ตอนที่ 731 สุนทรพจน์ที่โรงเรียนเก่า
หลังจากออกจากศาลากลาง หลินม่ายก็เดินทางไปยังโรงเรียนมัธยมผู่จี้ที่เธอเคยเรียน
ด้วยความช่วยเหลือจากอาจารย์ใหญ่ อาจารย์หวังได้คัดเลือกนักเรียนทั้งหมดตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หนึ่ง ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่สามกลับเข้าโรงเรียน
ทันทีที่หลินม่ายมาถึง ครูใหญ่ก็รวบรวมนักเรียนทั้งหมดในโรงเรียนเพื่อฟังเธอกล่าวสุนทรพจน์
คำพูดตลอดยี่สิบนาทีของหลินม่ายมีเพียงประเด็นเดียวเท่านั้น
นั่นคือตั้งใจเรียนและรับใช้มาตุภูมิ
เธอพูดจาไพเราะและเร้าใจมาก หลังจากพูดจบ รุ่นน้องหลายคนต่างตื่นเต้นจนมือและหน้าแดง
กนะทั่งครูใหญ่ยังชมเชยที่เธอพูดจาได้ดี
หลังจากการกล่าวสุนทรพจน์ นักเรียนหลายคนก็มาล้อมหลินม่ายเพื่อขอลายเซ็นของเธอ
หลินม่ายเซ็นลายเซ็นให้เด็กนักเรียนมากกว่าหลายสิบคนก่อนจะขอตัวลากลับ เพราะยังมีหลายสิ่งที่เธอต้องจัดการ
ในเวลานี้ สมุดบันทึกเล่มหนาเต็มไปด้วยโน้ตภาษาอังกฤษถูกยืดออกตรงหน้าเธอ ยาวเหยียดจนน่าตกตะลึง
หลินม่ายคิดในใจ ‘ใครกันที่หยาบคายถึงขนาดนี้?’ แต่เมื่อมองไปก็พบว่าเป็นเหมยจวิน
เหมยจวินยิ้มให้เธอ “พี่หลินม่าย พี่บอกให้ผมเรียนภาษาอังกฤษอย่างหนัก และผมก็ทำตามที่คุณพูด ตอนนี้คะแนนภาษาอังกฤษของผมอยู่ในสิบห้าอันดับแรกของชั้นเรียน”
หลินม่ายกล่าวชมเขาก่อนจะเซ็นชื่อแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว เธอขึ้นแท็กซี่ไปตรวจสอบโรงงานที่เพิ่งสร้างใหม่
ไม่ว่าจะเป็นโรงงานอาหารหรือโรงงานเสื้อผ้า คนงานต่างก็ทำงานอย่างเป็นระเบียบ
ขนาดของโรงงานไม่เล็ก กว่าหลินม่ายจะตรวจสอบทุกอย่างในโรงงานเสร็จสิ้นก็เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว
เมื่อกริ่งเลิกงานดังขึ้น คนงานก็ถือกล่องอาหารกลางวันและเดินไปยังโรงอาหารเป็นกลุ่มพลางพูดคุยและหัวเราะ
ก่อนที่หลินม่ายจะไปยังเมืองหลวง เธอไม่มีเวลาจัดการงานในโรงอาหาร
เธอสงสัยว่าเจิ้งซวี่ตงจัดการอย่างไร จึงถามพนักงานสองคนจากแผนกบุคคลที่มากับเธอ
พนักงานสองคนบอกเธอว่า อาหารในโรงอาหารที่ขายให้พนักงานนั้นขายในราคาต้นทุน
อาหารราคาถูก ผู้คนจับต้องได้ ทั้งยังอร่อยอีกด้วย
หลินม่ายกลายเป็นจุดสนใจของทุกคนทันทีที่เขาเข้าไปในโรงอาหาร
คนงานบางคนโห่ร้อง “คุณหลินมาแล้ว! คุณหลินมาแล้ว!”
หลินม่ายยิ้มและพยักหน้าให้ทุกคน
พนักงานที่เข้ามาในโรงงานในภายหลังก็ต่างทักทายอย่างนอบน้อมเมื่อพวกเขาเห็นหลินม่าย
หลังจากทักทายหลินม่ายแล้ว เขาก็ถามว่าจะสร้างบ้านพักเมื่อใด
หลินม่ายมีเรื่องมากมายที่ต้องจัดการในทุกวัน ดังนั้นเธอจึงลืมเรื่องนี้ไป
แต่เธอไม่สามารถบอกความจริงกับพนักงานได้ เพราะคำตอบนั้นจะทำให้พวกเขาผิดหวัง
เธอยิ้มพลางกล่าว “ฉันกลับมาเจียงเฉิงครั้งนี้หลังจากวันหยุดฤดูหนาว เพียงเพื่อแก้ปัญหาสองสิ่ง หนึ่งคือการจัดการบีบบังคับให้โรงงานอุตสาหกรรมเบาคืนเงินที่เป็นหนี้เรา อีกสิ่งหนึ่งคือการดำเนินการจัดหาที่อยู่อาศัยให้กับทุกคน ผู้ที่อยากขอที่อยู่อาศัยให้ลงทะเบียนกับฝ่ายบุคคล และโปรดระบุให้ชัดเจนว่าต้องการหนึ่งห้องนอนหนึ่งห้องนั่งเล่น สองห้องนอนหนึ่งห้องนั่งเล่น หรือสามห้องนอนหนึ่งห้องนั่งเล่น ทุกคนมีเวลาสองวันในการลงทะเบียน และมีเวลาสองวันในการชำระเงิน ฉันจะใช้เวลาสองวันในการดำเนินการ และปีหน้าพวกคุณจะสามารถอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหม่ได้”
พนักงานต่างโห่ร้องด้วยความยินดี
หลินม่ายยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางกล่าว “รีบกินเถอะ เดี๋ยวจะเย็นเสียก่อน”
เมื่อเหล่าพนักงานเห็นว่าเธอต้องการซื้ออาหาร พวกเขาเหล่านั้นก็หลบทางให้เธอก่อน
หลินม่ายเดินไปยังหน้าต่างแล้วมองดูอาหารทุก ๆ ชนิดซึ่งราคาถูก เทียบได้กับโรงอาหารของมหาวิทยาลัยชิงหวา
แต่อาหารเหล่านี้ก็ไม่ใช่อาหารชั้นดีอะไรนัก เป็นเพียงหมูสามชั้นผัดแครอท
แม้หมูสามชั้นผัดแครอทจะมีราคาเพียงสามเหมาห้าเฟินซึ่งโดยพื้นฐานแล้วก็คือราคาทุน แต่น้อยคนนักที่จะสั่งมัน
ผู้คนในทศวรรษที่ 1980 มีความประหยัดมาก และพวกเขาลังเลที่จะรับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์ที่มีราคาสูง
หลินม่ายไม่กินหมูสามชั้น เธอสั่งยำมันฝรั่งเส้นกับเต้าหู้โฮมเมด
เมื่อรวมกับหัวไชเท้าดองที่มีบริการฟรีในโรงอาหาร และซื้อข้าวอีกหนึ่งจาน ราคาทั้งหมดก็ตกเพียงสามเหมาห้าเฟิน
ด้วยราคานี้ แม้คนงานจะรับประทานอาหารสามมื้อต่อวันในโรงอาหารของพนักงาน ก็มีราคารวมเพียงไม่กี่หยวนเท่านั้น
ในปี 1983 ค่าจ้างในเจียงเฉิงโดยทั่วไปเพิ่มขึ้นเป็นห้าสิบหรือหกสิบหยวน
ว่านถงกรุ๊ปมีสวัสดิการที่ดีและค่าจ้างสูงกว่ารัฐวิสาหกิจมาก
แม้แต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและเจ้าหน้าที่ทำความสะอาดก็ยังมีเงินเดือนอย่างน้อยหกสิบหรือเจ็ดสิบหยวนต่อเดือน
ดังนั้นพนักงานออฟฟิศที่มีเงินเดือนและโบนัสตามผลงานจะต้องมีเงินเดือนอย่างน้อยเจ็ดสิบถึงแปดสิบหยวน
เมื่อจ่ายค่าอาหารทั้งเดือนเพียงสามสิบหยวนก็ไม่ถือว่าแพง
หลินม่ายเดินไปยังโต๊ะอาหารเล็ก ๆ แล้วกินอาหาร รสชาติถือว่าไม่เลว เหมือนกับรสชาติอาหารที่ร้านอาหารของโรงแรมรัฐวิสาหกิจเล็กๆ
ดูเหมือนว่าเจิ้งซวี่ตงจะเลือกพ่อครัวมาได้เป็นอย่างดี
เกาเหยียนจงมาพร้อมกับอาหารและนั่งลงตรงข้ามกับหลินม่าย
หลินม่ายเงยหน้าขึ้นมองเขา “คุณยังสบายดีใช่ไหม? นึกว่าความหนาวจะกัดเซาะทุกส่วนของร่างกายคุณซะแล้ว”
เขาถูกผู้คนในโรงงานอุตสาหกรรมเบาเล่นงานเมื่อวานนี้ แต่เกาเหยียนจงสั่งให้พนักงานคนอื่นไปยังโรงพยาบาลโดยที่ตัวเขาเองไม่ได้ไปด้วย และตัวเขาเองก็ไม่คิดจะจากไปไหนจนหลินม่ายสั่งให้ทุกคนเดินทางกลับ
หลินม่ายค่อนข้างกังวลว่าเขาจะทนทุกข์ทรมานจากการถูกแช่แข็งเป็นเวลานาน
เกาเหยียนจงทำทีเป็นแข็งแกร่ง “คนแข็งแรงอย่างผมไม่มีทางหนาวจนป่วยหรอกครับ!”
เขาเคี้ยวหมูสามชั้นพลางกล่าว “ผมเพิ่งกลับจากสถานีตำรวจ ไปที่นั่นก็เพื่อเรียกร้องค่ารักษาพยาบาล”
“แล้วตำรวจว่าอย่างไรบ้าง?”
“ทางสถานีตำรวจบอกว่าให้ผมส่งใบเสร็จค่ารักษาพยาบาลให้กับพวกเขา และจะชดเชยค่ารักษาพยาบาลให้เราภายในสามวัน”
หลินม่ายเข้าใจว่าตำรวจจะรีบจัดการเรื่องนี้โดยเร็วเพื่อเอาใจเธอ
เธอถามกลับ “ค่ารักษาพยาบาลประมาณเท่าไหร่?”
เกาเหยียนจงตอบ “ยี่สิบถึงสามสิบหยวนต่อคน ไม่ว่าพวกเขาจะอาการหนักหรือเบาก็ตาม แต่ตอนนี้ผมได้สั่งให้พวกเขาทั้งหมดไปทำการรักษาตัวเป็นเวลาเจ็ดวัน รวมถึงกินยาเพื่อบรรเทาอาการด้วย ยาแผนจีนเพียงอย่างเดียวมีราคาประมาณสิบหยวนต่อคน ส่วนคนที่เป็นไข้ต้องได้ฉีดยา และค่าใช้จ่ายทั้งหมดนี้รวมกันแล้วประมาณสองหรือสามร้อยหยวน แม้จะไม่ได้แพงมาก แต่ค่าจ้างที่พวกเขาได้รับก็แทบจะไม่สามารถจ่ายได้ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับกลุ่มคนที่ยิงปืนฉีดน้ำใส่เราจะหามาจ่ายได้
หลินม่ายตะคอก “คุณคิดจริงเหรอว่ากลุ่มคนที่ยิงปืนฉีดน้ำใส่คุณสมควรชดเชยเงินจำนวนนั้น?! ไม่ใช่ว่าพวกเขากำลังยิงปืนฉีดน้ำใส่คุณเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวเสียหน่อย พวกเขายิงปืนฉีดน้ำใส่คุณเพื่อประโยชน์ของพนักงานทุกคนในโรงงาน ดังนั้นทางโรงงานต้องจ่าย”
เกาเหยียนจงพึมพำ “ไม่สำคัญว่าใครจ่ายค่ารักษาพยาบาล ตราบใดที่มีคนจ่ายก็เพียงพอแล้ว”
เขาเอ่ยถามขึ้นทันใด “ประธานหลินไปหาผู้นำในตอนเช้า มีความคืบหน้าอะไรไหมครับ?”
หลินม่ายส่ายหัว “ไม่มีความคืบหน้า”
จากนั้นเธอก็บอกเกาเหยียนจงทุกอย่างเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในที่ว่าการเทศมนตรีเมือง
เกาเหยียนจงพูดด้วยความโกรธ “ทำไมเทศมนตรีเมืองถึงปกป้องโรงงานอุตสาหกรรมเบามากขนาดนี้? แม้พวกเขาจะเป็นหน่วยงานของรัฐก็ไม่สมควรปฏิบัติต่อโรงงานเอกชนของเราเช่นนี้ ไม่ควรห้ามปรามเราในการขอคืนเงินโครงการ”
หลินม่ายกินอาหารพลางกล่าว “แน่นอนว่าพวกเขาไม่ต้องการให้เราขอเงินโครงการคืน เพราะโรงงานของพวกเขาไม่อาจจ่ายค่าจ้างพนักงานได้ ผู้อำนวยการโรงงานหูขอการสนับสนุนค่าจ้างจากรัฐบาลทุกเดือน ไม่อย่างนั้นคนงานในโรงงานของเขาก็คงไม่อาจยืนหยัดอยู่ได้ และโรงงานของเขาก็คงล่มสลายไปนานแล้ว ในเมื่อโรงงานไม่มีแม้แต่เงินจะจ่ายค่าจ้างให้กับพนักงาน แล้วจะจ่ายคืนค่าโครงการให้กับเราได้อย่างไร? หากจะต้องจ่ายคืนให้กับโครงการของเรา ผู้อำนวยการโรงงานหูก็ทำได้เพียงขอเงินจากรัฐบาลอีกครั้งเท่านั้น งบประมาณเมืองกำลังขาดแคลน และเทศกาลปีใหม่ก็ใกล้เข้ามาแล้ว มีสถานที่มากมายให้ใช้เงิน แน่นอนว่าพวกเขาไม่ยอมใช้เงินที่มีเพื่อจ่ายคืนค่าโครงการให้กับเราอย่างแน่นอน มีแต่จะขอให้เราล้มเลิกการทวงคืน!”
เกาเหยียนจงถามอย่างเป็นกังวล “แสดงว่าเราจะไม่ได้เงินโครงการคืนแล้วใช่ไหมครับ?”
หลินม่ายเงยหน้าขึ้นกล่าว “คุณเฉินไม่อาจรับปากได้ว่าโรงงานอุตสาหกรรมเบาจะชำระคืนค่าโครงการให้เราได้หรือไม่ แต่เขารับประกันว่าว่านถงกรุ๊ปจะไม่ขาดทุน คุณไม่ได้ถามเขาเหรอว่าเขาจะทำอะไรเพื่อรักษาผลประโยชน์ของเรา?”
ทันทีที่คำถามนี้ปรากฏขึ้น เกาเหยียนจงก็รู้สึกเศร้าใจ “แม้ผมจะไม่ได้ถามพี่เฟิง แต่พี่เฟิงก็ได้ให้คำอธิบายที่ชัดเจนแก่ผมก่อนที่จะจากไป หากผู้อำนวยการหูไม่จ่ายคืนโครงการ พวกเขาจะขายบ้านและจำนองค่าธรรมเนียมโครงการ น่าเสียดาย… ที่ผมใจอ่อนจนยอมให้พนักงานในโรงงานอุตสาหกรรมเบาเข้ามาอยู่อย่างง่ายดาย”
หลินม่ายพูดไม่ออก เพราะว่านถงกรุ๊ปผิดเองที่เลือกไว้ใจเกาเหยียนจง
เธอโบกมือ “ถือซะว่าเป็นความผิดของฉันเอง ไม่มีประโยชน์ที่คุณจะเสียใจ แต่ในอนาคตคุณจะใจอ่อนไม่ได้”
เกาเหยียนจงพยักหน้าด้วยความลำบากใจและกล่าว “ผู้มีอำนาจระดับสูงไม่ต้องการให้เราขอเงินก่อสร้าง และเราไม่สามารถขับไล่สมาชิกในครอบครัวของคนงานที่ย้ายเข้าบ้านหลังใหม่ได้ แต่ก็ยังถือเป็นเรื่องดีที่พนักงานบางส่วนมายังโรงงานอุตสาหกรรมเบาในทุกวันเพื่อทำการประท้วง พวกเขาบังคับให้ผู้อำนวยการหูปรากฏตัวและจ่ายเงินคืนให้กับเรา”
หลินม่ายส่ายศีรษะ “การกระทำแบบนี้ไร้ประโยชน์โรงงานอุตสาหกรรมเบากำลังจะปิดตัวลง ต่อให้มีผู้คนมากมายมายืนขวางประตูเพื่อประท้วง พวกเขาก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก”
เกาเหยียนจงรู้สึกรำคาญใจจนไม่อยากกินอาหาร
หลินม่ายยังคงตักอาหารเข้าปากพลางกล่าว “แม้การส่งคนเหล่านั้นไปประท้วงหน้าประตูโรงงานอุตสาหกรรมเบานั้นไร้ประโยชน์ แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย แต่ฉันคิดว่าคงจะดีกว่านี้หากส่งคนเหล่านั้นไปยังบ้านของเจ้าของโรงงานหู และทำให้ภรรยาและลูก ๆ ของเขาบ้าคลั่ง บางทีเขาอาจจะปรากฏตัว”
เกาเหยียนจงไม่แม้แต่จะกินอาหาร “ผมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” เขาจากไปทันทีที่กล่าวจบ
หลินม่ายหยุดเขา “อย่ารีบร้อน กินอาหารของคุณก่อนแล้วค่อยไป”
เมื่อเกาเหยียนจงได้ยินดังนั้นก็ตักอาหารเข้าปาก
เจิ้งซวี่ตงมาที่โรงอาหารเพื่อรับประทานอาหารหลังเลิกงาน และเห็นหลินม่ายกำลังคุยกับเกาเหยียนจง
เขาเข้ามาและถามด้วยรอยยิ้ม “คุยอะไรกันอยู่เหรอครับ?”
หลินม่ายตอบกลับ “คุณมาทันเวลาพอดี ฉันมีเรื่องจะบอก”
เจิ้งซวี่ตงนั่งลงขวามือของเธอและถาม “คุณหลินมีคำสั่งอะไรหรือเปล่าครับ?”
หลินม่ายชำเลืองมองพนักงาน “เราควรให้สวัสดิการอาหารกลางวันฟรีสำหรับพนักงาน”
เกาเหยียนจงและเจิ้งซวี่ตงต่างก็ตกตะลึง
เจิ้งซวี่ตงกล่าว “แต่ตอนนี้โรงงานของเรามีคนงานประมาณสองถึงสามพันคนเลยนะครับ ต่อให้เรามอบสวัสดิการอาหารฟรีให้พวกเขาเพียงมื้อเดียว เราก็ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นมากกว่าสามร้อยหยวนต่อวัน เกือบหนึ่งหมื่นหยวนต่อเดือน และหนึ่งแสนสองหมื่นหยวนต่อปี ซึ่งไม่ใช่เงินจำนวนเล็กน้อย ผมคิดว่าการขายอาหารให้พนักงานในราคาถูกก็ดีอยู่แล้ว ขายในราคาต้นทุน ไม่จำเป็นต้องให้เป็นสวัสดิการแก่พวกเขา”
หลินม่ายยืนกรานในความคิดเห็นของตัวเอง “พนักงานระดับแนวหน้าทำงานหนักที่สุด และพวกเขาทำงานล่วงเวลาเป็นระยะ พวกเขาสร้างคุณค่าให้กับบริษัท แต่กลับไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะได้รับอาหารกรีอย่างงั้นเหรอ? คุณอย่าเห็นเงินเป็นสำคัญสิ ควรให้พนักงานแนวหน้ากินดีอยู่ดีโดยไม่ต้องเสียเงิน เพื่อพวกเขาจะได้ทำงานได้ดีขึ้น มูลค่าที่เขาจะสร้างให้กับบริษัทนั้นย่อมสูงกว่ามูลค่าของอาหารที่บริษัทจ่ายให้”
หลินม่ายกำหนดเงื่อนไขว่าอาหารเช้าที่จะให้เป็นสวัสดิการแก่พนักงานแนวหน้าจะต้องประกอบด้วยขนมปัง เนื้อ และนมถั่วเหลือง
สวนอาหารเที่ยงของแต่ละคนจะต้องมีส่วนผสมของเนื้อและไข่ไก่
เจิ้งซวี่ตงจดบันทึกคำสั่งอย่างตั้งใจ
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เป็นปัญหาที่ชวนปวดหัวจริงๆ ขอให้หาทางลงได้ลงตัวที่สุดนะ
ไหหม่า(海馬)