ตอนที่ 230 คุณชายขอยา
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นก็ไม่อาจรอช้าได้ รบกวนอาจารย์แจ้งเรื่องทางนี้ไปที่วังเซียนด้วยครับ” เว่ยผิงกงประสานมือเอ่ยขอร้องอีกฝ่าย นับว่าเป็นท่าทีดีๆ ซึ่งยากจะได้เห็นนับตั้งแต่ที่เขามาอยู่ที่นี่ ช่วยไม่ได้ แม้ว่าทหารกว่าหมื่นนายที่อยู่ที่นี่จะไม่ใช่ทหารในดินแดนหมิงของเขา เป็นเพียงทหารที่มาอยู่ใต้บังคับบัญชาเขาชั่วคราว แต่ถึงกระนั้นตอนนี้ก็นับว่าเป็นคนของเขา การจะขอร้องคนอื่นก็ย่อมต้องแสดงท่าทีขอร้อง จากนั้นจึงกล่าวกับคังซ่าด้วยท่าทีสบายๆ “คังซยง เดี๋ยวนายกับฉันไปรายงานสภาเซียนด้วยกัน ไปขอให้ทางสภาเซียนมอบยาให้!”
ทั้งอาจารย์หลางและคังซ่าต่างตกลงตามนี้ เรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องปฏิเสธอยู่แล้ว
ในขณะที่ทางนี้กำลังหารือกันอยู่ว่าควรจะรายงานอย่างไรดี หลัวคังอันที่ยืนอยู่ข้างๆ พวกเขากลับดูผิดสังเกตอย่างเห็นได้ชัด เขาไอไม่หยุด ไออย่างรุนแรง
หลังไออยู่คนเดียวจนดูสะดุดตาอยู่พักหนึ่ง จู่ๆ หลัวคังอันก็พบความผิดปกติ ทำไมคนพวกนี้ถึงดูเหมือนไม่เป็นอะไรกันเลย ทำไมถึงมีแค่เขาคนเดียวที่ไอจะเป็นจะตายอยู่แบบนี้?
ความรู้สึกนี้มันทรมานอย่างมาก เขาทนไม่ไหวแล้ว จึงก้าวเท้าเดินไปหาหลินยวน ดึงแขนเสื้อหลินยวน พยายามอดกลั้นอาการไอเอาไว้ รีบกระซิบเสียงเบาๆ ถามว่า “น้องหลิน ฉันไอจนจะทนไม่ไหวแล้ว ทำไมนายดูไม่เป็นอะไรเลยล่ะ?”
หลินยวนเอ่ยเรียบๆ บอกกับเขาไปตามตรง “ผมกินยาแก้พิษไปแล้ว”
ความจริงแล้วเขาไม่จำเป็นต้องกินยาแก้พิษก็ได้ การที่วิชาที่เขาฝึกสามารถทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในสิบสามมารสวรรค์ได้ แสดงว่าวิชานั้นย่อมต้องมีความร้ายกาจอยู่ เพียงแต่ตอนนี้พิษในร่างกายได้กระจายไประดับหนึ่งแล้ว สภาพแวดล้อมที่นี่ไม่สะดวกให้เขาใช้พลังขจัดพิษ ไม่อย่างนั้นจะทำให้ตัวตนถูกเปิดเผยออกมาได้ง่าย จึงได้แต่ต้องกินยาแก้พิษไปก่อน
“แค่กๆ …” หลัวคังอันไออย่างรุนแรง ลูกกระเดือกของเขาขยับขึ้นลง กลืนน้ำลายเล็กน้อย ดวงตาที่ไอจนน้ำตาไหลซึมเบิกโพลง “มียาแก้ของฉันไหม?”
ท่าทางเขาแทบจะเหมือนขอทาน ขาดแค่เพียงไม่ได้ยื่นมือออกไปขอเท่านั้น
เขาคิดไปเองว่าเป็นฉินอี๋ที่หายามาช่วยหลินยวน ก่อนหน้านี้เขากำชับหลินยวนไปหลายครั้งแล้วว่าถ้ามียาแก้ก็อย่าลืมส่วนของเขาด้วย
ใครจะรู้ว่าหลินยวนจะกล่าวมานิ่งๆ ว่า “ผมมีแค่เม็ดเดียว”
“…” หลัวคังอันแทบจะสบถด่าออกมา เขาจับคอที่กำลังจะไอพลางเอ่ยถาม “นายไปเอายาแก้มาจากไหน?”
หลินยวน “ผมมีพกติดตัวเอาไว้หนึ่งเม็ด”
อันที่จริงเขาไม่ได้มีเพียงเม็ดเดียว ในตัวเขาเหมือนจะอยู่มีหลายเม็ดเลย ก็เหมือนกับที่เว่ยผิงกงเอายาออกมาช่วยเหลือนายพลหลักๆ ข้างกายได้จำนวนหนึ่ง เพียงแต่ในสถานการณ์ตอนนี้ เขาไม่สะดวกจะให้คนอื่นรู้ว่าในตัวเขามียาแก้อยู่หลายเม็ด อย่างไรเสียหอการค้าตระกูลฉินก็น่าจะหายาแก้พิษมาให้หลัวคังอันที่เป็นรองประธานได้อยู่แล้ว ส่วนคนที่ลงมือก่อเหตุก็ดูเหมือนจะไม่ลงมือโจมตีแล้วด้วย ดังนั้นจึงไม่รีบ อย่างมากก็แค่ปล่อยให้หลัวคังอันทรมานต่อไปอีกสักระยะก่อน
“ทำไมนายไม่บอกให้เร็วกว่านี้?” หลัวคังอันไม่อยากจะเชื่อ “แค่กๆ …นายไปเอายาราคาเป็นสิบล้านนี่มาจากไหน?”
หลินยวน “มีคนให้มา”
หลัวคังอัน “ใครแม่งจะใจกว้างขนาดนั้นวะ เอายาราคาเป็นสิบล้านมาให้นายง่ายๆ เนี่ยนะ?” สุดท้ายเขาก็สบถออกมา
หลินยวนกล่าว “คุณก็เคยเจอแล้ว”
หลัวคังอันอึ้งไปเล็กน้อย ได้ยินมาว่าลู่หงเยียนเป็นลูกสาวของหอการค้าแห่งหนึ่งในเมืองหลวง พอคิดไปคิดมา เกรงว่าคนใกล้ตัวของหลินยวนที่น่าจะมีของสิ่งนี้ได้ก็คงจะมีแค่ลู่หงเยียนคนนั้น จึงพยายามกลั้นอาการไอ เอ่ยถาม “คุณลู่เหรอ?”
หลินยวนไม่ได้พูดอะไร นับว่าเป็นการยอมรับโดยปริยาย แล้วก็เป็นการตัดปัญหาด้วย เขาจะได้ไม่ต้องอธิบายอีก คิดว่าคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ก็น่าจะได้ยินกันหมดแล้ว
ฉินอี๋ที่แอบได้ยินไม่แสดงสีหน้าใดๆ แต่กลับเม้มปากแน่น จ้องมองพวกเว่ยผิงกงที่กำลังหารือกันอยู่อย่างไม่ละสายตา ทำราวกับว่าไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
แต่ไป๋หลิงหลงกลับหันไปจ้องหลินยวนเขม็ง สายตาแฝงไว้ด้วยความเย็นชา
ลั่วเทียนเหอก็ชำเลืองมองหลินยวนนิ่งๆ เช่นกัน ด้วยความสัมพันธ์อย่างลับๆ ของฉินอี๋กับหลินยวนแล้ว การมาถึงของลู่หงเยียนย่อมไม่อาจรอดพ้นสายตาเขาไปได้
เขารู้เรื่องราวบางอย่าง รู้ว่าหลังจากที่ลู่หงเยียนมาที่นี่ก็พักอยู่กับหลินยวน เขาเองก็คอยดูอยู่เช่นกันว่าฉินอี๋จะจัดการอย่างไร
“…” หลัวคังอันหมดคำพูดอย่างสิ้นเชิง เป็นผู้หญิงคนนั้นจริงๆ ด้วย เขานึกสงสัยขึ้นมา ทำไมผู้หญิงของหมอนี่ถึงมีแต่คนสวยและรวยมากกันนะ ทั้งท่านประธานฉินอี๋ ทั้งลูกสาวหอการค้าอย่างลู่หงเยียน ส่วนผู้หญิงที่เขาหาได้กลับมีแต่คนที่คิดจะปอกลอกเงินเขา?
ของมูลค่าเป็นสิบล้าน นึกจะให้ก็ให้กันง่ายๆ คนเราบุญวาสนาไม่เท่ากัน จะไปว่าหลินยวนก็คงไม่ได้
เขาหันกลับไป มองไปทางเจียงอวี้ ไอเล็กน้อยแล้วเดินเข้าไปข้างๆ เจียงอวี้ หลังจากเข้าไปใกล้ก็พยายามกลั้นอาการไอไว้ เอ่ยถามว่า “เจียงซยง คุณก็กินยาแก้แล้วเหรอ?”
เจียงอวี้มองดูท่าทางทรมานของเขา เงียบไปเล็กน้อย รู้สึกอึดอัดอยู่ในใจ กระทั่งรองประธานหอการค้าก็ยังต้องทรมานอยู่เลย แต่เขากลับได้กินยาแก้พิษไปแล้ว จึงทำได้เพียงอธิบายว่า “ผบ.เว่ยให้ยาผมมากินเม็ดหนึ่งครับ”
หลัวคังอันถามต่อ “ได้ผลเหรอ?” เขาถามทั้งๆ ที่รู้คำตอบอยู่แล้ว รู้อยู่แก่ใจว่ามันเป็นอย่างไร การที่อีกฝ่ายยืนอยู่ตรงนี้โดยที่ไม่ไอ แสดงว่ายานั่นมีประสิทธิภาพดีมาก ไม่มีความจำเป็นต้องถามอะไรอีก แต่เขาทำใจยอมรับไม่ได้จริงๆ นี่นา
เจียงอวี้พยักหน้า “ยาได้ผลดีครับ น่าจะไม่เป็นอะไรแล้ว”
แม่งเอ้ย! ภายในใจของหลัวคังอันเหมือนมีสัตว์ประหลาดนับหมื่นกำลังวิ่งวุ่นอยู่ ฝุ่นควันคละคลุ้งเต็มไปหมด!
ความรู้สึกว้าวุ่นใจแบบนี้มันยากจะสงบลงได้ เมื่ออารมณ์ยิ่งถูกกระตุ้น อาการไอของเขาก็ยิ่งรุนแรง ทันใดนั้นเขาพลันกระอักเลือดสดๆ ออกมาดัง “พรวด” จากนั้นหอบหายใจแรงๆ ในที่สุดความรู้สึกทรมานนั้นก็บรรเทาลงตามเลือดที่พุ่งออกมา เพียงแต่ตรงมุมปากยังมีเลือดไหลหยดออกมา
เจียงอวี้รีบยื่นมือไปพยุงแขนข้างหนึ่งของเขาเอาไว้ เอ่ยถามอย่างร้อนใจ “รองประธานหลัว เป็นยังไงบ้างครับ?”
หลัวคังอันโบกมือพลางหายใจหอบ “ไม่ตายหรอก ในที่สุดก็ได้หายใจโล่งๆ เสียที ความรู้สึกนี้มันทรมานจริงๆ”
ภาพเหตุการณ์นี้ดึงดูดสายตาทุกคนที่อยู่ตรงนั้นให้หันมองมากันหมด
เว่ยผิงกงหันกลับไปจ้องมองท่าทางที่น่าสงสารของหลัวคังอัน สีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ทั้งยังจงใจยักคิ้วให้หลัวคังอันที่มองมาทางเขา คล้ายจะบอกว่าสมน้ำหน้า
สมควรที่จะถูกสมน้ำหน้า ขนาดหลัวคังอันยังสมน้ำหน้าตัวเองเลย จึงรีบหลบสายตาเขา ในใจรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก แต่เขาก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ทำไมแซ่เว่ยคนนี้ถึงใจดีขนาดนั้นได้ ยาราคาเป็นสิบล้าน บอกจะให้ก็จะให้เลยจริงๆ น่ะเหรอ?
ตนเองมองเขาผิดไปจริงๆ เรื่องนี้พูดไปแล้วก็อาย เขาไม่กล้าเอาไปพูดกับใคร
ฉินอี๋เห็นสภาพเขาเป็นแบบนั้นก็เอ่ยกับไป๋หลิงหลงทันที “ถามที่บ้านทีว่าส่งยาแก้พิษมาที่นี่ก่อนได้ไหม”
ไป๋หลิงหลงกล่าว “ถามแล้วค่ะ ทางบ้านบอกว่าประตูเมืองปิดไปแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าออกค่ะ”
ฉินอี๋มองไปทางลั่วเทียนเหอทันที ขณะที่เตรียมจะขอให้ลั่วเทียนเหอออกคำสั่งอนุโลมให้ หนานชีหรูอันที่อยู่ข้างๆ ก็ยกมือขึ้นห้าม “ในช่วงเวลานี้ การเดินทางส่งยาอาจจะไม่ปลอดภัยครับ ผมคิดว่ายาที่ทางตระกูลฉินมีอยู่น่าจะเอาไปให้ผู้บริหารระดับสูงของหอการค้าตระกูลฉินคนอื่นๆ ใช้รักษาอาการป่วยดีกว่าครับ เพื่อที่ทางผู้บริหารระดับสูงจะได้ไม่เกิดปัญหาวุ่นวายอะไร ตอนนี้สิ่งสำคัญคือต้องพยายามควบคุมสถานการณ์เอาไว้ ท่านประธานฉินอย่าเพิ่งใจร้อนเลยครับ”
หลังจากกล่อมฉินอี๋ให้ใจเย็นลง เขาก็ก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว เดินไปตรงหน้าอาจารย์หลาง ประสานมือพลางกล่าว “ผมหนานชีหรูอันแห่งตระกูลหนานชี คารวะอาจารย์หลางครับ”
อาจารย์หลางมองสำรวจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นร้องโอ้ขึ้นมา “หลานของหนานชีรื่อเยวี่ยรึเนี่ย ดูใช้ได้ทีเดียว หลายวันก่อนยังเห็นหนานชีรื่อเยวี่ยเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮองเฮาอยู่เลย”
หนานชีรื่อเยวี่ยเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลหนานชี และเป็นบรรพบุรุษที่ก่อร่างสร้างกิจการของตระกูลหนานชีขึ้นมากับมือ
หนานชีหรูอันกล่าวด้วยท่าทีเคารพ “เคยได้ยินว่าท่านปู่กับอาจารย์หลางสนิทสนมกันดี เหตุนี้ผู้น้อยจึงเข้ามาแสดงตัวคารวะ อาจารย์หลางครับ ผู้น้อยขอเรียนถามสักหน่อยครับ ไม่ทราบว่าอาจารย์หลางยังพอมียาแก้พิษอยู่หรือไม่ครับ ถ้าหากว่ามีอ ขอท่านอาจารย์หลางเห็นแก่หน้าท่านปู่ พอจะมอบยาให้ผู้น้อยได้หรือไม่ครับ? ผู้น้อยยินดีจ่ายตามราคาที่อาจารย์ต้องการครับ”
เขากำลังขอยาให้หลัวคังอัน หลัวคังอันเอาชนะการประมูลได้ นับว่าทำเงินก้อนใหญ่ให้แก่เขา ควรค่ากับการที่เขาเอ่ยปากร้องขอคนอื่นให้
“ราคาที่ต้องการ?” อาจารย์หลางลูบเคราพลางกล่าว “ฉันรู้ว่าตระกูลหนานชีของเธอร่ำรวย แต่ที่นี่มีคนอยู่กว่าสองหมื่นคน หากจะควักเงินจำนวนนี้ออกมา เกรงว่าตระกูลหนานชีของเธอคงจะจ่ายไม่ไหวหรอกมั้ง? อีกอย่างนะ ฉันเองก็ไม่ได้มียาแก้พิษจำนวนมากขนาดนั้นด้วย ถ้ามียาแก้พิษเพียงพอ ผบ.เว่ยกับท่านแม่ทัพเทพก็คงไม่จำเป็นต้องไปรบกวนฮองเฮาหรอกใช่ไหมล่ะ?”
หนานชีหรูอันกล่าว “เป็นที่ผู้น้อยบอกไม่ชัดเจนเอง ตอนนี้ผู้น้อยต้องการเพียงเม็ดเดียวครับ”
“หนึ่งเม็ด…” อาจารย์หลางอึ้งไปเล็กน้อย หลังจากเข้าใจก็หันกลับไปเรียก “อวี้เอ๋อร์ เอายามาให้คุณชายหนึ่งเม็ด”
“ค่ะ” เด็กสาวผู้ติดตามที่มีผิวขาวเนียนละเอียดรับคำเดินเข้ามา หยิบเอาน้ำเต้าขวดหนึ่งออกมา เปิดจุกขวด เทยาสีแดงอมม่วงออกมาหนึ่งเม็ด ส่งให้หนานชีหรูอัน พร้อมกล่าวด้วยเสียงใสฟังชัด “นี่ค่ะ คุณชาย”
ในขณะที่ถือขวดน้ำเต้าอยู่นั้น ได้ยินเสียงกุกกักๆ ดังมาจากในขวดน้ำเต้า ทุกคนได้ยินเสียงนั้นก็พอจะคาดเดาได้ว่าในนั้นยังมียาอยู่อีกหลายสิบเม็ด คนที่ความรู้ตื้นเขินก็ลอบจุ๊ปากแปลกใจ เกรงว่าสิ่งของที่เด็กสาวผู้ติดตามที่อยู่ข้างกายอาจารย์หลางคนนี้พกติดตัวไว้จะมีมูลค่าหลายร้อยล้านเลยทีเดียว สมแล้วที่เป็นคนของวังเซียน
หนานชีหรูอันรับยามาพลางกล่าวขอบคุณเด็กสาว แล้วก็กำลังจะหันไปกล่าวขอบคุณอาจารย์หลางด้วย แต่ใครจะรู้ว่าอาจารย์หลางกลับยกมือขึ้นพลางกล่าวว่า “เรื่องราคาอะไรนั่นไม่ต้องหรอก หนานชีรื่อเยวี่ยก็เคยส่งของดีๆ มาให้ฉันหลอมยาไม่น้อย ในเมื่อเธออ้างชื่อหนานชีรื่อเยวี่ยออกมาแล้ว ยาเซียนเม็ดนี้ก็ถือว่าเห็นแก่เขาแล้วกัน ฉันให้เธอเลย”
หนานชีหรูอันเองก็ไม่อิดออด โค้งคำนับพลางกล่าว “ขอบคุณท่านอาจารย์หลาง กลับไปผมจะรายงานเรื่องนี้ให้ท่านปู่ทราบครับ”
จะทำอะไรก็ต้องรู้ว่าอะไรควรไม่ควร นี่เป็นการบอกเป็นนัยๆ ว่าไม่ได้รับของไปฟรีๆ เดี๋ยวจะแจ้งให้ท่านปู่ทราบถึงน้ำใจจากอาจารย์หลางด้วย
หลังถอยกลับไปที่ข้างกายหลัวคังอัน หนานชีหรูอันก็มอบยาให้เขา “รองประธานหลัว รีบกินยาสิครับ”
“ขอบคุณครับ” หลัวคังอันกล่าวขอบคุณ หยิบยานั้นใส่ปากโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ครั้งนี้เขาไม่สงสัยแล้วว่ายานี้มีพิษหรือไม่
แต่การกระทำนี้ทำให้เว่ยผิงกงเลิกคิ้วขึ้นพร้อมยิ้มเย็นชาขึ้นมา การปฏิบัติที่เขามีต่อหลัวคังอันนั้นแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ
เมื่อกลืนยาลงไปแล้ว หลัวคังอันก็นับได้ว่าโล่งอกเสียที หันไปยิ้มหน้าบานใส่หนานชีหรูอัน “ได้ยินมานานแล้วว่าคุณชายหรูอันเป็นชายหนุ่มที่ยอดเยี่ยม มีน้ำจิตน้ำใจต่อคนรอบข้าง วันนี้ได้รู้แล้วว่าคำเล่าลือนั้นเป็นเรื่องจริง…” ประจบประแจงเสียยกใหญ่ กระทั่งเลือดที่มุมปากก็ยังไม่เช็ดก็รีบเข้าไปประจบก่อนแล้ว พอยิ้มออกมาเห็นฟันในปากมีแต่เลือดเต็มไปหมด น่าสยดสยองมาก
หนานชีหรูอันได้ฟังสิ่งที่เขาพูดก็อึ้งไปเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินว่าคนภายนอกพูดถึงตนเองแบบนี้ นี่คือเรื่องจริงหรือเปล่า? แต่จะถามเรื่องนี้ต่อหน้าทุกคนก็คงไม่ดี จึงครุ่นคิดว่าเดี๋ยวกลับไปแล้วคงต้องสืบดูเสียหน่อย
เขาไม่ได้ใกล้ชิดกับหลัวคังอันมากนัก เรียกได้ว่าไม่เคยได้พูดคุยกันอย่างจริงจังเลยดีกว่า เขาหลงนึกว่ารองประธานหอการค้าตระกูลฉินผู้นี้คงจะไม่ใช่คนพูดอะไรเหลวไหล ไหนเลยจะรู้ว่ารองประธานหลัวจะเป็นคนที่คิดจะพูดอะไรก็พูดออกมาแบบนี้
แต่ได้รับของราคาแพงขนาดนี้มาแล้ว มันก็ควรค่าแก่การที่หลัวคังอันจะชื่นชมเขาจริงๆ มุมมองที่หลัวคังอันมีต่อหนานชีหรูอันเองก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาไม่ค่อยชอบหน้าคุณชายผู้สูงศักดิ์คนนี้สักเท่าไร
สำหรับเขาแล้ว เอาของราคาแพงขนาดนี้มาจากคนอื่น พูดเลียแข้งเลียขาสักหน่อยไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไร
……………………………………………………….