ตอนที่ 221 มื้ออาหารที่น่าเป็นห่วง
หลินยวนไม่แสดงสีหน้าใดๆ
แต่ลู่หงเยียนกลับยิ่งประหลาดใจ “ลุงรู้ว่าเธอมีปัญหา ทำไมถึงไม่บอกพวกเรา?”
จางเลี่ยเฉินกล่าวอย่างกระอักกระอ่วน “เถ้าแก่เนี้ยแบ่งเงินที่เธอได้รับมาให้ฉันครึ่งหนึ่ง”
“…” ลู่หงเยียนหมดคำพูดเลยจริงๆ ผ่านไปสักพักจึงเอ่ยอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกว่า “ลุงรู้อยู่แก่ใจว่ามีปัญหา ยังจะกล้ารับเงินนี้มาอีกเหรอ?”
หลินยวนกลับไม่รู้สึกแปลกใจกับคำพูดนี้เลยสักนิด
จางเลี่ยเฉินบ่นพึมพำ “ฉันถึงได้ไม่ใกล้ชิดกับเขาไง วันนี้ถ้าไม่ใช่เพราะเธอบอกให้ฉันไปก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้หรอก”
ลู่หงเยียนยอมใจเขาเลยจริงๆ เธอมองสำรวจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า “ลุงเฉิน ดูแล้วลุงก็ไม่เป็นอะไรนี่ แถมยังคิดจะหลอกพวกเราให้ไปที่นั่นเหมือนกันด้วย คงไม่ใช่ว่ารับเงินของพวกเขามาด้วยหรอกนะ?”
จางเลี่ยเฉินจะเอ่ยปากแก้ตัว แต่หลินยวนกลับเอ่ยขึ้นมา “พอแล้ว ในเมื่อเถ้าแก่เนี้ย…ไม่มีปัญหา เรื่องราวมันก็ผ่านไปแล้ว ช่างมันเถอะ” พูดจบก็เดินหน้าต่อ
ในเมื่อเขาพูดแบบนี้ ลู่หงเยียนก็ไม่พูดอะไรอีก เดินตามเขาไป
จางเลี่ยเฉินกลับเดินตามอยู่ด้านหลัง คล้ายกำลังบ่นพึมพำกับตัวเอง “แล้วก่อนเกิดเรื่องพวกแกรู้ได้ยังไงล่ะว่าฉันตกอยู่ในมือคนอื่น…”
ลู่หงเยียนที่ได้ยินแว่วๆ ดึงแขนเสื้อ เม้มปาก เรื่องที่ต่างคนต่างขายกันเองนี้นั้นไม่เหมาะที่จะพูดอะไรมากจริงๆ พูดออกไปก็มีแต่จะเสียความรู้สึกกันเปล่าๆ
หลังจากทั้งสามคนขึ้นรถไป จางเลี่ยเฉินก็ยึดพื้นที่เบาะหลังคนเดียวอย่างสบายใจ
ลู่หงเยียนที่นั่งข้างคนขับถามหลินยวน “กลับโรงอีหลิวเหรอคะ?”
หลินยวนที่ขับรถอยู่กล่าว “ไม่ปลอดภัย หลบๆ ก่อนดีกว่า วันนี้ไปหาที่ค้างคืนใกล้ๆ สถานที่ที่มีผู้พิทักษ์เมืองประจำการก่อนแล้วกัน”
จางเลี่ยเฉิน “ไม่กลับบ้าน? หงเยียน ปิดประตูบ้านดีหรือเปล่า อย่าให้ใครเข้าไปขโมยของได้นะ”
เรื่องหยุมหยิมแบบนี้ยังจะพูดขึ้นมาอีก? ลู่หงเยียนยิ้มฝืนๆ กล่าว “ปิดแล้วค่ะ”
ทั้งสามคนเดินทางไปยังสถานที่ที่มีผู้พิทักษ์เมืองประจำการอยู่ หาโรงแรมเข้าพัก
หลังจากจัดหาที่พักให้จางเลี่ยเฉินและเดินกลับมายังห้องตนเองพร้อมกับหลินยวนแล้ว ลู่หงเยียนก็ปิดหน้าต่างพลางลองเอ่ยเตือนว่า “บางครั้งคนใกล้ตัวก็ไว้ใจไม่ได้นะเพคะ”
หลินยวนรู้ว่าเธอหมายถึงคำพูดของจางเลี่ยเฉินมีช่องโหว่ จึงตอบกลับไปว่า “ตอนนี้ยังไม่น่ากังวลอะไร”
เขายังคงมีความไว้วางใจต่อจางเลี่ยเฉินในระดับหนึ่งอยู่ ส่วนเหตุผล เขาไม่สะดวกจะบอกให้ลู่หงเยียนรู้ อาศัยเพียงเรื่องที่จางเลี่ยเฉินสามารถแก้พิษผนึกมารให้เขาได้ แค่นี้ก็สามารถอธิบายปัญหาบางอย่างได้แล้ว
…..
ในกระท่อมที่อยู่ในป่าไผ่ ภายใต้แสงไฟ เซียวอวี่เหยียนนั่งจ้องแผนที่ที่วางอยู่บนโต๊ะ ใบหน้าเคร่งเครียด
ด้านนอกกระท่อม ชายร่างกำยำที่มีผ้าพันแผลพันอยู่ที่มือสาวเท้าก้าวเข้ามา ประสานมือพลางกล่าวว่า “ท่านประธาน ไปถามพวกคนที่ซุ่มโจมตีเหล่านั้นมาแล้วครับ”
เซียวอวี่เหยียนพยักพเยิดหน้าไปยังแผนที่ที่อยู่บนโต๊ะเล็กน้อย ชายร่างกำยำเดินมาตรงหน้าแผนที่ หลังจากจ้องมองไปครู่หนึ่ง เขาก็ยื่นนิ้วชี้ไปบนแผนที่แล้วกล่าวว่า “เจ้านั่นน่าจะขึ้นไปบนเขาจากทางนี้ ฆ่าตรงนี้หนึ่งคน ฆ่าตรงนี้สองคน แล้วก็ฆ่าตรงนี้อีกหนึ่งคนครับ…” เขาจำลองเส้นทางที่จิ้นเซียวลงมือตรงรอบนอกพื้นที่แอ่งกระทะขึ้นมา
เซียวอวี่เหยียนจ้องมองเส้นทางด้วยสายตาคร่ำเคร่ง เอ่ยถามอีกว่า “แน่ใจนะว่าเป็นการฆ่าในระยะประชิดทั้งหมด?”
ชายร่างกำยำกล่าว “แน่ใจครับ เป็นการฆ่าระยะประชิดทั้งหมด ถ้าอีกฝ่ายปล่อยพลังออกมาสังหาร มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ถูกพบครับ”
เซียวอวี่เหยียนกล่าวอย่างช้าๆ “คนคนนี้ไม่ธรรมดา”
ชายร่างกำยำ “พวกเราประมาทเองครับ คิดไม่ถึงว่าจะมียอดฝีมือขั้นเซียนเทพโผล่มาช่วยคนไปได้”
เซียวอวี่เหยียน “จะใช่สภาวะขั้นเซียนเทพหรือไม่ไม่ค่อยสำคัญเท่าไร สิ่งสำคัญคือทั้งๆ ที่มีการวางกำลังไว้แน่นหนาขนาดนี้ แต่อีกฝ่ายกลับยังสามารถฆ่าคนไปถึงเจ็ดคนโดยไม่ถูกพบเห็นได้ เห็นได้ชัดเลยว่าคนคนนี้ถนัดเรื่องการฆ่าคนในระยะประชิด! ข่ายพลังอัสนีกระซิบที่วางไว้ไม่มีประโยชน์เลยสักนิด ทำได้เพียงมองดูเขาหนีไปโดยไม่อาจทำอะไรได้ แผนการทั้งหมดล้วนทำอะไรเขาไม่ได้เลย! ฉีหนาน คนคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา หากแต่เป็นมืออาชีพที่มากประสบการณ์ ทั้งยังเป็นยอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมือด้วย ใช่หลินยวนไหม?”
ฉีหนานก็คือชื่อของชายร่างกำยำ เขากล่าวว่า “ไม่ใช่หลินยวนครับ หลังเกิดเรื่องผมสอบถามกับสายที่อยู่ทางหอการค้าตระกูลฉินแล้ว หลินยวนไม่ได้ไปไหนเลย กระทั่งจางเลี่ยเฉินถูกช่วยออกมาแล้ว เขาก็ยังอยู่ในหอการค้าครับ โทรศัพท์ที่หลินยวนโทรมาครั้งหลังนั้นเห็นได้ชัดว่าเพราะกลัวว่าเราจะเอาตัวจางเลี่ยเฉินไว้ซ่อนไว้ ทำให้พวกเขาหาตัวได้ยาก สุดท้ายกลายเป็นว่าเราหลงกลเขา อีกอย่าง ผมเพิ่งได้รับรายงานจากสายของเรา จางเลี่ยเฉินกับคนที่ชื่อจิ้นเซียวกลับไปที่หอการค้าตระกูลฉินด้วยกัน มีความเป็นไปได้สูงที่คนลงมือช่วยจางเลี่ยเฉินจะเป็นจิ้นเซียวคนนี้ครับ”
เซียวอวี่เหยียน “จิ้นเซียว? เป็นใครกัน?”
ฉีหนานกล่าว “ได้ยินว่าเป็นผู้ช่วยของผอ.ปู๋เชวี่ยวิดีโอครับ”
เซียวอวี่เหยียนมีสีหน้าสงสัย “ผอ.ตัวเล็กๆ ของสถานีออกอากาศเมืองปู๋เชวี่ยกลับมีผู้บำเพ็ญเพียรขั้นเซียนเทพคอยอยู่ข้างกายเหรอ มันไม่ดูเกินตัวไปหน่อยหรือ ผอ.สถานีออกอากาศคนนั้นเป็นใครมาจากไหน?”
ฉีหนาน “ตอนนี้ยังไม่รู้ครับ เดี๋ยวผมจะค่อยๆ สืบครับ”
เซียวอวี่เหยียนส่ายหน้าเล็กน้อย “ตอนนี้ เรื่องพวกนี้ล้วนไม่สำคัญแล้ว เรื่องนี้ฉันพอจะรู้อยู่แล้ว นี่ไม่ใช่ความผิดของนายคนเดียว นายออกไปก่อนเถอะ”
“ครับ” ฉีหนานประสานมือรับคำ จากนั้นก็หันหลังก้าวยาวๆ เดินจากไป
เซียวอวี่เหยียนเดินกลับไปกลับมาอยู่สักพัก จู่ๆ พลันหยุดฝีเท้าแล้วกล่าวว่า “เหล่าเจิง เราอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว แจ้งทุกคนให้ทยอยถอนกำลัง พรุ่งนี้เช้าพวกเราเองก็จะไปจากที่นี่ด้วย”
“นี่…” เจิงอิงฉางที่อยู่ด้านข้างมีสีหน้ามึนงง กล่าวว่า “ท่านประธาน เราเตรียมตัวมาตั้งนานขนาดนี้ จะถอยไปแบบนี้เหรอครับ?”
เซียวอวี่เหยียน “เดิมทีเรื่องนี้มันไม่น่ามีอะไรผิดพลาด แต่ฉีหนานกลับบอกว่าเขาหลงกล มันหมายความว่าอะไรล่ะ? มันหมายความว่าอีกฝ่ายรู้ความเคลื่อนไหวของพวกเราแต่แรกแล้ว หมายความว่าการวิเคราะห์ของฉันก่อนหน้านี้ไม่ผิด ข่าวที่ว่าหลัวคังอันมีของอยู่ในมือนั้นเป็นหลุมพรางอย่างที่คิดไว้จริงๆ ส่วนในด้านอื่นๆ อีกฝ่ายแอบวางแผนไว้มากน้อยเท่าไร พวกเราไม่รู้เลยแม้แต่น้อย ในสถานการณ์ที่ไม่แน่ชัดแบบนี้ ยังจะบุ่มบ่ามลงมืออีกเหรอ? หรืออยากจะกระโดดลงไปในหลุมพรางทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว?”
เจิงอิงฉางคล้ายยังไม่ยอมแพ้ กล่าวว่า “ท่านประธาน กระทั่งของสิ่งนั้นท่านก็ใช้ไปแล้ว ของสิ่งนั้นมันใกล้จะแสดงผลออกมาแล้วด้วย ทั้งคนที่อยู่ในโรงงานสร้างข่ายพลัง คนที่ไปโรงงานในวันนั้น ทั้งยอดฝีมือและกำลังทหาร เกือบทั้งหมดนั้นจะต้องกลายเป็นอัมพาต รวมถึงหลัวคังอันคนนั้นด้วย ทันทีที่คนของพวกเราลงมือ อีกฝ่ายเรียกได้ว่าไม่สามารถขัดขืนได้เลย ดูแล้วจะต้องสำเร็จได้อย่างง่ายดายแน่นอน ถ้าเราล้มเลิกไปตอนนี้ มันน่าเสียดายเกินไปนะครับ!”
เซียวอวี่เหยียนหันกลับมาทันที “ใช่ มันน่าเสียดาย แต่นายก็ต้องเข้าใจด้วย ในเมื่ออีกฝ่ายวางหลุมพรางดักพวกเราได้ นั่นก็แสดงว่าข่าวเรื่องที่พวกเราจะลงมือมันหลุดออกไปแล้ว อีกฝ่ายรู้เรื่องแล้ว นายคิดว่าพวกเขายังจะนั่งรอความตายอยู่เฉยๆ ได้อีกเหรอ? ถ้าสภาเซียนแอบวางกำลังพลเอาไว้ล่ะก็ ถ้าสมมติว่าพวกเขากำลังรอให้พวกเราปรากฏตัวล่ะก็ ความเสียหายที่เกิดขึ้นพวกเรารับไหวเหรอ?”
จางอิงเฉิงได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกตกใจขึ้นมา
เซียวอวี่เหยียนกล่าวต่อ “พวกเราพ่ายแพ้ยับเยินตอนสู้ศึกเมืองหลวง เราต้องรู้จักเรียนรู้ ถ้าวิ่งเข้าไปติดกับอีกครั้ง ครั้งนี้จะหนีไปได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ทั้งๆ ที่รู้ว่านั่นเป็นหลุมพราง แต่ก็ยังจะโลภมากวิ่งเข้าไป นั่นคือการรนหาที่ตาย! แจ้งออกไปว่าให้ถอนกำลัง!”
“ครับ!” เจิงอิงฉางประสานมือรับคำ หลังจากวางมือลงแล้วก็ลองเอ่ยถามว่า “แล้วเงินมัดจำที่เรารับมาทำยังไงดีครับ? ตามกฏคือถ้าทำไม่สำเร็จจะต้องคืนไป ทางเถ้าแก่เหมยต้องให้เราคืนเงินแน่นอน นี่ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เลยนะครับ!”
เซียวอวี่เหยียน “ทางเขาเป็นคนทำข่าวเรื่องที่พวกเราจะลงมือหลุดออกไปหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ เขายังคิดจะเอาเงินมัดจำอีกเหรอ?”
เจิงอิงฉาง “คือ…ท่านประธานครับ ถ้าไม่คืนเงินมัดจำ ดูเหมือนจะผิดกฏนะครับ”
เซียวอวี่เหยียน “กฎไม่มีชีวิต แต่คนมีชีวิต กฎเองก็เป็นสิ่งที่คนตั้งขึ้นมา ถ้าเขาอยากได้เงินมัดจำ นายก็ถามเขาไปว่าผู้ว่าจ้างใช่หอการค้าตระกูลเผย หอการค้าตระกูลฉวี่และหอการค้าตระกูลอูไหม ถ้าเป็นสามตระกูลนี้ไม่ต้องคืนเงินมัดจำ สามตระกูลนี้ไปต่อไม่ไหวแล้ว จะคืนเงินมัดจำไปให้ตระกูลใหญ่สามตระกูลที่อยู่เบื้องหลังฮุบไปเหรอไง? ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องโง่ๆ แบบนั้น ส่วนแบ่งของเงินมัดจำนี้ยังไงเขาก็ต้องได้อยู่แล้ว!”
“ครับ เข้าใจแล้ว ผมจะไปจัดการถอนกำลังเดี๋ยวนี้ครับ” เจิงอิงฉางพยักหน้า หันหลังสาวเท้าเดินออกไป
ตึง! เซียวอวี่เหยียนตบฝ่ามือลงบนแผนที่เบาๆ ถอนใจออกมา “น่าเสียดาย!”
หายนะที่เดิมทีควรจะเกิดขึ้นกลับสลายหายไปจนหมดเพราะจางเลี่ยเฉินถูกช่วยออกไป
สำหรับหลินยวนแล้ว ผลลัพธ์ที่คาดการณ์เอาไว้เดิมทีมันไม่ควรจะเป็นแบบนี้ เดิมทีเรื่องที่ว่าเคล็ดลับการสร้างข่ายพลังที่อยู่ในมือหลัวคังอันเป็นเพียงหลุมพรางนั้น มันไม่ควรจะถูกอีกฝ่ายมองออกง่ายๆ เช่นนี้
เพราะว่าเซียวอวี่เหยียนไม่ได้ลงมือในเวลาที่หลินยวนคาดการณ์เอาไว้ ทำให้หลินยวนสงสัยว่าฝ่ายตรงข้ามอาจจะแค่ต้องการเอาอะไรติดไม้ติดมือไปนิดหน่อยเท่านั้น ดังนั้นบางเรื่องหลินยวนจึงคิดว่ามันไม่จำเป็นอีก ไม่จำเป็นต้องเอาความวุ่นวายมารวมอยู่ที่ตัวเอง ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดอะไรขึ้นมันจะอธิบายกับทางผู้พิทักษ์เมืองได้ลำบาก เขาจึงตัดสินใจตัดปัญหาซะ ทำให้หลัวคังอันหมดประโยชน์ไป
เดิมทีหลายๆ เรื่องมันต้องเกิดผลกระทบต่อเนื่อง แต่มันกลับถูกคลี่คลายไปโดยไม่ได้ตั้งใจ นี่คือสิ่งที่หลินยวนคิดไม่ถึงเช่นกัน
……
มื้อค่ำที่คฤหาสน์ตระกูลฉิน หลัวคังอันกับจูเก่อม่านมาเยือนกะทันหัน คฤหาสน์ตระกูลฉินจึงจัดสำรับอาหารเพิ่มทันที
เจตนาของหลินยวน หลัวคังอันไม่กล้าขัดขืน ส่วนจะหาข้ออ้างอะไรมาร่วมโต๊ะอาหารด้วยน่ะเหรอ? ในเมื่อพาจูเก่อม่านมาด้วย เขาจึงทำได้เพียงยกเอาจูเก่อม่านขึ้นมาอ้าง
เขาบอกว่าเรื่องที่จูเก่อม่านได้เลื่อนตำแหน่งสามขั้น ทางตระกูลฉินดูแลเธอดีขนาดนี้ ก็เลยต้องมาขอบคุณสักหน่อย
ที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้มาก็เพราะเห็นว่าทุกคนกำลังยุ่งกันอยู่ กระทั่งโรงงานเปิดอย่างเป็นทางการแล้ว คิดว่ายังไงก็ต้องมาแสดงความขอบคุณสักหน่อย วันนี้ถึงได้เดินทางมา
ทางด้านฉินเต้าเปียนย่อมต้องยินดีต้อนรับอยู่แล้ว หลินยวนพูดไว้ถูกต้องเลย ทางนี้อยากใช้โอกาสนี้สอบถามเรื่องระหว่างหลัวคังอันกับหลงซืออวี่จริงๆ
แต่มื้ออาหารในวันนี้กลับไม่ค่อยราบรื่นเท่าไร หากแต่ดูน่าเป็นห่วงเสียด้วยซ้ำ
ฉินอี๋ไอไม่หยุด ทั้งยังไอหนักขึ้นเรื่อยๆ ด้วย เห็นได้ชัดว่านี่มันผิดปกติ หลิ่วจวินจวินลุกขึ้นมาจับชีพจรของฉินอี๋ด้วยตัวเอง ใช้พลังตรวจสอบสภาพร่างกายของเธอ
หลัวคังอัน จูเก่อม่านและฉินเต้าเปียนที่วางตะเกียบลง รวมถึงไป๋ซานเป้าที่ยืนอยู่ด้านข้างต่างมองฉินอี๋ที่ไออย่างรุนแรงไม่หยุดด้วยความเป็นห่วง
เมื่อเห็นคิ้วของหลิ่วจวินจวินค่อยๆ ขมวดขึ้นมา แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรยังรู้สึกว่าจัดการได้ยากเลยเหรอ? ในที่สุดฉินเต้าเปียนก็ทนไม่ไหว เอ่ยถามว่า “เป็นยังไงบ้าง?”
หลิ่วจวินจวินส่ายหน้าเล็กน้อย ดูเหมือนไม่ค่อยแน่ใจ กล่าวว่า “บางทีอาจเป็นเพราะฉันความรู้ตื้นเขิน ถ้ายังไงให้ผู้อาวุโสทั้งสองท่านจากตระกูลหนานซีมาช่วยดูให้ดีกว่าค่ะ”
“เดี๋ยวผมไปเชิญมาเองครับ” ไป๋ซานเป้ารีบออกไปทันที
หลัวคังอันกับจูเก่อม่านมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่คิดว่าการมาทานอาหารครั้งนี้จะมาเจอเหตุการณ์ที่ฉินอี๋ไม่สบายเข้า
ในเวลานี้ ไป๋หลิงหลงที่ออกไปรับโทรศัพท์ข้างนอกก็เข้ามาอย่างเร่งรีบ สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล แต่เห็นฉินอี๋เป็นแบบนั้นก็ยิ่งลังเลว่าควรพูดดีหรือไม่
ฉินอี๋ที่ไอจนสีหน้าเปลี่ยนไปสังเกตเห็นไป๋หลิงหลง จึงพยายามกลั้นไอไว้แล้วเอ่ยถามว่า “มีเรื่องอะไร?” พอพูดจบก็ไอติดๆ กันอีกครั้ง
ไป๋หลิงหลงตอบด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความลำบากใจ “ทางโรงงานเกิดเรื่องแล้วค่ะ ตั้งแต่ตอนบ่ายมีคนจำนวนไม่น้อยมีอาการไอค่ะ ตอนนี้แม้แต่ทหารกับผู้บำเพ็ญเพียรก็ไออยู่ ตอนนี้คนอื่นนอกจากผู้บำเพ็ญเพียรล้วนไอออกมาเป็นเลือดกันแล้วค่ะ แล้วก็มีผู้บริหารระดับสูงบางส่วนของหอการค้าก็มีอาการแบบเดียวกันด้วยค่ะ…”
ฉินอี๋ได้ฟังเรื่องเหล่านี้แล้ว อารมณ์ที่ปั่นป่วนได้ทำให้อาการไอของเธอยิ่งรุนแรงขึ้น ขณะที่กำลังจะลุกขึ้นยืน จู่ๆ เธอก็ไอ “พรูด” ออกมา เลือดสดๆ พุ่งออกมาจากปาก สาดกระเซ็นใส่อาหารและถ้วยชามจำนวนไม่น้อยที่อยู่บนโต๊ะ
จูเก่อม่านตัวสั่นขึ้นมา เพราะหยดเลือดหลายหยดกระเด็นมาบนหน้าเธอ เธอกับหลัวคังอันต่างตื่นตระหนกกับเลือดแดงฉานที่อยู่ตรงหน้า
…………………………………………………..