[ภาคที่ 1] ตอนที่ 1 เซ่อเจิ้งหวาง เป็นพวกขี้โรคกระนั้นหรือ
อ๊าว อู้ววว
เสียงหอนของสุนัขพลันแผดก้องขึ้นเหนือทะเลสาบ ประหนึ่งว่าตัวเองเป็นหมาป่าผู้องอาจ
ครั้นมองไป เห็นเป็นสุนัขไซบีเรียนฮัสกี้ขนทองตัวหนึ่งกำลังกระโดดเห่าหอน
เสียงน้ำสาดกระเซ็นจากการตะเกียกตะกาย ทำเอาฝูงนกกระสา นกนางนวลขวัญกระเจิง
นี่เป็นเหตุการณ์ของเฟิงอู๋โยวที่กำลังจูงเชือกคล้องสุนัขอยู่ข้างทะเลสาบ ร่วงตกลงไปในทะเลสาบอย่างกะทันหัน
“เจ้าทึ่ม ยังไม่รีบช่วยเพื่อนซี้ของแกขึ้นฝั่งอีก!”
เฟิงอู๋โยวสำลักน้ำเย็นเข้าไปหลายอึก น้ำเย็นเฉียบแผ่ซ่านไปทั่วแผ่นอก มีโอกาสสำลักน้ำตายได้ทุกเมื่อ
ทว่าเจ้าไซบีเรียนฮัสกี้ของนางได้แต่มองเฟิงอู๋โยวในสภาพตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำ ก่อนสะบัดหน้าหนีและหันไปมองแม่สุนัขขาวนวลที่อยู่นอกฝั่ง จากนั้นก็เดินลอยชายจากไป
เฟิงอู๋โยวโมโหถึงขีดสุด คำด่านับไม่ถ้วนยังไม่ทันเปล่งออกมาก็กลอกตาพร้อมข่มกลั้นความโมโหเอาไว้
ตู้ม
ตู้มต้าม ตู้มต้าม
ดอกไม้ไฟแตกปะทุทั่วท้องฟ้า ช่างเหมือนชีวิตของเฟิงอู๋โยวเสียจริง
งดงามชั่วประเดี๋ยว
มุมปากเฟิงอู๋โยวพลันยกขึ้นเล็กน้อย สีหน้าดูสงบ
นางพูดขึ้นในใจ ดูเหมือนว่าประกายแสงของดอกไม้ไฟทั่วท้องฟ้านี้จะเป็นการเฉลิมฉลองการจากไปก่อนวัยอันควรของนาง
ไม่แปลก ในฐานะหนึ่งในสี่หัวหน้าใหญ่แห่งคณะทหารรับจ้างอย่างนาง มักกลายเป็นตะปูในตาหนามในเนื้อ[1]ของคนนับไม่ถ้วน
ตู้ม
ตู้ม ตู้ม ตู้ม
ระหว่างนั้น เสียงปะทุของดอกไม้ไฟแปรเปลี่ยนเป็นเสียงปืนใหญ่สดุดีกึ่งก้อง
เฟิงอู๋โยวเบิกตามองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง
“หรือว่าราชานรกกลัวว่าข้าจะทำลายวิหารราชานรก เขาจึงส่งพวกอันธพาลหางแถวและพลุฉฉลองมาต้อนรับข้า”
ขณะที่เฟิงอู๋โยวยังไม่รู้ว่าตัวเองตายไปแล้วอยู่ๆ ก็ถูกมือเย็นเยียบข้างหนึ่งพุ่งเข้ามาคว้าท้ายทอยทันที
เพียงพริบตา นางถูกแรงมวลหนึ่งลากขึ้นมาเหนือผิวน้ำ
“เฟิงอู๋โยว เจ้าบังอาจหมิ่นองค์หญิงหลีอิน!”
เฟิงอู๋โยว? องค์หญิงหลีอิน?
เฟิงอู๋โยวปวดหัวขึ้นมาฉับพลัน ยังไม่ทันประมวลผลความทรงจำมากมายที่ผุดขึ้นมา ก็ถูกกระบี่ยาวแวววาวชี้ใส่เสียแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น”
เฟิงอู๋โยวตกใจยิ่งนัก ยังไม่ทันคิดเรื่องที่จะสั่งสอนบทเรียนให้เจ้าหมากะล่อนลืมกำพืดเยี่ยงไร แต่พอลืมตาขึ้นมา ทำไมโลกกลับตาลปัตรไปเสียแล้ว
นางค่อยๆ งอตัว ถอดรองเท้าหนังที่เปียกชุ่มบนเท้าออก เหลือบเห็นเล็บเท้าสีแดงวาวพราวเสน่ห์แฝงความพิศวงของตัวเองก็ยิ่งตกใจ
“ไม่ใช่! นี่ไม่ใช่ร่างกายของข้า”
เพราะเจ้าหมาทึ่มนั่นชอบเลียเท้าของนาง นางจึงไม่เคยทาของมั่วซั่วพรรค์นี้ลงไปบนเท้า เพราะกลัวว่าจะเป็นพิษต่อเจ้าหมาทึ่มนั่น
พอคิดดูดีๆ นางก็รู้ว่าตัวเองไม่เพียงแต่ข้ามมิติธรรมดาๆ มิหนำซ้ำวิญญาณของนางยังเข้ามาสิงสถิตอยู่ในเรือนร่างหาได้ยากแบบนี้ด้วย
“ดูเหมือนจะเป็นการข้ามมิติจริงๆ!”
แม้เฟิงอู๋โยวไม่อาจทำใจยอมรับได้ แต่กระนั้นก็ได้มีโอกาสใช้ชีวิตเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งครั้ง ดังนั้นนางจึงยอมรับตัวตนในร่างใหม่แต่โดยดี
แต่สำหรับเฟิงอู๋โยวในโลกภพนี้ นี่คือการรอดชีวิตมาอีกครั้งของนาง!
“แม่ทัพเฟิง จงยอมตายเสียเถิด! เห็นแก่วีรกรรมที่เคยช่วยแคว้นเป่ยหลีทำศึกตะวันออกบุกตะวันตก เดิมทีก็คิดจะจบชีวิตเจ้าให้สมฐานะเสียหน่อย” อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายแห่งแคว้นเป่ยหลีนามว่าอ๋าวเอช่อจ้องมองเฟิงอู๋โยวด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“ท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย ข้าเคยคิดว่าท่านเป็นคนฉลาดเข้าใจง่าย แต่นึกไม่ถึงว่าท่านจะคิดว่าข้าจนตรอกจนถึงขั้นล่วงละเมิดองค์หญิงหลีอินผู้ไร้เหตุผลพรรค์นั้น”
เฟิงอู๋โยวรีบสวมรองเท้าอย่างว่องไว ตาคมเฉี่ยวหรี่ลง จากนั้นก็เริ่มเปิดฉากฆ่าพวกที่เข้ามาขวางอยู่ข้างหน้าทันที
ในช่วงเวลาคับขัน อยู่ๆ ร่างกายนางก็ร้อนวูบวาบขึ้นมา ทำให้รู้ว่าตัวเองถูกวางยาปลุกกำหนัดเข้าเสียแล้ว!
“ให้ตายเถอะ! ข้าขอไประบายอารมณ์ก่อนแล้วค่อยมาจัดการพวกกระจอกอย่างพวกเจ้า!”
เฟิงอู๋โยวแตะไปที่คอตัวเองพบว่ามีลูกกระเดือกนูนขึ้นมาอย่างชัดเจน นางดีใจที่รู้ว่าตัวเองอาจเกิดใหม่เป็นผู้ชายจริงๆ
แต่เล็บเท้าสีแดงของนางหมายความว่าเยี่ยงไร หรือว่าเจ้าของร่างเดิมเป็นพวกลักเพศ
ช่างมัน เป็นพวกลักเพศก็ช่างมัน มีชีวิตรอดอีกครั้งก็บุญโขแล้ว
ขณะที่กำลังร้อนรุ่มใจ นางวาดเรียวขาสะสวย แตะกวาดเหล่าทหารเสื้อแพรได้หลายสิบคนในคราเดียว จากนั้นก็ขี่ม้าเหงื่อโลหิต[2]มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ทันที
ณ เรือนมั่วหรัน ตำหนักเซ่อเจิ้งหวาง แคว้นตงหลิน
ในค่ำคืนน้ำค้างร่วงพรมบนชายคา
ปรากฏเงาองครักษ์ส่วนตัวของเซ่อเจิ้งหวางนามว่าจุยเฟิงที่ไม่ได้ข่มตาหลับมาเจ็ดวันติด กำลังผลอยหลับไปพร้อมกับเสียงหยดน้ำกระทบดังเปาะแปะ
ภายในเรือน ริ้วไฟขยับไหว จวินมั่วหรันนอนเอนอยู่บนเตียงในสภาพเปลือยอก ชุดคลุมยาวสีดำสนิทห่มแนบเรือนร่าง ชายเสื้อปักดิ้นทองคาดผ่านผิวสีเข้ม ขับให้เส้นเลือดที่ปูดโปนตามกล้ามของเขาแลดูเย้ายวนชวนหวั่นใจ
ขยับขึ้นไปด้านบน ริมฝีปากเรียวบาง ของจวินมั่วหรันเม้มแน่น ดวงตาแสนลุ่มลึกจนไม่กล้าสบตาปิดสนิท ยามหลับตา ขนตางอนยาวทาบทับลงบนเนินแก้มขาวซีดราวกับหิมะ เพียงมองแวบเดียวก็รู้ว่าเขามีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน
“ช่างเป็นคนที่ดวงกุดเกินเยียวยาเสียจริง”
ด้านนอกเรือน เฟิงอู๋โยวที่จับผลัดจับผลูบุกฝ่าเข้าไปยังดินแดนของแคว้นตงหลินหรี่ตามองพินิจจวินมั่วหรันที่นอนหลับตาอยู่อย่างพึงพอใจ
“เฮ้อ! ช่างเป็นคนรูปงามผู้อาภัพเสียจริง”
นางหลุบตากวาดมองบนร่างของตัวเอง รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้น “ก็ไม่เลว เช่นนั้นขอลองกับเจ้าคนอายุสั้นนี้ก่อนแล้วกัน!”
“เจ้าขี้โรครูปงาม รอก่อนเถอะ ข้าจะทำให้เจ้าหลับสบายพร้อมมอบความรักไร้ขีดจำกัดให้กับเจ้าเอง”
เฟิงอู๋โยวรู้สึกถึงฤทธิ์ยาปลุกกำหนัดภายในร่างกายที่กำลังปั่นป่วนสติอยู่ ครั้นแล้วจึงผลักประตูเข้าไป นางปลดตะขอเข็มขัดที่เปื้อนคราบเลือดออกเบาๆ และเดินตรงไปที่เตียง
อึก
นางกลืนน้ำลายลงคอ เมื่ออยู่ต่อหน้าความหล่อเหลาเย้ายวนของจวินมั่วหรัน นางรู้สึกเหมือนตนเองเป็นดั่งลูกธนูที่พร้อมพุ่งออกจากคันศร
แต่แล้ว เมื่อนางสำรวจร่างกายตัวเองอยู่สักหนึ่ง ก็พบว่าขาดอะไรบางอย่างไป!
“เชี่ย!?”
“นี่มันเรื่องอะไรกัน ที่แท้ไม่มีไอ้นั่นหรอกหรือ!”
นางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ในที่สุดก็เข้าใจความจริง
ลำบากมาครึ่งค่อนวัน ที่แท้นางเป็นสตรีนี่เอง!
เฟิงอู๋โยวมองจวินมั่วหรันที่นอนอยู่อย่างเสียดาย ดวงตาสั่นไหวดั่งผิวน้ำกระเพื่อมยามฤดูใบไม้ผลิ “หึๆๆ ช่างเป็นร่างกายที่เปราะบางอ่อนแอเสียจริง”
ทว่าภายใต้ฤทธิ์ยา เฟิงอู๋โยวไม่อาจปล่อยจวินมั่วหรันผู้เย้ายวนล่อใจคนนี้ให้หลุดมือไปได้
เพียงแต่จะลงมือเยี่ยงไรถึงจะดูเป็นกุลสตรีไร้พฤติกรรมเสื่อมทราม
[1] ตะปูในตาหนามในเนื้อ หมายถึงสิ่งที่ไม่ชอบหรือรังเกียจ
[2] ม้าเหงื่อโลหิต คือม้าสายพันธุ์หนึ่งในตำนาน ยามที่วิ่งออกศึก บริเวณแผงคอจะมีเหงื่อไหลออกมาเป็นสีแดงสดคล้ายเลือด