงคงจะมีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่รู้แน่ชัด ตอนนี้ยังไม่สะดวกที่จะไปพูดถึงพระองค์กับพวกเขา หม่อมฉันเองก็ไม่สะดวกถาม และเพราะเหตุนี้ หม่อมฉันถึงได้อยากลองหยั่งเชิงดู พานหลิงอวิ๋นตกอยู่ในเงื้อมมือของคนอื่นแล้ว หลังจากเห็นแบบนี้แล้วพวกเขายังจะคอยจับตามองพระองค์อยู่หรือเปล่า หากยังคงจับตามองอยู่ เช่นนั้นก็ต้องมีปัญหาอะไรแน่นอนเพคะ ”
เรื่องนี้ทำให้ในใจของทั้งสองคนเต็มไปด้วยความสงสัยไปชั่วขณะ
เรื่องที่ทั้งสองคนไม่รู้ก็คือความจริงเหยียนฝูก็ไม่ได้มีความคิดที่จะช่วยเหลืออะไรพานหลิงอวิ๋นมากนัก ก็แค่ฝืนตามหาเธอไปอย่างนั้นเอง
พูดอีกอย่างคือ เพราะเขาคิดว่าการจับตามองหลินยวนนั้นไม่น่าจะทำให้พบตัวพานหลิงอวิ๋นได้ เขาถึงได้เลือกที่จะจับตามองหลินยวน
…..
ในป่าไผ่ที่งดงามและเงียบสงบ เซียวอวี่เหยียนนั่งเงียบๆ อยู่บนแท่นบันไดตรงชายคาบ้าน หลังจากมาที่นี่ เขาก็ครุ่นคิดอยู่แบบนี้มาเป็นเวลานานแล้ว
ภายในป่า เจิงอิงฉางเข้าไปเจอคน จากนั้นสั่งกำชับให้อีกฝ่ายไปจัดการธุระ เมื่อเสร็จแล้วก็เดินออกมา ประคองส่งกล่องโลหะขนาดเท่ากำปั้นกล่องหนึ่งให้ด้วยสองมือ“ท่านประธาน ของที่ท่านให้คนไปเอา มาส่งแล้วครับ”
เซียวอวี่เหยียนรับมา คลำไปบนลายสลักที่อยู่บนกล่องโลหะพักหนึ่ง จากนั้นมีเสียงแกร๊กดังออกมาจากด้านใน ฝากล่องแง้มออก เขาเปิดออกอย่างช้าๆ ก่อนจะเห็นว่าข้างในนั้นมีวัตถุกึ่งโปร่งแสงสีดำที่มีลักษณะเป็นของเหลวเหนียวๆ บรรจุอยู่ครึ่งกล่อง เมื่อมองอย่างละเอียดแล้วพบว่าในวัตถุกึ่งโปร่งแสงนั้นมีจุดสีดำเล็กๆ อยู่เป็นจำนวนมาก จึงทำให้มองเห็นเป็นสีดำ
หลังจากเจิงอิงฉางเห็นสิ่งที่อยู่ในกล่องแล้วถึงจะรู้ว่ามันคืออะไร กล่าวอย่างสะท้อนใจว่า “ท่านประธาน นี่เป็นของดีนะครับ กว่าจะเก็บได้เป็นกล่องขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จะเอามาใช้จนหมดเลยเหรอครับ?”
เซียวอวี่เหยียนพลิกมือหยิบไข่มุกสีแดงขนาดเท่าไข่ไก่ออกมาหนึ่งเม็ด ก่อนจะกดลงไปในของเหลวเหนียวๆ สีดำนั้น “โชคดีที่โรงงานสร้างข่ายพลังอยู่นอกเมือง เพราะถ้าอยู่ในเมืองปู๋เชวี่ย ในเมืองมีคนเยอะเกินไป ฉันคงไม่กล้าใช้ของสิ่งนี้ เพราะมันจะฉาวโฉ่ไปไกลจนทำให้ทั้งคนทั้งเทพพากันโกรธเกรี้ยว”
“ศึกในเมืองหลวงทำให้พวกเราเสียหายอย่างหนัก ยังไม่ฟื้นตัวกลับมา หากให้เหล่าพี่น้องฝืนออกไปสู้อีกคงจะไม่ไหวแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือความพ่ายแพ้ในศึกเมืองหลวงมันน่าสงสัยจริงๆ ใครจะไปรู้ว่าครั้งนี้จะเป็นหลุมพรางอีกหรือเปล่า หากไม่มั่นใจฉันก็ไม่มีทางบุ่มบ่ามทำอะไร งานต้องสำเร็จ เงินฉันก็จะเอา ของฉันก็จะเอา จะเสียอะไรไปไม่ได้ทั้งนั้น!”
หลังเก็บไข่มุกสีแดงเสร็จเรียบร้อย เขาก็ปิดล็อกกล่องโลหะนั้นอีกครั้งแล้วส่งให้เจิงอิงฉาง ก่อนจะกำชับอย่างจริงจัง “โรงงานยังอยู่ระหว่างก่อสร้าง การที่มีสิ่งของต่างๆ ถูกส่งเข้าออกบ่อยๆ ย่อมยากที่จะถูกสังเกตเห็นได้ ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะจะเอาเข้าไปพอดี นายไปจัดการให้ดี แค่ให้คนเอาของนี้ไปซ่อนไว้ในจุดที่จะไม่มีใครเห็นในโรงงานก็พอ จำไว้ จะล่าช้าไม่ได้ ต้องเอาไปซ่อนก่อนที่โรงงานจะสร้างเสร็จให้ได้!”
“รับทราบครับ” เจิงอิงฉางมีสีหน้าคร่ำเคร่ง หลังจากสองมือประคองกล่องนั้นมาเก็บไว้อย่างระมัดระวังเรียบร้อยแล้วถึงจะโล่งใจ
เซียวอวี่เหยียนถามอีกว่า “ทางโรงอีหลิวเป็นยังไงบ้าง?”
เจิงอิงฉาง “ผมกำลังจะรายงานท่านประธานเรื่องนี้เลยครับ คนของเราเข้าไปได้อย่างราบรื่นแล้วครับ”
เซียวอวี่เหยียน “ความคืบหน้าเป็นยังไงบ้าง?”
เจิงอิงฉาง “เพิ่งจะได้เข้าไปครับ อีกฝ่ายยังดูค่อนข้างระมัดระวัง ตอนนี้จึงยังไม่มีความคืบหน้าอะไรครับ”
เซียวอวี่เหยียนกล่าว “ฉันไม่สนเรื่องระวังหรือไม่ระวังอะไรนั่น จะต้องใกล้ชิดกับทางนั้นให้ได้ ทันทีที่ลงมือ เธอต้องพร้อมพาคนที่ฉันต้องการออกมาให้ได้ทุกเมื่อ”
เจิงอิงฉาง “ครับ ผมจะเร่งรัดให้”
……
โรงอีหลิวมีคนเข้ามาอยู่ใหม่อีกคนหนึ่ง ผ่านมาหลายวันแล้ว แต่จางเลี่ยเฉินกับอวี๋สุ่ยชิงก็ยังดูยากที่จะใกล้ชิดกันได้ หากจางเลี่ยเฉินไม่เป็นฝ่ายพูดคุยก่อน อวี๋สุ่ยชิงที่ดูเขินอายก็ยากที่จะเป็นฝ่ายชวนคุยก่อนได้ แต่อวี๋สุ่ยชิงกับลู่หงเยียนกลับดูสนิทสนมกันขึ้นเรื่อยๆ พอเจอหน้ากันก็พูดคุยหัวเราะกันสนุกสนาน
แต่ในทุกๆ คืน ลู่หงเยียนยังคงจับตาดูอวี๋สุ่ยชิงผ่านกล้องวงจรปิด เธอไม่มีทางคลายระแวดระวังลงเพราะความสนิทสนมที่เพิ่มมากขึ้น
“หลายวันแล้ว ยังไม่เห็นความผิดปกติอะไรอีกเหรอ?” หลินยวนที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอเอ่ยถาม
ลู่หงเยียน “ปกติแล้วถ้าหากเธอมีปัญหา พอเข้ามาในนี้ เธอก็จะต้องมีการติดต่อกับคนข้างนอกอย่างแน่นอน แต่จากที่หม่อมฉันสังเกตดูเธอตอนอยู่ในโรงอีหลิวนี้ เธอน่าจะไม่เคยติดต่อกับคนภายนอกเวลาที่อยู่ในโรงอีหลิวเลยเพคะ”
หลินยวนกล่าว “เธอไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียร การติดต่อกับคนภายนอกเวลาที่อยู่ในโรงอีหลิวมันไม่ปลอดภัย ถ้าเธอมีปัญหา มันก็เป็นปกติที่เธอจะระมัดระวัง แล้วก็คงจะติดต่อกับคนภายนอกตอนที่ไม่อยู่ข้างกายพวกเรา”
ลู่หงเยียนกล่าว “ถ้ามีการติดต่อกันตอนที่ไม่อยู่ในโรงอีหลิว อย่างนั้นสถานที่ที่เป็นไปได้มากที่สุดก็ต้องเป็นร้านเหล้าละมุนลิ้น แต่เราไม่รู้เลยว่าเธอทำอะไรบ้างตอนอยู่ในร้านเหล้า จะไปติดกล้องวงจรปิดก็ทำไม่ได้ หากเธอมีปัญหา อย่างนั้นเถ้าแก่เนี้ยก็มีปัญหาเช่นกัน พนักงานในร้านเหล้าเป็นยังไงบ้างพวกเราก็ไม่รู้แน่ชัด ไม่สะดวกที่จะบุ่มบ่ามเข้าไปติดต่อเพื่อสืบเรื่องอวี๋สุ่ยชิง หากจะไปทำอะไรในร้านเหล้า ในระยะเวลาสั้นๆ คงเป็นไปได้ยากเพคะ อีกทั้งโรงงานของหอการค้าตระกูลฉินก็ใกล้จะเปิดแล้วด้วย”
หลินยวนกล่าว “อย่าเพิ่งไปสนใจร้านเหล้า ในเมื่อเรารู้อยู่ก่อนแล้ว อย่างนั้นเราก็เป็นฝ่ายได้เปรียบ ปัญหาเรื่องร้านเหล้าไม่ได้ใหญ่โตอะไร ถ้าอวี๋สุ่ยชิงมีปัญหาจริงๆ อย่างนั้นอีกฝ่ายก็จะต้องเล่นงานโรงอีหลิวผ่านทางอวี๋สุ่ยชิงเนี่ยแหละ ไม่ช้าก็เร็วก็จะต้องโผล่หางออกมาแน่ เราแค่ระวังเธอเอาไว้ก็พอ การให้เธอเข้ามาอยู่ในโรงอีหลิวก็เพื่อจะได้สะดวกแก่การควบคุมสถานการณ์เอาไว้ในมือตัวเอง จะได้รู้ตัวได้ทันเวลาที่อีกฝ่ายใช้ลูกไม้สกปรกอะไร”
ลู่หงเยียน “ใช่แล้วเพคะ เธอบอกว่าตั้งแต่มาอยู่ที่เมืองปู๋เชวี่ย เธอยังไม่เคยไปเดินเล่นในเมืองปู๋เชวี่ยเลยเพคะ แต่ช่วงกลางวันเธอไม่ว่าง เธอก็เลยมาถามหม่อมฉันว่าเย็นพรุ่งนี้พาเธอไปเดินเล่นในเมืองหน่อยได้หรือเปล่าเพคะ”
หลินยวน “เธอรับปากไปแล้ว?”
ลู่หงเยียน “ก็ต้องรับปากไปแล้วสิเพคะ แต่ก็หาเหตุผลปฏิเสธได้อยู่”
หลินยวน “จะลงมือตอนนี้อย่างนั้นเหรอ? กว่าโรงงานของหอการค้าตระกูลฉินจะเปิดก็ยังอีกสักพัก ในตอนที่ยังไม่อาจแน่ใจได้ว่าหลัวคังอันมีของอยู่ในมือหรือเปล่า ทางด้านเจออู๋จื่อกับฉินอี๋ก็ยังพอมีหวังอยู่ แต่ถ้าคว้าน้ำเหลวก็จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น ตามหลักแล้วความเป็นไปได้ที่จะลงมือตอนนี้มีไม่มาก อาจจะเป็นการหยั่งเชิงดู ถ้ารับปากแล้วก็ไปเถอะ เปิดมือถือไว้ด้วย คอยติดต่อฉันไว้ตลอด ถ้าเกิดมีเรื่องแล้วรับมือไม่ไหวก็อย่าฝืน ยอมอีกฝ่ายไปก่อน เดี๋ยวฉันจะหาทางไปช่วยเธอเอง”
ลู่หงเยียนกล่าวอย่างเป็นกังวล “ถ้าอีกฝ่ายส่งยอดฝีมือที่หม่อมฉันรับมือไม่ไหวมาจริง ถ้าเกิดหม่อมฉันตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกเขาจริงๆ แล้วพระองค์เข้ามาช่วยเหลือล่ะก็ หม่อมฉันกลัวว่าจะทำให้ตัวตนของพระองค์ต้องถูกเปิดเผยนะเพคะ”
หลินยวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ในมือฉันมียอดฝีมือเตรียมเอาไว้แล้ว เธอไม่ต้องเป็นห่วง!”
ลู่หงเยียนกระพริบตาปริบๆ เรื่องบางเรื่องหลินยวนไม่ได้บอกเธอ เรื่องบางเรื่องที่เขาไปทำข้างนอกโรงอีหลิว เขาไม่ได้บอกเธอทั้งหมด
ทุกคนต่างกำลังวางแผน ฉินอี๋วางแผนเล่นงานหอการค้าตระกูลโจวกับหอการค้าตระกูลพาน เซียวอวี่เหยียนวางแผนเล่นงานหอการค้าตระกูลฉิน ลู่หงเยียนวางแผนจัดฉากเหยียนฝูกับเซี่ยงเต๋อเฉิง หลินยวนเองก็วางแผนเล่นงานศัตรูที่ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร ทุกคนล้วนไม่ใช่คนธรรมดา ต่างผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน คนที่ต้านทานพายุที่ถาโถมเข้ามาไม่ไหวก็จะถูกคัดออกไปหรือไม่ก็ถูกคลื่นพายุซัดสาดจนตายไป
ตั๊กแตนจับจักจั่นโดยหารู้ไม่ว่ามีนกกระจอกเหลืองอยู่ข้างหลัง ก็ต้องมาดูกันว่าใครจะได้เป็นนกกระจอกเหลืองตัวนั้น
หลินยวนเอ่ยเตือนอีกว่า “เธอต้องระวังตัวให้มากหน่อย ตอนที่โรงงานของหอการค้าตระกูลฉินใกล้จะเปิด ถ้าอวี๋สุ่ยชิงมาชวนให้เธอออกไปอีก หากคิดว่าจะต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่ๆ ก็ไม่ต้องไป”
ลู่หงเยียนสงสัย “หากถึงเวลานั้นแล้วหม่อมฉันไม่ไป พอฝั่งนั้นเห็นว่าแผนการอาจจะผิดพลาด แบบนี้มันจะทำให้เกิดเรื่องอะไรที่พวกเราคาดไม่ถึงหรือเปล่าเพคะ?”
หลินยวน “ถ้าเกิดมีปัญหาจริงๆ เป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขาก็คือฉัน จุดประสงค์ที่พวกเขาจะทำร้ายเธอก็เพราะมุ่งเป้ามาที่ฉัน ถ้าเธอไม่ไป เราก็ยังพอหาตัวเลือกอื่นให้พวกเขาใช้ได้ เธอลองหาวิธีโยนไปให้ลุงเฉินดู”
ลู่หงเยียนงงงัน “ให้ลุงเฉินไปเสี่ยง? มันจะดีเหรอเพคะ?”
หลินยวน “เธอเป็นผู้หญิง ถ้าตกไปอยู่ในมือคนอื่นมันจะไม่ค่อยสะดวก เธอรู้อะไรเยอะเกินไป เลี่ยงได้ก็ควรจะเลี่ยงดีกว่า ลุงเฉินถึกทน ค่อนข้างเหมาะทีเดียว วางใจได้ ถ้าเขาเกิดเรื่อง ฉันก็จะช่วยเขาเหมือนกัน หรือถ้าช่วยไม่ได้จริงๆ ฉันก็จะหงายไพ่ให้อีกฝ่ายดูไปเลย ลุงเฉินไม่เป็นอะไรหรอก”
ดูเหมือนเขาจะยังเป็นห่วงตนเองอยู่! ภายในใจของลู่หงเยียนมีความรู้สึกวาบหวามเอ่อล้นออกมา เธอมองเขาด้วยสายตารักใคร่ แต่ก็มีความรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่เล็กน้อยเช่นกัน “ได้เพคะ หม่อมฉันรู้แล้วว่าต้องทำยังไงเพคะ”
……
ณ ปู๋เชวี่ยวิดีโอ เนื่องจากประธานหอการค้าตระกูลฉินต้องการดูแผนการถ่ายทำพิธีเปิดโรงงาน เห็นได้ชัดว่าประธานฉินเหมือนจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ จูลี่เองก็ไม่กล้าสะเพร่า ด้วยเหตุนี้จึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นพิเศษด้วยเช่นกัน เธอเรียกพนักงานที่เกี่ยวข้องไปประชุมที่ห้องทำงานของตัวเองอีกครั้ง
จิ้นเซียวที่ฟังอยู่ข้างๆ ค่อยๆ หันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง เหลือเวลาอีกแค่เพียงสามวันก็จะถึงพิธีเปิดโรงงานสร้างข่ายพลังของหอการค้าตระกูลฉินแล้ว ในใจของเขาเต็มไปด้วยความว้าวุ่นใจ
หลังจบการประชุม ภายในห้องทำงานเงียบสงบลง จูลี่ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะมองไปทางเขาที่ยืนอยู่ตรงริมหน้าต่าง ตะโกนไปว่า “นี่”
จิ้นเซียวได้สติแล้วหันกลับมา สิ่งแรกที่เขาทำคือเดินไปหน้าโต๊ะทำงานแล้วหยิบกาน้ำชาขึ้นมารินน้ำชาให้เธอ
จูลี่จ้องหน้าเขาแล้วเอ่ยถาม “ช่วงนี้นายเป็นอะไรไป ทำไมทำท่าเหมือนมีเรื่องหนักอกหนักใจอยู่เรื่อยเลย ฉันทำอะไรให้นายไม่พอใจหรือเปล่า?”
จิ้นเซียวผงะไปเล็กน้อย ค่อยๆ วางกาน้ำชาลง สบตาเธอ จู่ๆ พลันถามขึ้นมาว่า “ในสายตาของคุณโลกใบนี้เป็นสีอะไร?”
เมื่อถูกเขาถามเช่นนี้ จูลี่พลันมีสีหน้างุนงง เธอมองไปรอบๆ “ก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอ แสงแดดนอกหน้าต่างดูสวยงาม สายลมกับดวงอาทิตย์ก็สวย มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”
จิ้นเซียว “ผมโดดเดี่ยวมาก ในสายตาของผม โลกใบนี้เป็นสีเทา สำหรับผมแล้ว ผู้หญิงคือฝันร้าย เหมือนกับเมฆดำที่แต่งเติมสีเทาเข้มลงไป เวลาที่ลอยเข้ามาผมก็อยากจะหลบ ผมกลัวการได้ใกล้ชิดผู้หญิง แต่กับคุณมันต่างออกไป ครั้งแรกที่ผมได้เห็นคุณผมก็รู้ทันที ความมีชีวิตชีวาในตัวคุณ ความมีชีวิตชีวาของคนคนหนึ่งมันสื่อถึงจิตใจของคนคนนั้น”
“หลังจากที่ได้ใกล้ชิดกันมานานขนาดนี้ มันก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าผมไม่ได้มองผิดไป ในสายตาของคุณมีเพียงเรื่องงานเท่านั้น ไม่เคยมีความกลัดกลุ้มรำคาญใจอะไรเลย ร้องไห้จบก็ถือว่าจบไป พอได้อยู่ข้างกายคุณ ผมก็พลอยได้รับอิทธิพลมาด้วย ความรู้สึกแบบนี้มันสบายอย่างมาก คุณเหมือนเป็นแสงสว่างให้ผม ทำให้ผมไม่รู้สึกเดียวดายอีกต่อไป ความจริงแล้วผมกลัวความโดดเดี่ยวมากเลยนะ คนที่มีจิตใจสดใสอยู่เสมอแบบคุณมีไม่มากนักหรอก ผมคิดว่าผมอยากจะรักษาเอาไว้”
จูลี่มึนงง “พูดอะไรน่ะ? อะไรวกไปวนมา?” จากนั้นก็กลับเม้มปากขึ้นมา เคาะนิ้วลงบนโต๊ะแล้วกล่าว “คงไม่ใช่ว่าชอบฉันแล้วอยากจะสารภาพรักหรอกใช่ไหม?”
จิ้นเซียวมีสีหน้าลำบากใจ “ที่นี่ไม่เหมาะกับผม แล้วก็ไม่เหมาะคุณด้วย ไปกันเถอะจูลี่ เราไปจากที่นี่ด้วยกัน”
พอเห็นว่าเขาไม่ได้ตอบรับคำพูดของตน สีหน้าของจูลี่ก็เปลี่ยนไปทันที “ฉันเคยบอกแล้วว่าเวลาทำงานอย่ามาเรียกชื่อฉันตรงๆ ปู๋เชวี่ยวิดีโอดูแลนายไม่ดีเหรอ? ทำไมนายถึงอยากจะไปจากที่นี่อยู่ตลอดเลย? ถ้าอยากจะไปจริงๆ นายก็ไปเถอะ ฉันไม่ฝืนใจนายหรอก!”
จิ้นเซียวอยากจะบอกอะไรกับเธออีกสักหน่อย อยากจะบอกเธอจริงๆ ว่าอาจจะมีพายุอันรุนแรงกำลังมาเยือนแล้ว
แต่เขาก็พูดออกไปไม่ได้ เขารู้ว่าแม้จะพูดออกไป มันก็ไม่แน่ว่าจะทำให้เธอไปจากที่นี่ได้ ความอยากรู้อยากเห็นของผู้หญิงคนนี้รุนแรงเป็นอย่างมาก เกรงว่าหากเขาพูดมันออกไป มันกลับจะทำให้เธอยิ่งอยากอยู่ที่นี่มากขึ้นกว่าเดิม เผลอๆ อาจจะทำให้เรื่องราวมันวุ่นวายจนถึงขั้นที่ทำให้เขาไม่สามารถอธิบายได้หรือว่ายากที่จะเผชิญหน้ากับเธอได้
…………………………………………………….