ตอนที่ 730 น้องสามีและพี่สะใภ้ร่วมมือ
คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางยังคงรับประทานอาหารเย็นตามปกติ ก่อนตอบกลับหลินม่ายว่าฟางจั๋วเยวี่ยยังไม่ได้กลับมา
แต่เขาโทรบอกที่บ้านแล้วว่า ตนเองยังคงยุ่งอยู่กับงานในโรงงาน และจะกลับดึก
บอกให้ทุกคนกินข้าวเย็นกันก่อน ส่วนเขาหาอาหารกินจากนอกบ้านได้
หลินม่ายกะพริบตา รู้สึกคล้ายกับไม่เชื่อเล็กน้อย
ฟางจั๋วเยวี่ยชอบอาหารที่เธอทำมากที่สุด
ในอดีตตราบใดที่รู้ว่าเธอทำอาหาร เขาจะกลับบ้านไม่ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหน แต่คราวนี้เขาเลือกที่จะไม่กลับบ้าน
ผู้ชายคนนี้ทำงานหนักมาก จนแม้แต่อาหารอร่อยที่เธอทำก็ไม่สามารถดึงดูดใจเขาได้อีกต่อไป
หลังจากรับประทานอาหารแล้ว หลินม่ายเดินขึ้นไปชั้นบนเพื่อเข้าห้องของตัวเอง จากนั้นโทรศัพท์หาฟางจั๋วหราน
น่าเสียดายที่ทั้งสองคุยกันได้ไม่ถึง 10 นาที ฟางจั๋วหรานก็ถูกพยาบาลตัวน้อยเรียกตัวจากอีกด้านหนึ่งของสาย
หลินม่ายไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากวางสายโทรศัพท์ด้วยความขุ่นเคือง
ราวสองทุ่ม ฟางจั๋วเยวี่ยกลับมาถึงบ้านพร้อมรอยยิ้มประดับบนใบหน้า
หลินม่ายและปู่ฟางนั่งอยู่ด้านหน้าเตาผิง ขณะเพลิดเพลินกับรายการโทรทัศน์และจานผลไม้บนโต๊ะ
เห็นดังนี้ เธอก็กล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม “ดูนายสิ ทุกอย่างในโรงงานคงเป็นไปด้วยดีสินะ นายถึงได้กลับมาแบบหน้าชื่นตาบานขนาดนี้”
ฟางจั๋วเยวี่ยหัวเราะ “ก็พอได้อยู่ โรงงานผลิตเครื่องจักรผลิตถุงพลาสติกและเครื่องผลิตถ้วยชามสำเร็จรูปได้หลายร้อยเครื่องทุกเดือน ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่เดือน เราสามารถขายเครื่องจักรออกไปกว่าพันเครื่องแล้ว โดยมีกำไรสุทธิมากกว่าหนึ่งล้าน ผมคงคืนเงินที่ยืมจากพี่ได้ในวันพรุ่งนี้แล้วล่ะ”
เขายิ้มอย่างรู้สึกผิดให้คุณปู่ฟางและคุณย่าฟาง “ปู่ครับ ย่าครับ แล้วผมจะซื้อของขวัญมาให้ พร้อมมอบซองแดงสำหรับวันปีใหม่ปีนี้ด้วย”
คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง “ในที่สุดหลานก็ยืนหยัดได้ด้วยตัวเองแล้ว ปู่กับย่ากังวลแทบแย่ กลัวจริงๆ ว่าหลานจะอยู่อย่างไร้จุดหมายไปตลอดชีวิต”
ฟางจั๋วเยวี่ยยิ้มอย่างเขินอาย
แม้ว่าเขาจะมีความสามารถ แต่ก็เป็นชายหนุ่มที่เกียจคร้านและไม่มีความทะเยอทะยาน
หากเถาจืออวิ๋นไม่พูดเตือนสติว่าอาจไม่สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ เขาคงไม่มีความคิดที่จะทำงานหนัก
ปรากฏว่าเงินคือความมั่นคงของมนุษย์จริงๆ ด้วยเงินทองที่หามาได้ ปู่และย่าของเขาก็เริ่มมองเขาเปลี่ยนไป
ฟางจั๋วเยวี่ยจับแก้มโต้วโต้วและพูดอวดรวย “ตอนนี้อารวยแล้วนะ บอกอาสิว่าอยากได้อะไร อาจะซื้อให้หมดเลย”
หนูน้อยทำท่าคิดอย่างจริงจัง “หนูไม่ต้องการอะไร ถ้าคุณอาช่วยหนูซ่อมกล่องดนตรีได้คงจะดี กล่องดนตรีของหนูใกล้พังแล้ว”
หลังจากพูดจบ หนูน้อยเดินขึ้นไปยังชั้นบนเพื่อหยิบกล่องดนตรีจากในห้องมาให้ฟางจั๋วเยวี่ย
ขณะที่ฟางจั๋วเยวี่ยกำลังซ่อมกล่องดนตรี หลินม่ายพูดกับเขาว่า “ทั้งเครื่องผลิตถ้วยชามสำเร็จรูป และเครื่องผลิตถุงพลาสติกเป็นเครื่องจักรที่มีราคาต่ำมาก ซึ่งเลียนแบบง่ายและทำเงินได้เร็ว นายต้องวางแผนตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อเปลี่ยนโฉมโรงงานนะ”
ฟางจั๋วเยวี่ยตอบกลับขณะยังคงซ่อมกล่องดนตรี “มีบางคนเริ่มลอกเลียนแบบการผลิตเครื่องจักรทั้งสองแล้ว ผมว่าจะเปลี่ยนไปผลิตโทรทัศน์ พี่สะใภ้คิดว่าอย่างไรครับ?”
ทุกวันนี้ ไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านชนิดใดขายได้ดีไปกว่าโทรทัศน์
เมื่อสภาพความเป็นอยู่ของผู้คนดีขึ้น พวกเขาล้วนต้องการความบันเทิง
ดังนั้นหากผลิตและจำหน่ายเครื่องรับโทรทัศน์ ตราบใดที่มีคุณภาพดีพอ ย่อมสามารถทำเงินได้อย่างแน่นอน
หลินม่ายพยักหน้า “ดีเลย หลังจากผลิตโทรทัศน์แล้ว ค่อยผลิตของใช้ในบ้านต่อ อย่างเช่นตู้เย็น เครื่องซักผ้า เครื่องทำน้ำอุ่น”
ฟางจั๋วเยวี่ยชะงักมือและหันมาจ้องเธอด้วยความตกตะลึง “พี่กำหนดกรอบไว้ใหญ่เช่นนี้ ผมคงต้องทำมันให้ได้แล้วล่ะ”
หลินม่ายให้กำลังใจ “ตราบใดที่ทุกย่างก้าวอย่างมั่นคง นายจะสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้แน่”
ฟางจั๋วเยวี่ยก้มหน้าลงและซ่อมกล่องดนตรีต่อไป เขานิ่งเงียบครู่หนึ่งและพูดว่า “พี่สะใภ้ ทำไมเราไม่ร่วมมือกันล่ะ หากมีพี่เป็นแกนนำ ผมมั่นใจว่าจะบรรลุเป้าหมายที่พี่กำหนดไว้ให้ผมได้”
หลินม่ายมองเขา “ถ้านายต้องการให้ฉันลงทุนก็บอกตรงๆ สิ บอกฉันมาว่าอยากให้ฉันลงทุนเท่าไหร่?”
ฟางจั๋วเยวี่ยหัวเราะเล็กน้อย ก่อนส่งกล่องดนตรีที่ซ่อมเสร็จแล้วให้โต้วโต้ว
เขาคำนวณอยู่ในใจเงียบงันว่าหลินม่ายควรลงทุนเท่าไร
หลังจากคำนวณอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พูดด้วยความลำบากใจ “อย่างน้อยสามล้าน”
มันเป็นเงินจำนวนไม่น้อย หลินม่ายกล่าว “นายไม่ต้องคืนเงินห้าแสนที่ยืมไปหรอก นับมันเป็นเงินลงทุนของฉัน แล้วฉันจะลงทุนเพิ่มอีก 2.5 ล้าน ถ้าไม่เพียงพอก็มาบอกฉันได้”
ฟางจั๋วเยวี่ยพยักหน้ารับอย่างมีความสุข
หลังจากแก้ปัญหาเรื่องเงินทุนแล้ว ฟางจั๋วเยวี่ยเลือกชื่อสำหรับเครื่องโทรทัศน์ในอนาคต และชื่อที่เขาคิดคือเซวี่ยนซื่อ
แต่หลินม่ายยืนยันที่จะเปลี่ยนเป็นเซิ่งซื่อ
เพราะในอนาคตโรงงานผลิตเครื่องโทรทัศน์ของพวกเขาจะผลิตเครื่องใช้ในบ้านชนิดอื่นด้วย เช่น ตู้เย็นและเครื่องซักผ้า
หากเรียกมันว่าเซวี่ยนซื่อ โรงงานของพวกเขาจะดูเหมือนผลิตเฉพาะเครื่องโทรทัศน์เท่านั้น ทว่าชื่อเซิ่งซื่อนั้นไม่มีปัญหาดังกล่าว อีกทั้งยังเป็นชื่อที่มงคลและจำง่าย
เมื่อเห็นว่าหลินม่ายพูดอย่างชัดเจนและมีเหตุผล ฟางจั๋วเยวี่ยจึงพยักหน้าเห็นด้วย
ปู่ฟางและย่าฟางต่างบอกให้ฟางจั๋วเยวี่ยทำงานหนักในอาชีพการงานของตัวเอง และอย่าปล่อยให้เงินทุนของหลินม่ายสูญเปล่า ไม่อย่างนั้นเขาจะถูกฆ่า
ไม่นานก็เป็นเวลาสี่ทุ่ม หลินม่ายจึงไปอาบน้ำ
เมื่อเธออยู่ในเมืองหลวง ทุกคืนวันเสาร์และอาทิตย์เธอต้องการนอนอย่างสงบ แต่ฟางจั๋วหรานไม่ให้โอกาสเธอ
ตอนนี้เธอสามารถนอนหลับอย่างสบายใจ แต่กลับคิดถึงฟางจั๋วหรานที่เคยนอนอยู่เคียงข้าง
ไม่ใช่ว่าเธอต้องการร่วมหลับนอนกับเขา แต่เพียงนึกโลภในอ้อมกอดอันอบอุ่น
เธอนอนไม่หลับ
ฟางจั๋วหรานก็นอนไม่หลับเช่นกัน
ยามใดที่ไม่มีภรรยาตัวน้อยที่แสนอ่อนหวานและนุ่มนวลในอ้อมแขน เขามักรู้สึกว่างเปล่าในหัวใจเสมอ
เขานับนิ้วในความมืด วันที่ 1 กุมภาพันธ์ปีนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่าของจีน
อย่างน้อยอีกหนึ่งสัปดาห์ ภรรยาจะกลับปักกิ่งพร้อมกับปู่และย่าของเขา
คาดว่าอาจจะใช้เวลานานสุดถึงวันที่ 29 ของเดือนก่อนที่พวกเขาจะกลับบ้าน
ช่างยาวนานเหลือเกิน~
ฟางจั๋วหรานต้องการให้หลินม่ายและคนอื่นๆ กลับปักกิ่งโดยเร็วที่สุด ขณะที่หลินม่ายก็ต้องการกลับบ้านโดยเร็วเช่นกัน
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังรับประทานอาหารเช้า เธอออกไปที่ศาลากลาง
หากเธอสามารถรับเงินค่าโครงการที่โรงงานอุตสาหกรรมเบาค้างไว้ได้เร็วมากเท่าไหร่ เธอก็จะสามารถกลับเมืองหลวงได้เร็วเท่านั้น
เธอนั่งแท็กซี่ไปที่ประตูศาลากลาง ทันทีที่ก้าวลงจากรถ เธอได้ยินเสียงหนึ่งเรียกชื่อของเธออย่างตื่นเต้น
เธอหันกลับไปและพบว่าเป็นครูหวัง ครูในโรงเรียนมัธยมปีที่สามของเธอ ซึ่งทำให้เธอตื่นเต้นเช่นกัน
หลินม่ายทักทายครูหวังด้วยรอยยิ้ม “บังเอิญจังค่ะที่มาพบคุณครูที่นี่”
ครูหวังตอบกลับอย่างร่าเริง “ช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้? พ่อตาและแม่ยายของครูอาศัยอยู่ที่นี่ ครูเดินทางมาส่งเนื้อแกะให้พวกเขาในช่วงปีใหม่พอดี”
เขาถาม “แล้วเธอมาทำอะไรที่นี่? เธอมาหานายกเทศมนตรีเหรอ?”
“ใช่ค่ะ” หลินม่ายพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
ครูหวังตระหนักรู้ดีว่าตอนไหนควรรุกตอนไหนควรถอย เขาจึงไม่ถามว่าเธอต้องการคุยกับนายกเทศมนตรีเรื่องอะไร แต่เพียงถามว่าเธอจะอยู่เมืองเจียงเฉิงกี่วัน
หลินม่ายงุนงง “ประมาณหนึ่งสัปดาห์ค่ะ ทำไมคุณครูถึงถามแบบนี้ล่ะ?”
ครูหวังรู้สึกอายเล็กน้อยและพูดว่า “ครูไม่ได้มีอะไร แค่คิดว่าถ้าเธอกลับมาอยู่ที่เมืองเจียงเฉิงนาน ครูอยากให้เธอหาเวลาไปกล่าวสุนทรพจน์ที่โรงเรียนเพื่อให้กำลังใจรุ่นน้องได้ไหม?”
ในเมื่อครูประจำชั้นออกปากเชิญ หลินม่ายจึงพยักหน้าตกลง
เพราะกลัวว่าจะยุ่งกับงานจนลืมเรื่องนี้ เธอจึงนัดหมายกับครูหวังว่าจะไปกล่าวสุนทรพจน์ที่โรงเรียนเก่าหลังจากทำธุระในศาลากลางเสร็จแล้ว
ครูหวังตอบรับอย่างมีความสุข “งั้นครูจะไปรอเธอที่โรงเรียน” สิ้นเสียงเขาเดินจากไปทันที
ว่านถงกรุ๊ปของหลินม่ายเป็นผู้เสียภาษีรายใหญ่ที่สุดในเมืองเจียงเฉิง และเป็นที่รู้จักกันดีในกลุ่มผู้มีอำนาจ
เธอขอพบนายกเทศมนตรี แม้ไม่ได้นัดหมาย นายกเทศมนตรีก็ยินดีให้เธอเข้าพบ
หลินม่ายกำลังลงทะเบียนที่ประตู อดีตผอ.เขตโอวหยางซึ่งได้เลื่อนตำแหน่งเป็นกรรมการโอวหยางมาทำงานและบังเอิญเห็นเธอ
เขารีบขอให้คนขับรถหยุดรถ ก่อนเปิดกระจกยื่นศีรษะออกไปทักทายหลินม่าย “คุณไม่ได้เรียนอยู่ในเมืองหลวงหรอกเหรอ? หรือว่านี่กลับมาเนื่องจากวันหยุดฤดูหนาว?”
หลินม่ายตอบกลับเขาด้วยรอยยิ้ม
กรรมการโอวหยางถามอีกครั้ง “มีเรื่องอะไรหรือถึงได้มาศาลากลาง?”
หลินม่ายพยักหน้าอีกครั้งและบอกกล่าวจุดประสงค์ในการมาที่ศาลากลางโดยสังเขป
กรรมการโอวหยางขมวดคิ้วครุ่นคิดพักหนึ่งจึงพูดว่า “ก่อนจะไปหานายกเทศมนตรี คุณไปสำนักงานของผมก่อนสิ”
หลังจากที่หลินม่ายลงทะเบียนเสร็จ เธอจึงไปที่สำนักงานของเขา
กรรมการโอวหยางชงชาให้เธอพลางบอกหญิงสาวอย่างมีชั้นเชิงว่า นายกเทศมนตรีรู้อยู่แล้วว่าผู้อำนวยการหูโรงงานอุตสาหกรรมเบากำลังใช้เล่ห์เหลี่ยมและจงใจปฏิเสธจ่ายเงินโครงการของว่านถงกรุ๊ป
หลินม่ายถาม “แล้วนายกเทศมนตรีคิดอย่างไรคะ?”
กรรมการโอวหยางถือถ้วยชาพลางกล่าว “พูดถึงโรงงานอุตสาหกรรมเบาแล้ว มันช่างน่าสมเพชจริงๆ สวัสดิการไม่ดีมาหลายปี หอพักพนักงานสร้างขึ้นครั้งแรกในปี 2503 แต่ 20 ปีต่อมาหอพักพนักงานก็ยังสร้างไม่เสร็จ ลูกๆ ของครอบครัวคนงานอาวุโสหลายคนเติบโตจนจะแต่งงานแล้ว แต่พวกเขายังต้องลำบากตรากตรำเพราะไม่มีที่อยู่อาศัย ถ้าไปเยี่ยมหอพักเก่าของโรงงาน ก็จะรู้ว่ามีคนแก่และคนหนุ่มสาวจำนวนมาก ว่านถงกรุ๊ปของคุณร่ำรวย เงินโครงการ... เอ่อ… ถ้าคุณไม่ทวง มันคงจะช่วยเหลือผู้อำนวยการหูมาก”
หลินม่ายถามกลับ “ฉันรวยก็จริง แต่โรงงานอุตสาหกรรมเบายากจน นั่นคือเหตุผลว่าทำไมคุณถึงต้องการให้ฉันช่วยเหลือโรงงานใช่ไหม? โรงงานอุตสาหกรรมเบาได้เงินอุดหนุนจากรัฐบาล แล้วยังไม่สามารถจัดสรรปันส่วน เพราะผู้อำนวยการโรงงานไร้ความสามารถในการจัดการเองไม่ใช่หรือ? องค์กรเอกชนของเราต่างก็ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดด้วยตัวเอง ไม่มีเงินอุดหนุนจากรัฐบาลและไม่มีภาษีลดหย่อน แล้วทำไมรัฐบาลถึงพยายามข่มองค์กรเอกชนของเราอยู่ลับๆ ด้วย?”
กรรมการโอวหยางเห็นว่าหลินม่ายไม่ใช่หญิงสาวอ่อนหวานในอดีตอีกต่อไป แต่เป็นหญิงสาวที่กล้าหาญ
แม้เธอจะยังเด็กมาก แต่กลับมีบรรยากาศรอบตัวที่น่าเกรงขามและดูเหมือนหญิงสาวผู้แข็งแกร่ง อีกทั้งเธอยังกล่าวคำอย่างไร้ปรานีต่อหน้าเขา
เขารู้สึกไม่พอใจและตอบกลับด้วยสีหน้าเย็นชา “ผมทำสิ่งนี้ก็เพื่อประโยชน์ของคุณเอง อย่าไปฟังคำของคนอื่น! คนที่ทำสิ่งยิ่งใหญ่ต้องมีแบบแผน!”
หลินม่ายเยาะเย้ย “บังเอิญจริงๆ ฉันไม่ได้คิดจะทำอะไรใหญ่โต แค่อยากจะสนับสนุนพนักงานของตัวเอง ดังนั้นฉันจะไม่ยอมถูกเอาเปรียบแบบนี้ ฉันไม่ต้องการมัน”
เธอตะคอกเสียงเย็น “ถ้าคุณทำเพื่อฉันจริง คุณควรให้โรงงานอุตสาหกรรมเบาจ่ายเงินโครงการที่เป็นหนี้ให้ฉัน แทนที่จะบังคับฉันเลิกทวงเงินโครงการ”
จากนั้นเธอลุกขึ้นหันหลังเพื่อเดินจากไป จุดหมายอยู่ที่สำนักงานของนายกเทศมนตรีวัง
แต่เธอไม่เห็นว่ามีใครอยู่ในสำนักงานเลย ยกเว้นเพียงป้าแม่บ้านที่กำลังทำความสะอาดอยู่
หลินม่ายถามป้าแม่บ้าน “นายกเทศมนตรีวังอยู่ไหนคะ?”
ป้าแม่บ้านเงยหน้าขึ้นมองเธอ “นายกเทศมนตรีวังรีบออกไปหลังจากได้รับโทรศัพท์น่ะค่ะ”
หลินม่ายถามอีกครั้ง “นายกเทศมนตรีวังได้พูดอะไรทิ้งท้ายก่อนออกไปไหมคะ?”
ป้าแม่บ้านตอบด้วยรอยยิ้ม “ถึงนายกเทศมนตรีวังจะอยากบอก เขาก็ไม่บอกอะไรป้าหรอกค่ะ เขามักจะบอกเลขาเสมอ”
“แล้วเลขาของนายกเทศมนตรีวังอยู่ไหนคะ?”
“ออกไปพร้อมกับท่านนายกเทศมนตรี”
หลินม่ายไม่ได้ถามอะไรอีก
ตอนที่อยู่ด้านหน้าศาลากลาง เธอแสดงตัวตนและบอกว่าต้องการพบนายกเทศมนตรีวัง ยามได้โทรหานายกเทศมนตรีวังทันที ก่อนบอกว่าเขายินดีที่จะพบเธอ
แต่เวลานี้เขากลับพาเลขานุการหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เป็นไปได้ไหมว่ากรรมการโอวหยางจะบอกเขาว่าเธอมาที่นี่เพราะเรื่องอะไร
นายกเทศมนตรีวังไม่ต้องการช่วยเหลือเธอทวงเงินโครงการจากโรงงานอุตสาหกรรมเบา ดังนั้นเขาจึงรีบออกไปซ่อนตัวพร้อมกับเลขานุการ และขอให้กรรมการโอวหยางไล่เธอออกไป
ในเมื่อรัฐบาลไม่สามารถช่วยเหลือ เช่นนั้นคงต้องเปลี่ยนวิธีในการทวงคืนเงินของโครงการ
เธอจะทวงเงินโครงการคืนให้ได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
เธอต้องทวงคืนให้ได้ก่อนวันปีใหม่ เพื่อให้คนงานในบริษัทได้รับค่าจ้างและกลับบ้านไปหาครอบครัวในช่วงวันหยุด
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ปัญหาใหญ่แบบนี้จะปัดภาระให้ม่ายจื่อเหรอ?
ไหหม่า(海馬)