ตอนที่ 261 เจ้านี่มันประสาทหรือเปล่า?
นี่ก็คือข้อเสียของการพูดมากเกินไป ถ้าหากไม่พูด เจ้าหมอนี่ก็ทำได้เพียงเดินทางตามไปอย่างเงียบๆ
หลินยวนไม่อธิบายอะไรแล้ว เอ่ยกับเยี่ยนอิงว่า “ไปกันเถอะ” กล่าวจบก็หมุนตัวเดินออกไป เยี่ยนอิงหันไปมองหลัวคังอันด้วยใบหน้าที่คล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้ม เดินตามออกไป
“….” หลัวคังอันมึนงง หันกลับไปมองดูผลดำขาวที่อยู่บนผนังหิน สุดท้ายได้แต่ต้องรีบเดินตามไปอย่างจนปัญญา
ทั้งสามคนออกมาจากวังเทพ บินขึ้นไปบนเชิงผาอีกครั้ง ในเมื่อหลินยวนเตรียมจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง เขาก็ย่อมต้องสำรวจดูภูมิประเทศที่อยู่รอบๆ อย่างละเอียด เพื่อที่จะได้จดจำตำแหน่งที่นี่ได้
ต่อให้สามารถมองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงที่อยู่ภายใต้วิชาภาพลวงตาของเยี่ยนอิงได้ แต่ในเวลานี้หลัวคังอันก็ไม่มีอารมณ์จะไปชื่นชมแล้ว เขากลับยืนถอนใจอยู่ข้างๆ ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วตัวเองไปทำเวรทำกรรมอะไรเอาไว้ ถึงได้พาตัวเองมาอยู่ในสถานที่ที่อันตรายแบบนี้ สิ่งที่น่ากลุ้มใจที่สุดคือทั้งๆ ที่รู้ว่าอาจจะมีอันตราย แต่ตนเองก็ยังจะเดินเข้าไป
เยี่ยนอิงอดเอ่ยหยอกล้อขึ้นมาไม่ได้ “เป็นผู้ชายอกสามศอก กลุ้มใจอะไรขนาดนั้น?”
หลัวคังอันอยากจะถามเธอ จะบุกไปที่ทะเลหนามที่สภาเซียนควบคุมอยู่ คุณไม่กังวลอะไรแม้แต่นิดเดียวเลยเหรอ? แต่พอคำพูดกำลังจะหลุดออกจากปากก็กลืนกลับลงไปใหม่ เปลี่ยนไปพูดว่า “มีคนจ่ายเงินพันล้านจะเอาชีวิตผม ต่อให้ในมือพวกเราไม่มีดวงตาแห่งความฝัน แต่ก็มีคนอีกเป็นกองที่จะฆ่าผมอยู่ดี คุณไม่โดนกับตัวก็ไม่รู้สึกอะไรหรอก”
เยี่ยนอิงกล่าวว่า “ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว อย่างนั้นก็ได้แต่ต้องเผชิญหน้ากับมัน”
หลัวคังอันอยากจะถามเธอนักว่ายังจะให้เผชิญหน้ายังไงอีก?
ตัวเขาคิดว่าหลังออกจากเมืองหมอกมาที่นี่ ตัวเองยอมรับความจริงได้แล้ว ยอมจำนนต่อชะตากรรมแล้ว แต่เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองไปทำอะไรให้ใครไม่พอใจ ทำไมถึงต้องพุ่งเป้ามาเล่นงานเขาอยู่ตลอดเลย
เขามองว่าในบรรดาคนสามคนที่อยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะฆ่าคนไหนก็มีค่ามากกว่าเขาทั้งนั้น ทำไมถึงต้องมาลงมือกับตัวเขาที่ไร้ค่าที่สุดด้วย?
แต่แน่นอน เขาเองก็รู้ดี ใครใช้ให้ตัวเองเป็นรองประธานของหอการค้าตระกูลฉินล่ะ ตัวการที่แท้จริงกลับแอบอยู่ด้านหลังตัวเอง ดังนั้นตัวเองถึงต้องกลายเป็นเป้าหลอกให้คนอื่นเล่นงาน
คิดๆ ไปก็อดสบถด่าออกมาไม่ได้ “ไม่รู้ว่าสารเลวตัวไหนมันจะเล่นงานฉันให้ได้เนี่ย”
หลินยวนหันกลับมาเอ่ยเสริมว่า “แกเองก็เป็นคนพูดเอง ระยะเวลาของเงินรางวัลคือก่อนที่คนงานในโรงงานสร้างข่ายพลังจะพิษกำเริบขึ้นมา นี่แสดงให้เห็นว่าคนที่ตั้งเงินรางวัลไม่ได้ทำไปเพื่อฆ่าแก แต่ทำไปเพื่อหยุดไม่ให้หอการค้าตระกูลฉินได้ดวงตาแห่งความฝัน ดูเหมือนการที่แกเข้ามาในดินแดนแห่งความฝันจะทำให้คนบางคนจับตาดูเป็นพิเศษแล้ว แล้วก็คิดว่าแกนั้นเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้หอการค้าตระกูลฉินได้ดวงตาแห่งความฝัน” เขาเผยสีหน้าครุ่นคิด กำลังคิดอยู่ว่าเป็นฝีมือใคร แต่คนที่น่าสงสัยนั้นมีจำนวนเยอะเกินไป เขาเองก็ไม่สามารถมั่นใจได้ว่าเป็นใคร ทำไมถึงพุ่งเป้ามาที่หลัวคังอัน?
หลัวคังอันถอนใจออกมา “ไม้งามในป่ามักจะถูกพายุโค่นลงมา!”
ตอนนี้หลินยวนเองก็วางเรื่องนี้เอาไว้ก่อน หันไปกล่าวกับเยี่ยนอิงว่า “ตอนนี้ควรไปหานางพญาหนอนแห่งความฝันได้แล้ว ควรจะหายังไงก็ขึ้นอยู่กับเธอแล้ว”
เยี่ยนอิงพยักหน้าเล็กน้อย ตวัดนิ้วไปบนพื้น ปล่อยพลังออกไปขีดเขียนอะไรบางอย่างลงบนพื้น เป็นแผนที่อย่างง่ายๆ ภาพหนึ่ง แล้วก็วาดจุดหกจุดลงบนแผนที่ ชี้พลางกล่าวว่า “นี่คือพื้นที่คร่าวๆ ของดินแดนแห่งความฝัน จุดหกจุดนี้คือพื้นที่ที่หนอนแห่งความฝันอาศัยอยู่ ตอนนี้พวกเราอยู่ตรงนี้” พลังที่ปล่อยออกไปจากนิ้วขีดเครื่องหมายกากบาทลงบนแผนที่ “ทางเข้าดินแดนแห่งความฝันน่าจะอยู่ตรงนี้” ทำเครื่องหมายกากบาทลงไปบนแผนที่อีกอันหนึ่ง ส่วนตำแหน่งของทะเลหนามที่สภาเซียนควบคุมอยู่อยู่ตรงนี้” กล่าวพลางทำเครื่องหมายกากบาทขึ้นมาอีกอันหนึ่ง
เมื่อเห็นเช่นนี้ หลัวคังอันก็ขยับเข้ามาดูเช่นกัน
หลินยวนจ้องมองดูแผนที่ที่วาดขึ้นมาอย่างง่ายๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาถามว่า “แล้วยังไงต่อ?”
เยี่ยนอิงกล่าว “ก็ต้องดูว่าท่านวางแผนไว้ว่ายังไง หากอยากจะไปที่ทะเลหนามหลังเสร็จเรื่อง อย่างนั้นเราก็ไปดูรังของหนอนแห่งความฝันที่อยู่ใกล้กับทะเลหนามที่สุด”
หลินยวนครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า “คนจำนวนมากที่เข้ามาในดินแดนแห่งความฝันน่าจะพุ่งเป้าไปที่ทะเลหนาม คนสองสามพันคนกระจายตัวอยู่ตรงไหนบ้างไม่รู้ เข้าใกล้ทะเลหนามเกินไปไม่ค่อยเหมาะเท่าไร จัดการไปทีละเรื่อง อย่าเอามาปนกัน เรื่องทะเลหนามเอาไว้ค่อยจัดการทีหลัง ต้องจัดการเรื่องนางพญาหนอนแห่งความฝันให้เรียบร้อยก่อน” กล่าวพลางชี้นิ้วออกไป “ตรงนี้ ไปตรงจุดที่อยู่ห่างจากทะเลหนามมากที่สุด มีโอกาสที่จะหลบคนได้มากที่สุด เธอคิดว่าไง?”
เยี่ยนอิงกล่าว “ฉันยังไงก็ได้ค่ะ แล้วแต่ท่าน ไกลที่สุดก็ไกลที่สุด แต่ฉันขอบอกเอาไว้ก่อนนะคะ ทั้งหกจุดนี้เป็นแค่รังของหนอนแห่งความฝันที่เมื่อก่อนหน้านี้ฉันรู้ แต่ตอนนี้พวกมันจะยังอยู่หรือเปล่า จะยังมีรังอยู่หรือเปล่า ฉันเองก็ไม่อาจมั่นใจได้ แต่ตามหลักแล้ว ตอนที่สภาเซียนตามหานางพญาหนอนแห่งความฝันในตอนนั้น พวกเขาน่าจะไม่ได้ฆ่าพวกหนอนแห่งความฝันจนบีบให้พวกมันต้องย้ายรังหนี”
หลินยวนกล่าว “อย่างนั้นก็ออกเดินทางกันเลย ไปดูตรงจุดที่อยู่ไกลที่สุดก่อน” กล่าวจบก็สะบัดมือทีหนึ่ง ลบแผนที่ที่วาดขึ้นมาอย่างง่ายๆ บนพื้นจนหมด จากนั้นหมุนตัวขึ้นรถไป
หลัวคังอันขึ้นรถไปอย่างเงียบๆ
เยี่ยนอิงกวาดตามองไปรอบๆ อีกครั้ง สำหรับที่พักที่เคยอาศัยอยู่เป็นเวลานานหลายปีแห่งนี้ จู่ๆ ก็มา จู่ๆ ก็ไป สีหน้าเธอเผยให้เห็นถึงความรู้สึกทอดถอนใจ ค่อยๆ เดินไปที่รถ สอดตัวขึ้นไปนั่งในที่นั่งข้างคนขับ
หลินยวนขับรถบินขึ้นไปบนฟ้า หลังจากเยี่ยนอิงชี้บอกทิศทาง ตัวรถก็ปรับทิศทางเล็กน้อย ก่อนจะบินตรงออกไปอย่างรวดเร็ว
ระหว่างทาง หลินยวนกับหลัวคังอันที่มองออกไปด้านนอกหน้าต่างอยู่เป็นระยะนับว่าได้รับรู้ถึงประโยชน์ของผลดำขาวแล้ว ในเวลานี้พวกเขาเห็นภูเขาเป็นภูเขา เห็นน้ำเป็นน้ำ
หลัวคังอันลอบรู้สึกทอดถอนใจขึ้นมา ที่เสียเวลาตามหาเทพแห่งความฝันในเมืองหมอกไปนั้นนับว่าคุ้มค่าแล้ว เทพแห่งความฝันเพียงคนเดียวได้ทำให้ความกังวลก่อนหน้านี้หายไปจนหมด
เหตุผลก็ง่ายมาก อันตรายที่น่ากลัวที่สุดในดินแดนแห่งความฝันนั้นมาจากภาพลวงตา ตอนนี้แก้ปัญหาในจุดนี้ได้แล้ว เท่ากับว่าอันตรายที่น่ากลัวที่สุดได้รับการคลี่คลายแล้ว อีกทั้งมีเทพแห่งความฝันที่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมของที่นี่คอยนำทางอีก เขารู้สึกได้ว่าน่าจะหานางพญาแห่งความฝันเจอได้ไม่ยากเย็นอะไร
เมื่อมองไปทางหลินยวนที่กำลังขับรถอยู่ ภายในใจก็ลอบบ่นขึ้นมา ถ้าเจ้านี่ไม่ไปที่ทะเลหนามก็คงจะดี
“ทางท่านประธานยังไม่ได้ให้ข้อมูลคนของตระกูลหนานชีที่จะเข้ามารับเหรอ?” จู่ๆ หลินยวนพลันเอ่ยถาม
หลัวคังอันได้ฟังก็รู้ว่ากำลังถามตน จึงเอ่ยตอบไปว่า “ยัง เห็นบอกว่ายังไม่ได้รับคำตอบจากตระกูลหนานชี ท่านประธานบอกว่าถ้ามีความคืบหน้าอะไรจะรีบบอกพวกเราทันที”
หลินยวนกล่าว “เกรงว่าตระกูลหนานชีคงจะพึ่งไม่ได้แล้ว”
ที่ว่ายังไม่ได้รับคำตอบนั้นก็มีความเป็นไปได้อยู่สองกรณี หนึ่งคือไม่ได้ส่งคนเข้ามาเลย สองคือไม่อยากให้ทางนี้รู้ว่าคนที่ตระกูลหนานชีส่งเข้ามาเป็นใคร
ความเป็นไปได้แรกนั้นมีโอกาสไม่มากเท่าไร หากไม่ได้เข้ามา เช่นนั้นก็แค่บอกว่าไม่ได้เข้ามาก็จบ
กลับเป็นความเป็นไปได้ที่สองที่มีโอกาสเป็นไปได้สูงมาก เรื่องที่ตระกูลหนานชีทำ จะให้คนอื่นรู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าตระกูลหนานชีมีส่วนเกี่ยวข้อง
หลัวคังอันบ่นพึมพำในใจ มีเทพแห่งความฝันแล้ว ยังต้องพึ่งตระกูลหนานชีในการตามหาดวงตาแห่งความฝันด้วยเหรอ ที่อยากจะติดต่อตระกูลหนานชีในตอนนี้เพราะคิดอยากจะไปทะเลหนามสินะ
ความคิดเขายังคงวนเวียนอยู่กับเรื่องนี้
หลินยวนพลันกล่าวว่า “แกให้ยันต์สื่อสารกับอดีตเพื่อนร่วมงานแกไปสิบใบใช่ไหม?”
“เอ่อ…” หลัวคังอันงุนงงเล็กน้อย ไม่รู้ทำไมจู่ๆ เขาถึงเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา จึงตอบกลับไปว่า “ใช่ ทำไมเหรอ?”
หลินยวนกล่าว “ติดต่อเขา บอกเขาว่าแกปลอดภัยดี”
หลัวคังอันสงสัย “ให้บอกเขาว่าฉันปลอดภัยดี? หมายความว่าไง?”
หลินยวนกล่าว “จะได้ดูว่ายันต์สื่อสารสิบใบนั้นยังอยู่ในมือเขาหรือเปล่า”
หลัวคังอันยิ่งรู้สึกไม่เข้าใจ “นายคิดจะทำอะไร?”
หลินยวนว่า “ให้แกทำอะไรก็ทำไป อย่าพูดมาก”
เยี่ยนอิงอดหันหน้ากลับไปมองไม่ได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตนยังใกล้ชิดกับอีกฝ่ายได้ไม่นานพอหรือเป็นเพราะอะไร ชั่วชีวิตของหลงซืออวี่ไม่ยินยอมถูกคนอื่นจูงจมูกใช้งาน ในสมัยราชวงศ์ก่อนไม่ยอมรับการแต่งตั้ง ราชวงศ์ก็ไม่ยอมรับการแต่งตัว ยอมหลบซ่อนตัวเป็นอาจารย์อยู่ในหลิงซาน แต่ทำไมศิษย์ของเขาคนนี้กลับถูกคนอื่นเรียกใช้ให้ทำโน่นทำนี่ เรียกได้ว่าต่างกันอย่างมากจริงๆ
แต่แน่นอน เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหลินยวนจะทำอะไร
หลัวคังอันยังจะทำอะไรได้อีก ได้แต่ต้องทำตามอย่างไม่ยินดีสักเท่าไร หยิบเอายันต์สื่อสารออกมาแผ่นหนึ่ง หลับตาลงแล้วถ่ายพลังลงไป ยันต์สื่อสารที่อยู่ในมือเริ่มสั่นไหวขึ้นมา
….
ณ ทะเลหนาม บนหน้าผาที่กองทัพของสภาเซียนตั้งฐานที่มั่นอยู่แห่งหนึ่งมีถ้ำอยู่ไม่น้อย ถ้ำเหล่านั้นถูกขุดขึ้นมาเพื่อให้เหล่าทหารได้ใช้พัก
ทหารทั่วๆ ไปจะถูกจัดเป็นกลุ่ม กลุ่มละสิบคน หนึ่งกลุ่มพักอยู่ในถ้ำหนึ่งแห่ง แต่สวัสดิการของผู้พิทักษ์เทพที่ทำหน้าที่ควบคุมเทพมหาวิญญาณนั้นไม่เหมือนกัน ผู้ควบคุมและผู้ช่วยจะได้พักอยู่ในถ้ำหนึ่งแห่ง
เหยาเซียนกงย่อมต้องเป็นคนที่ได้รับสวัสดิการเช่นนี้ จู่ๆ ตัวเขาที่กำลังนั่งขัดสมาธิบำเพ็ญเพียรพลันลืมตาขึ้นมา พลิกมือหยิบเอายันต์สื่อสารแผ่นหนึ่งที่กำลังสั่นไหวไม่หยุดออกมาจากในแหวนสารพัดนึก ใบหน้าเผยให้เห็นสีหน้าคร่ำเคร่ง แต่สุดท้ายก็ใช้พลังรับข้อความมา แล้วก็ใช้พลังตอบกลับไป
ยันต์สื่อสารสลายกายเป็นผุยผง โปรยปลิวไปในอากาศ กลายเป็นตัวหนังสือสองบรรทัด ‘ตอนนี้ปลอดภัยดี เอาไว้ค่อยเจอกันที่เมืองหลวง!’
ช่วยไม่ได้ หลัวคังอันไม่มียันต์สื่อสารที่เหยาเซียนกงลงอักขระเอาไว้ จึงได้แต่ต้องติดต่อกับยันต์สื่อสารของตัวเอง ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีความจำเป็นต้องเปลืองยันต์สื่อสารถึงสองแผ่นในการติดต่อเพียงครั้งเดียว แค่ส่งข้อความมาทางนี้ก็สามารถรับรู้ได้
ตัวหนังสือรวมตัวกันอยู่ในอากาศครู่หนึ่ง เมื่อพลังงานที่สะสมเอาไว้ในยันต์หมดไป ตัวหนังสือก็สลายหายไปทันที กลายเป็นผุยผงร่วงตกลงพื้น แต่ระยะเวลาที่มันจับตัวอยู่บนอากาศก็เพียงพอให้คนได้อ่านเนื้อหาข้อความนั้นจนจบ
เหยาเซียนกงมองดูเถ้าถ่านที่ร่วงตกอยู่บนพื้น เอ่ยพึมพำว่า “ไอนี่มันประสาทหรือเปล่า? เงินเหลือเยอะหรือไง ถึงเอามาเผาทิ้งเล่นแบบนี้”
ผู้ช่วยที่นั่งขัดสมาธิอยู่ฝั่งตรงข้ามเอ่ยถามว่า “ใครเหรอครับ?”
เหยาเซียนกงทำสีหน้าเหมือนยิ้มไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ก็คนที่ฉันเคยเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ไง คนที่เอาให้ยันต์สื่อสารให้ฉันน่ะ”
ส่วนยันต์สื่อสารที่อยู่ในมือหลัวคังอันที่นั่งอยู่บนรถตอนนี้ก็กลายเป็นผุยผงเช่นกัน ตัวหนังสือลอยปรากฎอยู่บนอากาศ ‘ปลอดภัยก็ดี รักษาตัวด้วย ไว้เจอกัน!
เขาเปิดหน้าต่าง โบกมือปัดตัวอักษรให้ออกไป ถูกสายลมที่อยู่ด้านนอกพัดสลายหายไป “น้องหลิน น่าจะยังอยู่ในมือเขา”
หลินยวนมองเห็นผ่านทางกระจกมองหลังแล้ว “อย่างน้อยก็ไม่ได้ลบอักขระของแกทิ้งไป ต่อให้ไม่ใช่เขา ยันต์ก็น่าจะยังอยู่ในมือของคนของสภาเซียน”
หลัวคังอันอดถามขึ้นมาไม่ได้ “นายคิดจะทำอะไรกันแน่?”
หลินยวนกล่าว “เดี๋ยวถึงเวลาแกก็จะรู้เอง
หลัวคังอันหันหน้าออกไปด้านนอกหน้าต่าง พบว่าคนผู้นี้น่ารำคาญจริงๆ ได้ คิดซะว่าเขาไม่เคยถามอะไรแล้วกัน
ส่วนเหยาเซียนกงที่อยู่ในถ้ำก็ถูกหลัวคังอันเล่นงานซะจนนั่งไม่ติดแล้ว เขาเดินออกมาจากถ้ำ บินลงไปยังด้านล่างหน้าผา เขาต้องเอาเรื่องนี้ไปรายงานผู้บังคับบัญชาของเขา เพื่อจะได้ไม่เกิดความเข้าใจผิดอะไร
ระหว่างทางได้พบหญิงวัยกลางคนหน้าตาดีที่สวมชุดสบายๆ คนหนึ่ง เหยาเซียนกงประสานมือเอ่ยว่า “คุณนายหลิว”
หญิงวัยกลางคนพยักหน้าพร้อมยิ้มเล็กน้อยแล้วเดินผ่านไป คนที่พบเจอเธอระหว่างทางพากันคารวะเธอ
การที่มีหญิงวัยกลางคนที่แต่งตัวสบายๆ เช่นนี้มาปรากฏตัวอยู่ในค่ายทหารนับไม่ว่าไม่ค่อยเหมาะจริงๆ แต่สถานะของเธอค่อนข้างมีความพิเศษ
ชื่อของเธอธรรมดาอย่างมาก ชื่อว่าติงหลาน แต่สามีของเธอนั้นไม่ธรรมดา เป็นเจ้าเมืองของเมืองเมืองหนึ่ง
สถานะอย่างเป็นทางการของเธอนั้นเป็นแค่ภรรยาของเจ้าเมือง ไม่ได้มีตำแหน่งอะไรอย่างอื่น แต่เธอเชี่ยวชาญวิชาภาพลวงตา กองทัพของสภาเซียนกำลังปฏิบัติภารกิจอยู่ในดินแดนแห่งความฝัน ต้องการคนมาให้ความร่วมมือทางด้านนี้ จึงได้เรียกเธอมาปฏิบัติภารกิจด้วย
เธอเองก็ช่วยสภาเซียนได้ไม่น้อยเช่นเดียวกัน สามารถลดจำนวนทหารที่บาดเจ็บล้มตายได้ ทำให้เหล่าทหารในกองทัพค่อนข้างให้ความเคารพเธอ
บนเนินเขามีศาลาที่ดูงดงามอยู่หลังหนึ่ง ติงหลานเดินเข้าไปด้านในศาลา ทอดตามองไกลออกไปอย่างเงียบๆ
สภาเซียนเรียกเธอมา นับว่าเรียกใช้งานถูกคนแล้ว เพราะเธอคุ้นเคยกับดินแดนแห่งความฝันเป็นอย่างดี
หลังรู้ว่าปากทางเข้าดินแดนแห่งความฝันเปิดออกและอนุญาตให้คนนอกเข้ามาได้ เธอก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
……………………………………………………………