ตอนที่ 13 ความไร้เดียงสาของเจ้าทำให้ข้ามีความสุข / ตอนที่ 14 สตรีหัวขโมยฝีมือดีจากไหน
ตอนที่ 13 ความไร้เดียงสาของเจ้าทำให้ข้ามีความสุข
เฟิงอู๋โยวกวาดมองจี้มั่วอิ้นเหรินผู้อ่อนเยาว์ไร้เดียงสา แววเจ้าเล่ห์พลันผุดขึ้นในดวงตา
นางก้าวไปข้างหน้า ใช้แขนข้างหนึ่งกอดคอจี้มั่วอิ้นเหริน ส่วนอีกข้างก็ขยี้ผมที่มัดรวบมาอย่างบรรจงของเขา
“เจ้าเด็กน้อย ความไร้เดียงสาในแบบที่ยังไม่เคยเห็นโลกกว้างที่ฉายออกมาจากใบหน้าของเจ้าช่างทำให้ข้าเป็นสุขเหลือเกิน”
“บังอาจ!”
จี้มั่วอิ้นเหรินขมวดคิ้วและผลักเฟิงอู๋โยวออกไป
“ที่บอกว่าเป็นสหายกับจวินมั่วหรันไม่ใช่เรื่องโกหก” เฟิงอู๋โยวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงละเหี่ยใจ จากนั้นก็ดีดนิ้วใส่ศีรษะของจี้มั่วอิ้นเหริน “ถ้าคิดจะเอาผู้อื่นเป็นเยี่ยงอย่างก็ไม่ควรไปเอาเจ้าเซ่อเจิ้งหวางอย่างหมอนั่นเป็นเยี่ยงอย่าง พูดอะไรไม่เข้าหูนิดหน่อยก็โมโหขึ้นทันที”
นัยน์ตาจี้มั่วอิ้นเหรินสั่นไหวเล็กน้อย ใบหน้าขาวนวลดุจหยกถูกเฟิงอู๋โยวบีบเล่นอย่างสนุก
“เจ้าเป็นใครกันแน่ ช่างบังอาจ…พูดจาสามหาวต่อหน้าข้าเยี่ยงนี้”
เดิมทีเขาอยากจะเปิดเผยสถานะของตัวเองเพื่อขู่เฟิงอู๋โยว
ทว่าการที่ชนชั้นปกครองผู้สูงส่งถูกไพร่ฟ้าบีบแก้มเล่นแบบนี้ คงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นัก
หลังจากใคร่ครวญ จี้มั่วอิ้นเหรินก็ตัดสินใจไม่เปิดเผยสถานะของตัวเอง เพราะเซ่อเจิ้งหวางเคยสอนเขาไว้ว่า จงลงมือแต่อย่าปากพล่อยเป็นอันขาด
ครั้นแล้วเขาจึงออกกระบวนท่าลูกเตะผ่าหมากที่มักใช้กับเหล่าบริวารใส่เฟิงอู๋โยว
เฟิงอู๋โยวตาไว มองลูกไม้ของเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่งตั้งแต่เนิ่นแล้ว
เสี้ยวพริบตาต่อมา นางถอยเท้าหลบเขาทันทีและเลี่ยงฝ่าเท้าของจี้มั่วอิ้นเหรินที่เตะขึ้นมาอย่างสบายๆ จากนั้นก็ฉวยจังหวะนี้ถอดรองเท้าเขาออกมาด้วย
แม้จี้มั่วอิ้นเหรินจะอ่อนเยาว์แต่เพียบพร้อมได้ด้วยความรู้และการต่อสู้ เขาไม่นึกว่าคนที่ไม่มีกำลังภายในอย่างเฟิงอู๋โยวจะเคลื่อนไหวได้รวดเร็วเช่นนี้
เมื่อเขาเริ่มผ่อนคลายลงก็รีบก้มศีรษะมองดู แต่พบว่ารองเท้าของตัวเองไปอยู่ในมือของเฟิงอู๋โยวแล้ว
ทันในนั้น ใบหน้าขาวอมชมพูของเขาก็แดงก่ำขึ้นมา “คืนรองเท้ามาให้ข้า….เอามาให้ข้า!”
เฟิงอู๋โยวทำเป็นไม่สนใจ นางชูรองเท้าใหม่เอี่ยมของจี้มั่วอิ้นเหรินขึ้นมาพลางครุ่นคิดถึงคำว่า ‘ข้า (เจิ้น)’ ที่หลุดออกมาจากปากเขาเมื่อครู่
เท่าที่จำได้ ดูเหมือนท่านอ๋องแห่งแคว้นตงหลินก็เพิ่งจะอายุสิบสี่ปี ก็น่าจะราวๆ เดียวกับเจ้าหนุ่มน้อยวัยกำลังโตที่อยู่ข้างหน้าคนนี้
นอกจากนี้ หน้าตาของจี้มั่วอิ้นเหรินก็ดูคล้ายกับจี้มั่วจื่อเฉินผู้ที่ยิงธนูสอยกางเกงทับในลงมาจากป้อมปราการเมื่อหนึ่งก้านธูปก่อน ทำให้เฟิงอู๋โยวสันนิษฐานได้ว่า คนที่อยู่ข้างหน้าคนนี้ก็คืออ๋องน้อยแห่งแคว้นตงหลินนามว่าจี้มั่วอิ้นเหริน
อันที่จริงนางไม่กลัวที่จะเล่นกับอำนาจของตระกูลเชื้อพระวงศ์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถรับมือกับโทษที่หนักกว่าของจวินมั่วหรันไม่รู้กี่เท่า เพราะจี้มั่วอิ้นเหรินเป็นถึงอ๋องน้อยแห่งแคว้นตงหลิน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางจึงคลายมือออกก่อนถามหยั่งเชิงออกไป “อย่างนั้นหรือ”
“เจ้ารู้จักชื่อข้าได้เยี่ยงไร” จี้มั่วอิ้นเหรินย่นคิ้วเล็กน้อย ดวงตาผุดแววหวาดระแวง
“หึๆ ก็เจ้าพูดออกมาเอง ไฉนถึงลืมเร็วเช่นนี้”
เฟิงอู๋โยวฝืนยิ้มออกมาอย่างลำบากใจ ภายในใจอาบโชกไปด้วยน้ำตา
นางไม่เข้าใจว่าไฉนตัวเองถึงโชคร้ายแบบนี้ เริ่มด้วยพูดจาดูถูกอ๋องน้อยแห่งแคว้นตงหลินไปว่าเป็นพวกไม่เคยเห็นโลกกว้าง หยิกแก้มเขาเล่นและต่อด้วยแย่งรองเท้าของเขามา
จี้มั่วอิ้นเหรินเกาหัวยิก เขาคิดว่าคงเป็นเพราะความโมโหจนลืมตัวเผลอบอกชื่อของตัวเองให้เฟิงอู๋โยวรู้ “ช่างเถิด รีบเอารองเท้ามาให้ข้าได้แล้ว”
ขณะที่เฟิงอู๋โยวกำลังจะสวมรองเท้าคืนให้กับเขา อยู่ๆ ก็กังวลว่าหากเขาได้รองเท้าไปแล้วจะเปลี่ยนท่าที
ดังนั้น เฟิงอู๋โยวจึงอาศัยจังหวะนี้ก้มตัวจับเท้าจี้มั่วอิ้นเหริน และฉีกถุงเท้าไหมในขณะที่เขาไม่ทันตั้งตัว
“อุ้ย! สหายน้อยอิ่งเหรินขอรับ ไฉนถุงเท้าไหมของท่านถึงเป็นรูล่ะขอรับ”
เฟิงอู๋โยวชี้ไปที่นิ้วเท้าของจี้มั่วอิ้นเหรินที่โผล่ออกมาพลางร้องตกใจเสียงสูง
“หุบปาก!”
จี้มั่วอิ้นเหรินหลุบตามอง ใบหน้าขาวนวลพลันแดงก่ำขึ้นมาภายในพริบตา
เขารีบยื่นมือไปปิดปากอย่างลนลานและใช้มืออีกข้างปิดรูขาดบนถุงเท้าไหม ก่อนพยายามใส่รองเท้ากลับคืนอย่างลุกลี้ลุกลน
เฟิงอู๋โยวพยักหน้าเล็กน้อย นางพยายามรักษารอยยิ้มอันอ่อนโยนไว้บนใบหน้าอยู่ตลอด “ฝ่าบาทวางใจเถิด กระหม่อมจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้แก่ผู้อื่น”
“นับว่าเจ้าฉลาด”
จี้มั่วอิ้นเหรินถูกความรู้สึกบางอย่างครอบงำอย่างสมบูรณ์ และยิ่งไปกว่านั้น เขากลับเริ่มรู้สึกดีกับเฟิงอู๋โยวที่ทำเขาเสียหน้าอย่างบอกไม่ถูก
ตอนที่ 14 สตรีหัวขโมยฝีมือดีจากไหน
เฟิงอู๋โยวมองจี้มั่วอิ้นเหรินที่ยืนอยู่ข้างหน้าอย่างเชื่อฟัง ภายในใจฉุกคิดว่าบางทีตัวเองอาจจะใช้อำนาจของอ๋องน้อยแห่งแคว้นตงหลินสยบจวินมั่วหรันได้
เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็แย่งกล่องหยกแปดช่องมาจากมือเถ้าแก่โรงรับจำนำอีกครั้ง จากนั้นก็ยัดใส่มือจี้มั่วอิ้นเหริน “ขอมอบกล่องหยกแปดช่องใบนี้ให้ฝ่าบาทแล้วกัน”
จี้มั่วอิ้นเหรินขมวดคิ้วเล็กน้อย เดิมทีคิดจะบอกเฟิงอู๋โยวว่ากล่องหยกแปดช่องใบนี้เป็นเครื่องราชบรรณาการจากหมู่บ้านหนานเชียงที่ตัวเองเพิ่งมอบให้จวินมั่วหรันเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่เมื่อเห็นท่าทางมีชีวิตชีวาสดใสของเฟิงอู๋โยวแล้ว เขาก็ได้แต่กลืนคำพูดเหล่านั้นลงไป
เฟิงอู๋โยวพยายามเอาใจเขา นางรีบเอ่ยถามด้วยแววตาสงสัย “เสี่ยวอิ่งอิ่ง ไฉนจึงไม่รับไปล่ะขอรับ”
“ขอบใจ”
จี้มั่วอิ้นเหรินพยักหน้าเล็กน้อยพลางยื่นมือไปรับกล่องหยกแปดช่องที่ยังคงอุ่นๆ จากมือของเฟิงอู๋โยวอยู่ ทำเอามุมปากยกกระดกเผยแววพอใจขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
เฟิงอู๋โยวคลี่ยิ้มพริ้มพราวก่อนลูบไปที่เส้นผมดำสนิทของจี้มั่วอิ้นเหรินพร้อมกับปริปากเอ่ยเสียงแผ่ว “เด็กดี”
“…”
จี้มั่วอิ้นเหรินมีเส้นผมสีดำขลับทั่วทั้งศีรษะ ในขณะที่เฟิงอู๋โยวกำลังลูบผมเขาอยู่ เขารู้สึกเหมือนนางกำลังคิดว่าเขาเป็นสัตว์เลี้ยงขนปุกปุย
ซึ่งอันที่จริง จี้มั่วอิ้นเหรินคิดถูกแล้ว เฟิงอู๋โยวก็กำลังคิดว่าเขาเป็นเจ้าสุนัขทึ่มที่ตัวเองเคยเลี้ยง
เหง่งหง่าง
ครั้นเฟิงอู๋โยวมอบของล้ำค่าให้อีกฝ่ายเสร็จสิ้น ทันใดนั้นก็มีเสียงฆ้องดังมาจากด้านนอกโรงรับจำนำ
“เกิดอะไรขึ้น”
เฟิงอู๋โยวกอดห่อผ้าก้อนตำลึงเงินแน่น พร้อมกับชะเง้อศีรษะมองออกไป
จี้มั่วอิ้นเหรินเดินมาข้างๆ เฟิงอู๋โยวอย่างรู้ประสา ดวงตาเจือแววหวั่นเกรงขึ้นรำไร
เขากดเสียงต่ำกระซิบข้างหูเฟิงอู๋โยว “เซ่อเจิ้งหวางออกตรวจเมือง เหล่าข้าราชบริพารกำลังตีฆ้องเปิดทาง พวกเราควรกลับกันก่อนดีหรือไม่”
“ฝ่าบาทเกรงกลัวเซ่อเจิ้งหวางขนาดนั้นเชียวหรือขอรับ”
เฟิงอู๋โยวมองจี้มั่วอิ้นเหรินอย่างสงสัย ก่อนหน้านี้นางคิดว่าตัวเองหาคนที่พึ่งพาได้เจอแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนๆ นั้นดูเหมือนจะพึ่งพาไม่ค่อยได้เท่าไหร่
“ข้ากลัวเซ่อเจิ้งหวางเสียที่ไหน ข้าแค่เคารพและนอบน้อมต่อผู้อาวุโสจากใจจริงก็แค่นั้น” จี้มั่วอิ้นเหรินพูดขึ้นอย่างกำกวม
“เช่นนั้น พวกเราควรหาที่หลบที่เหมาะสมกัน”
เฟิงอู๋โยวไม่อยากข้องเกี่ยวกับจวินมั่วหรันไปมากกว่านี้ ครั้นแล้วจึงนั่งยองๆ ก้มหลบอยู่ในโรงรับจำนำกับจี้มั่วอิ้นเหริน แต่ก็ไม่วายชะเง้อหน้าแอบมองราชรถหยกของเซ่อเจิ้งหวางที่ใกล้เข้ามา
ครั้นเสียงฆ้องลั่นครบสิบสามครั้ง ท่ามกลางฝุ่นตลบ มีทหารองครักษ์สี่คนยืนอารักขาอยู่ที่ทั้งสี่มุมของราชรถหยกในสีหน้าเคร่งขรึมน่าเกรงขาม
ด้านหน้าราชรถหยก จุยเฟิงในมือถือภาพวาด พลางประกาศเสียงดัง “มีหญิงสาวหัวขโมยริอาจลักลอบเข้าตำหนักเซ่อเจิ้งหวางยามวิกาล รบกวนกิจของใต้เท้า ต้องโทษประหารสถานเดียว ผู้ใดรู้เห็นเป็นใจ ต้องรับโทษสถานเดียวกัน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หนังตาของเฟิงอู๋โยวก็กระตุกอย่างรุนแรง ครั้นแล้วจึงหดหน้ากลับไปทันที มือทั้งสองกอดอกแน่น เครียดหนักจนแน่นิ่งอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน
จี้มั่วอิ้นเหรินไม่เห็นอาการผิดปกติของเฟิงอู๋โยวและยังคงแง้มบานประตูสีซีดของโรงจำนำพลางเอ่ยขึ้นอย่างสนใจ “ไม่รู้ว่าสตรีหัวขโมยจากที่ใด ฝีมือช่างเก่งกาจเยี่ยงนี้!”
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง อยู่ๆ เขาก็หันมามองกล่องหยกแปดช่องในมืออย่างไม่ละสายตา จากนั้นก็ชี้นิ้วเข้ามาที่ปลายจมูกของเฟิงอู๋โยวพร้อมกับพูดขึ้นอย่างตกใจ “หรือว่าเจ้าเป็นสตรีหัวขโมยที่ลักลอบเข้าตำหนักเซ่อเจิ้งหวางยามวิกาล”
เฟิงอู๋โยวแอบเหงื่อตก ขณะกำลังจะเอื้อมมือไปปิดปากจี้มั่วอิ้นเหริน จุยเฟิงที่หยุดอยู่ที่รั้วโรงรับจำนำก็รีบเดินตรงเข้ามาในโรงรับจำนำอย่างไม่คาดคิด
“ขอฝ่าบาทได้โปรดพูดเบาๆ หน่อย! กระหม่อมเป็นบุรุษนะขอรับ”
เฟิงอู๋โยวกัดฟัดพูดกับจี้มั่วอิ้นเหรินเสียงแผ่ว พร้อมกับแอบมองจุยเฟิงที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หัวใจก็พลอยเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
“จุยเฟิง ผู้ใดช่างกล้าส่งเสียดังต่อหน้าข้า”
ทันใดนั้น น้ำเสียงอันน่าดึงดูดของจวินมั่วหรันก็ดังออกมาจากราชรถหยก เสียงทุ้มต่ำเคร่งขรึมแต่แฝงไปด้วยเนื้อเสียงที่ใสกังวาน