ตอนที่ 282 คนโง่สามคน
นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย? คิดไม่ถึงว่าเธอจะกอดอยู่กับหลัวคังอัน ดูแล้วไม่ได้ฝืนใจด้วย นี่เป็นจุดที่ทำให้ใจสลายที่สุดเลย
ผู้หญิงที่พวกเขาไม่กล้าแตะต้องแม้แต่ปลายนิ้ว คิดไม่ถึงว่าจะถูกหลัวคังอันโอบกอดเอาไว้!
“แค่กำลังเต้นรำอยู่เท่านั้นเอง…” เกาผู่ฝืนใจเอ่ยออกมา
อินเย่าหมิงว่า “นายตาบอดเหรอ? เต้นรำจำเป็นต้องกอดกันแน่นขนาดนั้นเหรอ หัวไปซบบนไหล่แล้ว เพิ่งจะรู้จักกันได้เท่าไรเอง?”
เหยาเซียนกงขบกรามพลางกล่าว “หลัวคังอัน ไอ้เดรัจฉาน พวกเราใจดีปกป้องแก ให้แกอยู่ที่นี่ คิดไม่ถึงว่าแกจะมาตีท้ายครัวพวกเราแบบนี้!”
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ทั้งสามคนยากจะรับไหวจริงๆ คิดไม่ถึงว่าคนที่พวกเขาตามจีบมาตั้งเนิ่นนานก็ยังไม่มีท่าทีตอบสนองอะไร กลับมาโอบกอดอยู่กับหลัวคังอันทั้งที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานเท่าไรแบบนี้ ความยุติธรรมอยู่ที่ไหน? ทำไมฟ้าไม่ผ่าแซ่หลัวคนนั้นให้ตายไปซะ
ทั้งสามคนไม่เข้าใจจริงๆ หลัวคังอันกับหลิวซิงเอ๋อร์เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานเท่าไรเลย หลัวคังอันดีกว่าพวกเขาตรงไหน? ใช่ รองประธานหอการค้าตระกูลฉินรวยกว่าพวกเขา แต่หลิวซิงเอ๋อร์ใช่คนที่ขาดแคลนเงินเหรอ? ไม่มีทาง!
แม้ว่าเธอจะมีนิสัยที่เปิดกว้าง แต่แท้จริงแล้วก็เป็นผู้หญิงที่รักนวลสงวนตัวคนหนึ่ง มันเป็นไปได้อย่างไร? เป็นไปได้อย่างไรที่จะไปกอดกับผู้ชายง่ายๆ แบบนี้
ทั้งสามคนไม่อาจยอมรับความจริงนี้ได้
เกาผู่กล่าว “หลัวคังอัน ไอ้เดรัจฉาน คิดว่าพวกเราไม่รู้จักมันเหรอ? ไม่รู้ว่ามันไปพูดจาหว่านล้อมอะไรหลิวซิงเอ๋อร์ไปบ้าง”
เหยาเซียนกงกล่าว “สารเลว พวกเราเห็นแกเป็นพี่น้อง คิดไม่ถึงว่าแกจะมาแย่งผู้หญิงของเรา! กลับไปบอกพวกพี่น้องคนอื่นๆ เราจะอัดไอ้เลวนี่ให้ตาย”
อินเย่าหมิงถอนใจพลางกล่าว “ตั้งสติกันหน่อย มันจะเกินไปแล้ว เธอเป็นได้แค่ผู้หญิงของคนคนเดียว ไม่มีทางเป็นผู้หญิงของทุกคนได้ ใครแย่งไปได้ก่อนก็เป็นของคนนั้น จุดนี้ปฏิเสธไม่ได้หรอกนะ!”
เหยาเซียนกง “จะเป็นใครก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่มัน! แม่งเอ่ย ทำไมต้องเป็นหลัวคังอันด้วย? สองวัน มันเพิ่งมาที่นี่ได้สองวันเองนะ นายทนรับเรื่องนี้ได้เหรอ? ถ้ารับเรื่องนี้ได้ อย่างนั้นพวกเรายังนับเป็นอะไรล่ะ? แม้แต่ไอ้เดรัจฉานนี่ก็สู้มันไม่ได้? จะปล่อยให้มันแทงข้างหลังเราแบบนี้น่ะเหรอ?”
“ได้ อย่างนั้นนายไปเลย เชิญเลย นายไปพาเธอกลับมาเลย” อินเย่าหมิงหลบทาง โค้งตัว ผายมือ เชิญให้เขาเดินไป
“ฉัน…” เหยาเซียนกงก้าวไปข้างหน้าเหมือนคิดว่าฉันไม่กล้าเหรอ แต่สุดท้ายก็หยุดฝีเท้าไว้ คำพูดพูดลับหลังได้ อารมณ์ความรู้สึกสามารถระบายลับหลังได้ พวกเขาไม่ใช่เด็กสามขวบ พูดกันตามตรงแล้ว ดอกไม้งดงามไร้เจ้าของ ใครจะตามจีบก็ได้ ใครจะไปกำหนดได้ล่ะว่าดอกไม้ต้องเสียบไว้บนหัวใครเท่านั้น?
ทุกคนจีบไม่ติด แล้วทำไมหลัวคังอันถึงจะจีบไม่ได้ล่ะ? พูดไปแล้วมันไม่มีเหตุผลเลย
“เฮ้อ!” เกาผู่ถอนใจพลางกล่าว “ฉันเองก็แค้นใจจนอยากจะสับหลัวคังอันเหมือนกัน…เอ่อ ยังไงลองดูไปก่อนแล้วค่อยว่ากันแล้วกัน”
ดังนั้นทั้งสามคนจึงสุมหัวซุบซิบกัน แล้วรีบไปซ่อนตัว
ไม่นาน เสียงตะโกนของเหยาเซียนกงก็ดังขึ้นในหุบเขา “หลัวคังอัน นายอยู่ไหน?”
คนสองคนที่กำลังโอบกอดเต้นรำกันอย่างช้าๆ จนดูไม่คล้ายเต้นรำเท่าไรแล้วต่างตกตะลึง หลิวซิงเอ๋อร์ตกใจ รีบผลักหลัวคังอันออกแล้วจัดแจงเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว ก้าวเท้าเร็วๆ ไปที่หน้าอาหารที่กำลังปิ้งย่างด้วยใบหน้าที่แดงเรื่อ แสร้งทำเป็นพลิกกลับอาหารเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แม่งเอ้ย! หลัวคังอันเหลียวซ้ายแลขวา ก่นด่าอยู่ในใจ ใครมันมาขัดจังหวะวะเนี่ย?
คนอื่นคิดว่าสองคนคืบหน้าเร็วเกินไป แต่เขากลับรู้สึกว่าคืบหน้าช้าเกินไป ผู้ชายอย่างเขาแม้แต่น้ำตาก็หลั่งออกมาแล้ว แม้แต่ศักดิ์ศรีก็ยอมเสียแล้ว อยากจะใช้โอกาสนี้ตีเหล็กตอนที่ยังร้อนอยู่ เพราะเขามีเวลาไม่มาก อีกไม่นานก็ต้องไปแล้ว มาทำให้เขาเสียเรื่องตอนนี้ นี่ทำให้เขาอารมณ์เสียอย่างมาก
เขาคว้ามือถือมาปิดเพลง ตะโกนไปว่า “ใครน่ะ?”
คนสามคนโผล่ออกมาอย่างรวดเร็ว เป็นเหยาเซียนกง เกาผู่และอินเย่าหมิง ทั้งสามคนยิ้มเสแสร้งพลางกล่าว “อ้าว อยู่นี่นี่เอง”
“โอ้ ซิงเอ๋อร์ก็อยู่ด้วย” ทั้งสามคนแสร้งทำเหมือนเพิ่งเห็น
เรื่องบางเรื่องจะพูดออกไปตรงๆ มันก็ไม่ดี หรือจะให้บอกกับหลิวซิงเอ๋อร์ว่าเห็นเธอกอดอยู่กับหลัวคังอันล่ะ?
หลิวซิงเอ๋อร์คล้ายรู้สึกผิดอยู่ในใจ ลุกขึ้นยืนแล้วพยายามทักทายพวกเขาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หลัวคังอันกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “พวกนายมาได้ยังไงล่ะเนี่ย?”
เหยาเซียนกงว่า “พวกฉันไปหานายมา ว่าจะชวนไปดื่มเหล้า หลินยวนบอกว่านายออกมาทำปิ้งย่าง พวกฉันเลยมาตามหา มาหลบอะไรอยู่ตั้งไกลขนาดนี้เนี่ย”
หลัวคังอันพึมพำในใจ ก็ต้องหาที่ไกลๆ หน่อยสิวะ ถ้ามีคนมองอยู่จะกอดกันได้ยังไง ถ้าไม่ลดระยะความสัมพันธ์แล้วจะก้าวไปขั้นต่อไปได้เหรอ?
เกาผู่กล่าวเรียบๆ “ทำไม? มีของอร่อยแล้วจะแอบกินคนเดียว ไม่ชวนพี่ชวนน้องเลยว่างั้น?”
“ดูพูดเข้าสิ ฉันเป็นคนแบบนั้นหรือไง?” หลัวคังอันถอนใจ แล้วก็ไม่สะดวกจะพูดอะไร ทำได้เพียงผายมือเชิญทุกคนมาร่วมวงด้วย
พวกเขาไปล้อมกันอยู่หน้าเตาปิ้งย่าง ต่างคนต่างด่ากันอยู่ในใจ ทั้งสามคนด่าหลัวคังอันว่าเป็นเดรัจฉานไม่หยุด หลัวคังอันเองก็ด่าทั้งสามคนที่มาทำเสียเรื่อง
ระหว่างที่คุยเล่นกันหลิวซิงเอ๋อร์ยังคงร่าเริงอยู่ คล้ายว่าไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น ทั้งสามคนบ่นในใจ ผู้หญิงคนนี้เสแสร้งเก่งจริงๆ !
แต่ทั้งสามคนก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง หรือว่าจะเป็นแค่การเต้นรำจริงๆ อาจจะเป็นตนเองที่คิดมากไป?
แต่มีจุดหนึ่งที่พวกเขามั่นใจว่าตนเองไม่ได้คิดมากไปแน่นอน นั่นคือพวกเขารู้ดีว่าหลัวคังอันเป็นคนแบบไหน หลัวคังอันไม่ได้มีเจตนาที่ดีต่อหลิวซิงเอ๋อร์แน่นอน
ทั้งห้าคนกินดื่มพูดคุยสนุกสนานกันไปสักพัก หลิวซิงเอ๋อร์ก็รับโทรศัพท์ ติงหลานโทรมาถามว่าเธออยู่ไหน
ติงหลานเคยเตือนเธอแล้วว่าไม่ให้ติดต่อกับหลัวคังอันอีก จนปัญญาที่ลูกสาวโตแล้ว คำเตือนบางคำไม่มีประโยชน์ ไม่ว่าจะคิดเพื่อลูกสาวยังไง ลูกสาวก็ไม่แน่ว่าจะฟัง
หลิวซิงเอ๋อร์ไม่กล้าให้แม่รู้ว่าเธออยู่กับหลัวคังอัน จึงหาข้ออ้างเล็กน้อยแล้วขอตัวลาไป กลัวว่าแม่จะตามมาเห็น
ถ้าหาลูกสาวไม่เจอเธอจะต้องมาหาแน่นอน ติงหลานไม่ใช่คนโง่ จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าที่นี่มีคนจำนวนมากที่สนใจลูกสาวของเธออยู่
ผู้ชายสี่คนส่งยิ้มมองส่งเธอเดินจากไป หลิวซิงเอ๋อร์เหลือบมองดูหลัวคังอันเล็กน้อยก่อนจะเดินจากไป ในสายตานั้นแฝงไว้ด้วยความรู้สึกบางอย่าง ใจของเธอถูกคนบางคนเปิดแงะออกโดยไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว
กระทั่งหลิวซิงเอ๋อร์ไปแล้ว หลัวคังอันก็นั่งลงอีกครั้ง ยกแก้วเหล้าขึ้นมาพลางกล่าว “มา พวกเรามาดื่มกันต่อ” ผลคือพบว่าผิดปกติ บรรยากาศดูเหมือนจะเปลี่ยนไป พอมองซ้ายมองขวา เหยาเซียนกง เกาผู่และอินเย่าหมิงนั่งล้อมเขาไว้เป็นรูปสามเหลี่ยม บ้างก็มีสีหน้าไร้อารมณ์ บ้างก็ยิ้มเยาะ
“อะไรเนี่ย?” หลัวคังอันมึนงง
เหยาเซียนกงคว้าแขนเขาแล้วดึงเขาลุกขึ้น “พูดมา มาอยู่กับหลิวซิงเอ๋อร์ตามลำพังนี่มันหมายความว่ายังไง?”
หลัวคังอันรู้สึกขบขัน ที่แท้ก็หึงนี่เอง เขาสะบัดมือของอีกฝ่ายออก “อย่าโวยวายน่า เพิ่งจะรู้จักกันเอง เบื่อๆ ก็เลยมานั่งคุยกัน”
ชิ้ง! กระบี่หนึ่งเล่มปรากฏขึ้นมาทันที พาดอยู่บนคอของเขา
หลัวคังอันที่เพิ่งรู้สึกถึงความเย็นวาบตรงลำคอก็หดเกร็งหน้าท้องขึ้นมาอีก กระบี่อีกเล่มจ่ออยู่ที่เอวของเขา
หลัวคังอันตกใจ กล่าวว่า “พวกนายเป็นบ้าเหรอ? คิดจะทำอะไรเนี่ย?”
เหยาเซียนกงเหลียวซ้ายแลขวา พบว่าการชักกระบี่ออกมาตรงนี้มันสะดุดตาเกินไป ง่ายที่จะถูกพบเข้า จึงยื่นมือไปดึงที่คอเสื้อด้านหลังของหลัวคังอัน ลากเขาไปที่ใต้หน้าผา จากนั้นผลักเขากดลงไปบนผนังหิน เอากระบี่จ่อที่คอของเขา
กระบี่ในมือของอินเย่าหมิงจ่ออยู่ที่อกของเขา
เกาผู่เองก็หยิบกระบี่คบกริบเล่มหนึ่งออกมาเช่นกัน เล็งไปที่เป้ากางเกงของหลัวคังอัน
หลัวคังอันตกใจแยกขาออก ร้องอุทานออกมา “เฮ้ย อย่าทำอะไรบ้าๆ นะ ไม่ได้ตายด้วยกันในสนามรบ ยังจะมาฆ่าแกงกันเองนอกสนามรบอีกเหรอ?”
เกาผู่หัวเราะเยาะ “ไอ้ผมหยิก อย่าพยายามตีสนิทให้มันมากนัก ใจกล้าไม่เบาเลยนะ ถูกเตะออกจากหน่วยผู้พิทักษ์เทพแล้วยังกล้ามาทำอวดดีที่นี่อีก มีหลายหัวหรือไง แม้แต่ผู้หญิงของพวกเรายังกล้ามายุ่ง เบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้วเหรอ?”
หลัวคังอันยิ้มเจื่อนพลางกล่าว “นี่ ทำไมเธอถึงกลายเป็นผู้หญิงของพวกนายแล้วล่ะ พวกนายแต่ละคนเนี่ย ไม่อายกันบ้างหรือไง?”
“หุบปาก!” เหยาเซียนกงขยับกระบี่ที่จ่อคอเขาอยู่ “พูดมา มานัดพบกันตามลำพังที่นี่ นายไปพูดจาหว่านล้อมอะไรหลิวซิงเอ๋อร์?”
หลัวคังอัน “นัดพบบ้าอะไร ก็แค่มากินปิ้งย่างเท่านั้นเอง”
อินเย่าหมิงแกว่งปลายกระบี่จ่ออยู่ตรงหน้าอกของเขา “กินกับผีน่ะสิ คิดว่าพวกฉันตาบอด ไม่เห็นที่พวกนายกอดกันเหรอ?”
ไอ้เดรัจฉานสามคนนี้ ที่แท้ก็แอบดูอยู่อย่างนั้นเหรอ? หลัวคังอันด่าในใจ แต่ปากยังคงถอนใจพลางกล่าวไปว่า “พวกนายคิดไปไหนกันเนี่ย เต้นรำ ก็แค่เต้นรำด้วยกัน”
เกาผู่ “เต้นรำจะต้องกอดกันแน่นขนาดนั้นเหรอ? ฉันเห็นหัวเธอซบลงบนไหล่นายแล้ว”
หลัวคังอันขำ “โทษฉันได้เหรอ แบบนี้ก็แสดงว่าฉันมีเสน่ห์มากไง!”
“เดี๋ยวฉันจะทำให้นายมีเสน่ห์มากกว่านี้เอง!” เกาผู่หัวเราะเย็นชา กระบี่ที่อยู่ในมือตวัดขึ้นมาเล็กน้อย หลัวคังอันเกร็งก้น ยืนเขย่งปลายเท้าทันที “เห้ยๆๆ ฉันล้อเล่น ฉันกับเธอไม่ได้มีอะไรกันจริงๆ เธอบอกว่าเธออยากเต้นรำ ฉันก็เต้นเป็นเพื่อน ฉันไม่ได้คิดอะไรกับเธอเลยจริงๆ เธอเองก็ไม่มีทางชอบฉันหรอก”
“ยังไม่พูดความจริงอีก” เกาผู่จ้องที่เป้ากางเกงเขา “ดูท่าทางคงจะอยากเห็นเลือดสินะ”
หลัวคังอันร้องโวยวายออกมาทันที “ไอ้บ้านี่ พวกนายใช้สมองกันหน่อยได้ไหม เรื่องของฉันกับเสวี่ยหลานแพร่กระจายไปทั่ว เธอไม่ชอบฉันหรอก นอกเสียจากว่าสมองเธอจะมีปัญหา ผู้ชายบนโลกตายกันหมดแล้วหรือไง? ชื่อเสียงฉาวโฉ่อย่างฉันตอนนี้ เธอไปหาพวกนายสามคนยังดีกว่ามาหาฉันอีกมั้ง?”
ทันทีที่เอ่ยคำนี้ออกไป ทั้งสามคนก็หันหน้ามองกันไปมา คิดๆ ดูแล้วก็พบว่าจริงอย่างว่า มันเป็นแบบนั้นจริงๆ หลิวซิงเอ๋อร์คงไม่ถึงกับมองข้ามเรื่องสกปรกแบบนั้นไปหรอกมั้ง?
หลัวคังอันที่เขย่งปลายเท้าอยู่รีบฉวยโอกาสตีเหล็กตอนที่ยังร้อนทันที “อีกอย่างนะ ฉันจะไปคิดอะไรได้? ฉันจะมีชีวิตอยู่ได้นานแค่ไหนฉันเองก็ยังไม่รู้เลย เดี๋ยวฉันก็ต้องไปแล้ว แค่สองวันนี้เอง พวกนายว่าเวลาแค่นี้จะไปทำอะไรได้ล่ะ? พวกนายสมองกลวงกันหรือไง!”
“จะไปแล้ว?” ทั้งสามคนมึนงง เหยาเซียนกงลังเลพลางกล่าว “นายจะไม่อยู่ที่นี่ แต่ยังจะไปหาดวงตาแห่งความฝันเหรอ?”
หลัวคังอันกวาดตามองใบหน้าของทั้งสามคน กล่าวต่อว่า “ก็เธอซบไหล่ฉัน เธออยากจะซบ ฉันจะไปทำอะไรได้ ฉันก็อยากจะให้เธอชอบฉันนะ แต่เธอกลับขอยืมไหล่ฉัน พูดความรู้สึกที่มีต่อคนอื่น พวกเราเป็นพี่น้องกัน ฉันก็จะไม่ปิดบังพวกนายแล้วกัน เดิมทีฉันรับปากเธอไว้ว่าจะเก็บเป็นความลับ”
“พวกนายคิดจริงๆ เหรอว่าที่เธอมาที่นี่บ่อยๆ แค่เพราะจะมาเยี่ยมแม่เท่านั้น? พวกนายใช้สมองโง่ๆ ของพวกนายคิดหน่อยสิ ผู้หญิงที่อายุเท่านี้ มีคนไหนบ้างที่ไม่อยากมีความรัก? เจ้าพวกโง่ ฟังให้ดีนะ เธอชอบผู้ชายคนหนึ่งที่อยู่ที่นี่ ชอบเขาแล้วแต่ภายใจกลับไม่มั่นใจ เธอเห็นว่าฉันเป็นคนนอก ทั้งยังคุ้นเคยกับคนที่นี่ด้วย ก็เลยอยากจะมาสืบจากฉันว่าอีกฝ่ายเป็นคนแบบไหน แล้วก็อยากให้ฉันช่วยบอกความรู้สึกที่เธอมีต่ออีกฝ่าย!”
ทั้งสามคนเบิกตาโพลง เอ่ยขึ้นมาโดยพร้อมเพรียงกันทันที “ชอบใคร?”
หลัวคังอัน “ฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่าเธอชอบใคร ตอนที่เธอกำลังจะบอก ก็ถูกพวกโง่สามคนมาขัดจังหวะเสียก่อนไง แต่ถ้าพวกนายใช้สมองคิดดูหน่อยก็น่าจะพอมองอะไรออกบ้างนะ แบบว่าปกติแล้วเธอจะยิ้มให้ใครเป็นพิเศษ ลองสังเกตดูก็น่าจะมองออก”
อย่างไรเสียเขาก็มองออกแล้วว่าหลิวซิงเอ๋อร์เป็นคนนิสัยร่าเริง เจอใครทักทายก็ยิ้มแย้มให้หมด คิดว่ากับสามคนนี้ก็คงทำเช่นนั้นเหมือนกัน
เป็นอย่างที่คิดเอาไว้เลย พอพูดคำนี้ออกไป ในหัวของทั้งสามคนก็มีภาพขึ้นมา แล้วก็ดูตื่นเต้นขึ้นมาทันที
“แม่งเอ้ย ขอให้คนที่หลิวซิงเอ๋อร์ชอบไม่ใช่พวกนายสามคนเถอะ กล้าทำแบบนี้กับฉัน ใช้อาวุธด้วย อีกทั้งยังจะทำให้ฉันเสียเลือดอีก ถ้าหลิวซิงเอ๋อร์มาถามฉันอีก เดี๋ยวก็ทำให้เสียคะแนนซะเลยดีไหมเนี่ย!” หลัวคังอันกล่าวอย่างเกรี้ยวกราด
ฉึบ! กระบี่ที่วางพาดอยู่บนตัวเขาถูกเก็บอย่างรวดเร็ว ทั้งสามคนดึงเขาออกมา แต่ละคนโอบไหล่กอดคอ สถานการณ์เปลี่ยนไปในชั่วพริบตา
“เป็นพี่น้องกันมาตั้งหลายปี ล้อเล่นหรอกน่า ดูสิ โมโหจนหน้าบูดหน้าเบี้ยวไปเลย ต้องโมโหขนาดนี้เลยเหรอ?”
………………………………………………………………