ตอนที่ 2 เจ้าเส้นเลือดน้อยโกรธเข้าแล้ว! / ตอนที่ 3 เซ่อเจิ้งหวางคงดีใจที่ได้เป็นพ่อคน
ตอนที่ 2 เจ้าเส้นเลือดน้อยโกรธเข้าแล้ว!
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เฟิงอู๋โยวก็เอนตัวเข้าใกล้จวินมั่วหรัน
“เจ้าเส้นเลือดน้อย เจ้าดูดีขนาดนี้ คงจิตใจดีมาก”
“ร่างกายข้าถูกวางยาปลุกกำหนัด ถ้าไม่ถอนพิษตอนนี้คงตายแน่ คนจิตใจดีอย่างเจ้าคงทนเห็นคนตายต่อหน้าต่อตาไม่ได้ใช่หรือไม่”
“ข้าเห็นจุดหยินถาง[1]ของเจ้าหมองคล้ำ สีหน้าเขียวช้ำ เหมาะที่จะใช้ถอนพิษที่สุด ดังนั้นเจ้าน่าจะเต็มใจช่วยข้าใช่หรือไม่”
เฟิงอู๋โยวยิ้มอย่างพอใจ จากนั้นก็ใช้มือทั้งสองข้างประคองศีรษะจวินมั่วหรันขึ้นมา และบังคับให้จวินมั่วหรันที่ยังไม่ได้สติพยักหน้าตอบตกลง
“เจ้าเส้นเลือดน้อย ข้าจะปฏิบัติกับเจ้าอย่างดี”
น้ำเสียงเพิ่งสิ้นสุดลง แสงเทียนภายในเรือนมั่วหรันก็ขยับไหว บรรยากาศพลันเร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆ
ฟุบ
เสี้ยวพริบตาต่อมา ผ้าคลุมจรุงกลิ่นหอมเบาบางจากอัมพันทะเลถูกโยนขึ้นในอากาศ…
“รูปร่างไม่เลวจริงๆ กล้ามหน้าท้องเป็นมัดๆ”
“ผิวสีน้ำตาลอ่อนเอย แนวเส้นเลือดเอย ช่างเร้าอารมณ์ข้านัก”
เฟิงอู๋โยวพูดจาปลุกเร้าความกล้าให้ตัวเองฟัง
เมื่อชาติที่แล้ว นางเป็นถึงนักฆ่าสาวมือหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่บนเส้นด้ายแห่งความตาย ดังนั้นแค่ผู้ชายคนเดียว นางไม่กลัว
แต่ครั้งนี้ นางกลับกลัวขึ้นมา
กลัวว่าจะทำเขาเป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ยิ่งไปกว่านั้น นางกลัวว่าพ่อหนุ่มรูปงามอายุสั้นจะสิ้นใจตายก่อนที่ลูกของนางจะลืมตาดูโลก
“เฮ้อ ให้ความร่วมมือหน่อยแล้วกัน”
เฟิงอู๋โยวรู้สึกถึงไฟราคะภายในร่างกายที่กำลังปั่นป่วน ด้วยความที่คุ้นเคยกับฤทธิ์ยา นางกลัวว่าขืนปล่อยไว้แบบนี้ ร่างของนางคงระเบิดตายเป็นแน่
ทว่าจวินมั่วหรันที่นอนป่วยหนักอยู่บนเตียงกลับเริ่มสัมผัสได้ถึงภัยอันตรายใกล้ตัว สัญญาณเตือนภัยเริ่มทำงาน กลิ่นอายอันตรายเข้มข้นขึ้น
หากขยับได้ รับรองว่าเขาจะจับเฟิงอู๋โยวที่กำลังพูดจ้อคนนี้หั่นเป็นชิ้นๆ แน่
คิดไว้ในใจเสียดิบดี แต่ความเป็นจริงกลับขมขื่น
ตอนนี้ จวินมั่วหรันไม่มีแรงแม้แต่จะยกแขน ขยับปากพูด ขนาดตาก็ยังลืมไม่ขึ้น
ในเวลาเดียวกัน เฟิงอู๋โยวที่โตมาในฐานะนักฆ่าก็สัมผัสจิตสังหารที่คุกรุ่นอยู่รอบๆ ตัวนางได้อย่างชัดเจน
จิตสังหารล้นปรี่ แต่รุนแรงไม่มากพอ
ยิ่งไปกว่านั้น ความหล่อเหลาของจวินมั่วหรันผนวกกับฤทธิ์ยาปลุกกำหนัดก็ยิ่งทำให้เฟิงอู๋โยวไม่สนใจสีหน้าอำมหิตของจวินมั่วหรัน
“นางสตรี ออกไปจากข้าเดี๋ยวนี้!”
“หากริอาจเข้ามาใกล้อีกก้าวเดียว ข้าจะบดเถ้ากระดูกเจ้าเป็นแน่!”
“รนหาที่ตาย!”
“นี่! จุยเฟิง รีบนำตัวสตรีผู้นี้ไปลงโทษเสีย”
“นี่ข้าไปสร้างเวรสร้างกรรมอะไรมา…”
…
ภายในเวลาเพียงหนึ่งเค่อ[2] ความโกรธของจวินมั่วหรันเปลี่ยนเป็นละอายใจและสิ้นหวังโดยสมบูรณ์
เขาในตอนนี้ปริปากพูดไม่ได้แม้แต่คำเดียว ทำได้มากสุดแค่ “ทักทาย” เฟิงอู๋โยวด้วยคำด่าทออยู่ในใจ
“เอ๊ะ!”
เฟิงอู๋โยวขมวดคิ้วเล็กน้อย ใบหน้าแดงเรื่อเริ่มอ่อนสีลง นางกัดริมฝีปากแน่น ใบหน้าพลันถอดสี
“ให้ตายเถอะ!”
“ในยุคโบราณ ขนาดคนดวงกุดอย่างเจ้านี่เรื่องอำนาจได้ขนาดนี้เชียวหรือ”
เฟิงอู๋โยวเม้มปากครุ่นคิด เวลาคนอื่นข้ามมิติ ถึงจะไม่ได้เป็นจักรพรรดินี แต่ในกรณีแย่สุดยังได้เป็นเจ้าถิ่นสักแห่ง
แต่พอตัวเองได้ข้ามมิติ กลับกลายเป็นแค่แม่ทัพผู้พ่ายแพ้หนีตายเสียอย่างนั้น
ฟุบ
ทันใดนั้น จวินมั่วหรันลืมตาโพลงขึ้นมา นัยน์ตาสีดำสนิทดุจหมึกของเขาจ้องมองเฟิงอู๋โยวอย่างแน่วนิ่ง
เฟิงอู๋โยวสะดุ้งตกใจ รีบเอามือปิดตาจวินมั่วหรันไว้อย่างลนลาน
ขณะที่ขนตางอนยาวของจวินมั่วหรันสัมผัสกับฝ่ามือของเฟิงอู๋โยว ความรู้สึกประหลาดก็ผุดขึ้นกลางใจของนาง
“ไฉนความรักมาไวดั่งพายุไต้ฝุ่น” เฟิงอู๋โยวกะพริบตาปริบๆ รู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแผ่ซ่านเข้ามาจากฝ่ามือตัวเองอยู่เนืองๆ
“บังอาจ!”
จวินมั่วหรันตวาดเสียง เสื้อคลุมสีดำม้วนตลบราวกับพายุโหมกระหนำสะบัดใส่นางจนต้องม้วนหลังลงเตียง
น้ำเสียงเจือความขมขื่นของเขาสอดแทรกไปด้วยจิตมุ่งร้าย ทว่ากลับไพเราะเสนาะหูชวนใจหวั่น
ตอนที่ 3 เซ่อเจิ้งหวางคงดีใจที่ได้เป็นพ่อคน
เสียงตวาดอันสะท้านดวงวิญญาณของจวินมั่วหรันดังลั่น เท้าเรียวยาวทั้งสองข้างของเฟิงอู๋โยวยกสูงเฉี่ยวผ่านหน้าจวินมั่วหรันไปอย่างรวดเร็ว
ปลายเท้าที่ทาเล็บสีแดงฉานสัมผัสเข้ากับริมฝีปากของจวินมั่วหรันอย่างจัง จากนั้นเท้าของนางก็เกี่ยวเข้ากับผ้าห่มที่ขาดวิ่จากกรของจวินมั่วหรันเข้า
พริบตา นางถูกผ้าห่มห่อพันร่างและม้วนตัวลงจากเตียงพร้อมกับหลบการจู่โจมสะเปะสะปะของจวินมั่วหรันได้อย่างคล่องแคล่วราวกับแมวป่า
“สมควรตาย เจ้าบังอาจให้ข้ากิน…กินเท้าเจ้า!”
ดวงตาของจวินมั่วหรันสั่นไหวประหนึ่งถูกสายฟ้าฟาดใส่ดวงวิญญาณจนแตกเป็นเสี่ยงๆ เขาได้แต่นิ่งอึ้งอยู่บนเตียง
ณ เวลานั้น หัวใจของเขาแตกสลาย
เดิมที จวินมั่วหรันไม่ข้องแวะกับสตรี ในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา แม้แต่น้องสาวแท้ๆ ของเขาอย่างจวินฝูก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้เขาเลย แล้วนับประสาอะไรกับสตรีคนอื่น
ทว่ามนุษย์เรามิอาจฝืนชะตากรรมได้
ในขณะที่เขากำลังอ่อนแรงจากอาการโรคเก่ากำเริบ เฟิงอู๋โยวกลับฉวยโอกาสเข้ามาทำลายความบริสุทธิ์ของเขา มิหนำซ้ำยังให้เขาลิ้มลองกลิ่นและรสสัมผัสประหลาดจากปลายเท้าอีก
“อวัยวะสำคัญก็ยังอยู่ครบดี เจ้าไม่พอใจอะไรอีก”
เฟิงอู๋โยวอาศัยจังหวะช่วงที่จวินมั่วหรันอึ้งค้างอยู่ สวมเสื้อทับอย่างรวดเร็ว ซ้ำยังไม่ลืมหันกลับไปยักคิ้วยั่วยุใส่เขาที่ใบหน้ายังคงซีดเผือดอีก
ในความคิดของนาง การที่จวินมั่วหรันหยุดโจมตีแบบนี้ อาจเป็นเพราะกำลังนึกถึงรสชาติเท้าของนางอยู่กระมัง
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร”
ครั้นจวินมั่วหรันได้สติกลับมา ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยจิตสังหารและไม่คิดจะเปิดโอกาสให้เฟิงอู๋โยวหนีรอดไปได้ ดังนั้น เขาจึงรีบคว้าแขนเล็กเรียวของนางเอาไว้ทันที
“จะเป็นใครก็ช่าง…มันสำคัญขนาดนั้นเลยหรือ” เฟิงอู๋โยวตากระตุก ลางร้ายผุดขึ้นมาในใจ
ก่อนหน้านี้หนึ่งก้านธูป นางถูกวางยาปลุกกำหนัด และเพื่อหนีการไล่สังหารจากพวกทหารเสื้อแพรของเผ่ยหลี นางเลยจับผลัดจับผลูหนีเข้ามาในเขตแดนของแคว้นตงหลิน จากนั้นก็เข้าไปหลบซ่อนอยู่ในเรือนที่ค่อนข้างโอ่อ่าหลังหนึ่ง
เดิมทีนางคิดว่า อย่างมากสุดจวินมั่วหรันคงเป็นแค่คุณชายขี้โรคที่ถูกประคบประหงมเลี้ยงดูจนเสียนิสัยตามประสาลูกคนรวย แต่ดูจากคำพูดคำจากับท่าทางโมโหของเขาแล้ว เฟิงอู๋โยวก็ตระหนักขึ้นมาได้ในทันทีว่าตัวเองก่อเรื่องใหญ่เข้าให้แล้ว
“ขออนุญาตถามหน่อย ไม่ทราบว่าท่านคือท่านใดเพคะ”
เฟิงอู๋โยวใส่เข็มขัดตัวสั่นระริก นางพยายามข่มความละอายใจและถามจวินมั่วหรันอย่างสุภาพ
นางเพิ่งมาที่นี่ มิหนำซ้ำความทรงจำในสมองยังถูกก่อกวนด้วยฤทธิ์ยาปลุกกำหนัดราวกับกองโคลนเละเทะ ทำให้นางคิดอะไรไม่ออกอยู่หลายเรื่อง
แต่สิ่งหนึ่งที่นางยืนยันได้ก็คือ เจ้าของร่างเดิมร่างนี้ไม่เคยย่างเท้าเข้ามาที่แคว้นตงหลิน
ซึ่งร่างเดิมของเฟิงอู๋โยวก็เคยได้ยินเฟิ่งอี้พี่ชายของนางเล่าให้ฟังแค่ว่า แคว้นตงหลินมีขุนนางอยู่เจ็ดคนและขุนนางที่ดำรงตำแหน่งเซ่อเจิ้งหวางนามว่าจวินมั่วหรันก็เป็นตัวฉกาจที่ห้ามมีเรื่องด้วยเด็ดขาด
เมื่อคิดถึงตรงนี้เฟิงอู๋โยวก็ใจหวิวขึ้นมา จากนั้นจึงเอ่ยถามด้วยความรู้สึกผิด “ทะ…ท่านคงไม่ใช่เซ่อเจิ้งหวางแห่งแคว้นตงหลิน ใช่หรือไม่”
จวินมั่วหรันขมวดคิ้วแน่น หมัดทั้งสองข้างกำแน่น
เขาไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าสตรีที่หยามหมิ่นตนเองคนนี้จะไม่รู้ว่าตัวเขาเป็นใคร
“ไม่ว่าสำนักไหนจะส่งเจ้ามา แต่วันนี้เจ้าหนีไม่รอดแน่”
เพลิงโทสะรอบกายจวินมั่วหรันเข้มข้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด น้ำเสียงทุ้มต่ำเจือความอำมหิตชนิดที่กลบทับน้ำเสียงเบื่อหน่ายและเป็นกันเองของเขาไปอย่างสิ้นเชิง
เฟิงอู๋โยวตระหนักได้แล้วว่า ตัวเองได้หาเรื่องเซ่อเจิ้งหวางแห่งแคว้นตงหลินผู้ที่ไม่ควรมีเรื่องด้วยที่สุดเข้าเสียแล้ว ทำเอานางเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันที
ในช่วงเวลาคับขัน นางก็งัดไม้ตายที่เพื่อนสนิทนางชอบใช้เมื่อชาติที่แล้วออกมา นั่นก็คือการทำตัวประจบอ้อนวอนอย่างน่ารักน่าเอ็นดู
“แหม ท่านใต้เท้าก็พูดไปเรื่อย ท่านใต้เท้าเก่งกาจทรงอำนาจเช่นนี้แล้ว กระหม่อมจะหนีรอดไปจากเงื้อมมือของท่านได้เยี่ยงไร”
“หุบปาก!”
แววตาจวินมั่วหรันฉายแววอำมหิต
“อืม! น้ำเสียงของท่านใต้เท้าช่างไพเราะยิ่งนัก ได้ยินบ่อยเข้า เกรงว่าหูของกระหม่อมคงตั้งครรภ์เป็นแน่” เฟิงอู๋โยวปั้นหน้าเอ่ยประจบอย่างไร้ยางอาย
“จงอย่าริอาจพูดจาพลิกลิ้นกับข้าผู้นี้ให้เปลืองแรง! ตั้งครรภ์เสียก็ยิ่งดี จะได้เป็นผีตายทั้งกลม”
[1] จุดหยินถาง หมายถึงจุดฝังเข็มบริเวณหน้าผาก อยู่กึ่งกลางระหว่างหัวคิ้ว 2 ข้าง
[2] 1 เค่อ เท่ากับ 15 นาที