ตอนที่ 22 นางหนีไปแล้ว / ตอนที่ 23 ขโมยเสื้อผ้าคนอื่น
ตอนที่ 22 นางหนีไปแล้ว
เฟิงอู๋โยวกลั้นขำเอาไว้ไม่อยู่ เถี่ยโส่วพูดจี้จุดจนทำเอานางหัวเราะลั่นออกมา “มันไม่เกี่ยวหรอกว่าโตมาด้วยอะไร เจ้าต้องจำเอาไว้อย่าง หยกไม่เจียระไนไร้คุณค่า คนไม่ร่ำเรียนวิชาไร้ปัญญาเหตุผล ไอ้ของพรรค์นั้นก็เช่นกัน แค่ใช้งานบ่อยๆ ก็พอแล้ว”
แต่การโพล่งหัวเราะออกมาเช่นนี้ สำหรับนางเปรียบเหมือนน้ำหลากทลายเขื่อน
ยิ่งไปกว่านั้น นางรู้สึกถึงเลือดที่ทะลักออกมากำลังค่อยๆ ซึมขยายเป็นวงกว้างกว่าเดิม จึงได้แต่พยายามหาขออ้างอย่างสมเหตุสมผลมากที่สุด จากนั้นก็มองไปทางจวินมั่วหรันที่อยู่ในราชรถหยกอย่างกระวนกระวาย “ท่านใต้เท้าขอรับ กระหม่อมปวดธุระหนักขอรับ”
ภายในราชรถหยก จวินมั่วหรันแง้มมองผ่านช่องผ้าม่าน เขามองสายตากระวนกระวายของเฟิงอู๋โยวอย่างเรียบนิ่ง ริมฝีปากเรียวบางเอ่ยขึ้น “กลั้นไว้ก่อน”
เฟิงอู๋โยวไม่สบอารมณ์ยิ่งนัก แต่ก็ทำได้แค่แอบสังเกตจวินมั่วหรันด้วยหางตาอย่างแยบยล “ท่านใต้เท้า ถ้าทำธุระหนักไม่เป็นที่ในแคว้นตงหลิน จะโดนจับหรือไม่ขอรับ”
บนใบหน้าหล่อเหลาราวหุ่นปั้นไร้ที่ติของจวินมั่วหรันปรากฏรอยหยักริ้วเส้นขึ้นมา ในเวลานั้นเขาอยากจะระเบิดขำออกมาก แต่ด้วยภาพลักษณ์ของตัวเอง จึงทำได้แค่ปั้นหน้านิ่งและตอบกลับเสียงขรึม “โดน”
เฟิงอู๋โยวกัดฟันกรอดอย่างโมโห แต่ก็ไม่กล้าแสดงอาการออกมา
แต่นางจำเป็นต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นผลลัพธ์ที่ตามมาต้องหนักหนาจนรับมือไม่ไหวแน่นอน
ในช่วงที่ทำอะไรไม่ถูกอยู่นั้น นางล้มลงไปนอนเอามือกุมเป้ากางเกงอีกครั้งพลางส่งเสียงโอดโอยอย่างทรมาน “ปวดเหลือเกิน! คนธรรมดาย่อมเจ็บปวดเป็น บางทีความเจ็บปวดนี้อาจทำให้ทวารคนธรรมดาฉีกขาดก็ได้”
“ทวารฉีกขาดอย่างนั้นหรือ” เถี่ยโส่วนิ่วหน้า ก่อนนั่งยองๆ ลงไปและถามอย่างเป็นห่วง “ทวารของเจ้าบาดเจ็บอย่างนั้นหรือ”
“ไม่ใช่”
“แล้วเป็นเพราะเหตุใด” เถี่ยโส่วเหลือบมองตรงบริเวณที่เฟิงอู๋โยวเอามือกุมอยู่อย่างสงสัย “ไม่อย่างนั้น ให้ข้านวดให้เจ้าดีหรือไม่”
จวินมั่วหรันเห็นทั้งสองคนเจข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยแบบนั้นก็ชักจะหมดความอดทน
“เฟิงอู๋โยว เจ้ากำลังเล่นลูกไม้อะไรอยู่กันแน่” น้ำเสียงของจวินมั่วหรันเคร่งขรึมลงทันที แค่ได้ยินเสียงเขาก็ทำเอาเฟิงอู๋โยวเย็นสันหลังขึ้นมาแล้ว
ผู้คนที่อยู่รอบๆ ต่างสะดุ้งตกใจจนหดหัวไปตามๆ กัน อย่าว่าแต่พูดคุยกันเลย แม้แต่หายใจก็ยังไม่กล้าหายใจแรง
เฟิงอู๋โยวเม้มปาก กลัวว่าตัวเองจะยั่วจวินมั่วหรันโมโหขึ้นอีก จึงพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง “ท่านใต้เท้า กระหม่อมเชื่อฟังท่านขอรับ แต่ในหนึ่งวัน คนเราต้องทำธุระหนักเบา กระหม่อมใกล้ทนไม่ไหวแล้วขอรับ ปวดไข่เหลือเกินขอรับ”
“ไสหัวไป”
จวินมั่วหรันแทบเอามือก่ายหน้าผาก เฟิงอู๋โยวทำเขาปวดหัวอย่างไม่หยุดหย่อน
นับๆ ดูแล้ว ตั้งแต่เขาอายุสิบสามปีเป็นต้นมาก็นำทัพออกรบไปทั้งหมดแปดครั้งแล้ว
ในช่วงแปดปีที่ผ่านมา เขาพบเจอคนมานับไม่ถ้วน แต่ก็ยังไม่เคยมีใครหน้าด้านเท่าเฟิงอู๋โยวมาก่อนเลยสักคน
“รับทราบขอรับ”
เมื่อจวินมั่วหรันอนุญาต เฟิงอู๋โยวก็วิ่งแจ้นออกไปแบบไม่ทิ้งฝุ่น
จวินมั่วหรันเหลือบมองเงาร่างที่วิ่งพลางกระโดดโหยงๆ ของเฟิงอู๋โยว พลางสงสัยว่าไฉนนางถึงได้ผ่านเกณฑ์เป็นพลทหารของแคว้นเป่ยหลีได้
หรือว่านางจะมีความสามารถที่โดดเด่นกว่าคนอื่นที่ไม่อยากให้ใครรู้
ครั้นจวินมั่วหรันคิดได้เช่นนั้นก็แง้มผ้าม่านเล็กน้อย ก่อนกำชับเถี่ยโส่วเสียงทุ้มต่ำ “ตามไป อย่าปล่อยให้เขาหนีไปได้”
“รับทราบขอรับ”
เถี่ยโส่วตอบรับอย่างหนักแน่น ก่อนรีบวิ่งตามเฟิงอู๋โยวไปอย่างร้อนรน
เฟิงอู๋โยวเหลียวมองกลับไปเห็นเถี่ยโส่วที่วิ่งตามมา จึงรีบเปลี่ยนทิศทางอย่างกระทันหัน เมื่อวิ่งเลี้ยวไปอีกทางก็กระโจนเข้าไปในเรือนหลังงามกลางสวนต้นหลิวอันหรูหราชวนลุ่มหลง
เถี่ยโส่ววิ่งตามมาถึงทางแยก เขาหันมองทั่วทุกทิศแต่กลับไม่พบร่องรอยของเฟิงอู๋โยว เขาเริ่มพึมพำกับตัวเองอย่างกระวนกระวายใจ “สงสัยสหายน้องอู๋โยวจะกลั้นไม่ไหวจริงๆ แค่ครู่เดียวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว”
เขาถอนหายใจอย่างจนปัญญา คงทำได้แค่ตามหาเฟิงอู๋โยวให้ทั่วห้องน้ำของเมืองหลวง
ภายในเรือนท่ามกลางสวนต้นหลิว เฟิงอู๋โยวที่ยืนหลบอยู่หลังบานหน้าต่างชั้นสองของเรือนวิจิตร จ้องมองเถี่ยโส่วที่กำลังจากไป
เดิมทีนางไม่คิดจะปั่นหัวเถี่ยโส่ว แต่มันไม่มีทางเลือกจริงๆ ตอนนี้นางไม่สามารถปกปิดเสื้อผ้าที่เปื้อนคราบเลือดของนางเอาไว้ได้อีกต่อไป หากยังหาเสื้อผ้าเปลี่ยนไม่ได้ก็จนปัญญาแล้วเช่นกัน
พอคิดไปคิดมา นางคงต้องหลบอยู่ในเรือนน้อยหลังงามกลางสวนต้นหลิวนี้ก่อน
เมื่อเห็นเงาร่างของเถี่ยโส่วคล้อยห่างออกไปเฟิงอู๋โยวก็ปิดหน้าต่างลง แต่จังหวะหันกลับมาก็ดันเหลือบไปเห็นเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวนวลพาดอยู่บนแผงรั้วกันลมลายหมึกวาด
นางค่อยๆ ย่องเข้าไปอย่างระวัง เอื้อมมือไปหยิบเสื้อผ้าอย่างเบามือและเอามาเทียบกับร่างกายตัวเอง
แขนเสื้อยาวกว่าแขนนางหนึ่งคืบ ชายเสื้อก็ยาวกว่าตัวนางหลายคืบ
แต่เฟิงอู๋โยวรู้สึกว่าเสื้อผ้าชุดนี้ถูกตัดมาเพื่อนางโดยเฉพาะ เพราะนางสวมใส่ได้อย่างพอดีตัวราวกับได้วัดตัดมาไม่มีผิด
ตอนที่ 23 ขโมยเสื้อผ้าคนอื่น
“อย่างไรก็ตาม บุรุษมาในสถานที่ที่คล้ายกับหอนางโลมแบบนี้ ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกเดรัจฉานสวมเสื้อผ้า[1] คงไม่ต้องให้เกียรติคนพวกนี้เท่าไหร่หรอกกระมัง”
เฟิงอู๋โยวไม่อยากลักขโมยเสื้อผ้าของคนอื่น แต่เพื่อเอาตัวรอดในยามจวนตัว นางต้องแต่งเรื่องมาปลอบใจตัวเอง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังระรัวมาจากด้านนอกเรือนวิจิตรระลอกหนึ่ง
สีหน้าของเฟิงอู๋โยวนิ่งลง เสื้อผ้าที่เปื้อนคราบเลือดพลันร่วงตุบ ส่วนเสื้อผ้าสีขาวนวลที่นางหยิบมากลับถูกโครงไม้ของแผงรั้วกันลมลายหมึกวาดเกี่ยวเข้า ทำให้ชายเสื้อบางส่วนจุ่มลงไปในอ่างน้ำร้อนทันที
“ท่านใต้เท้าไป๋หลี่เจ้าคะ น้ำอุ่นพอดีหรือไม่”
เสียงสตรีที่ถูกดัดจนเล็กบางอย่างมีจริตลอยเข้าหูเฟิงอู๋โยว มันฟังดูเลี่ยนจนนางขนลุกไปทั้งตัว
นางไอกระแอมเบาๆ และกำลังจะตอบกลับ แต่กลับถูกเสียงบุรุษด้านนอกแย่งตอบก่อน
“หลบไป”
ไป๋หลี่เหอเจ๋อพูดเสียงทุ้มต่ำ น้ำเสียงบางเบาแต่เยือกเย็นสุดขั้ว
เฟิงอู๋โยวมองดูเงาร่างเรียวยาวด้านนอกประตูอย่างประหลาดใจ เพราะน้ำเสียงช่างคล้ายกับบุรุษที่บอกรักนางบนกำแพงตำหนักเซ่อเจิ้งหวางในคืนนั้น
เมื่อนึกถึง ‘กลอนรัก’ อันคลุมเครือของไป๋หลี่เหอเจ๋อตอนนี้ นางก็ยิ้มขึ้นอย่างเขินอายทันที
“โชคชะตามันช่างน่าอัศจรรย์ใจจริงๆ เมื่อคืนวันก่อนเขาเพิ่งเปลื้องหัวใจสารภาพความรู้สึกกับข้าไป วันนี้ข้ากลับได้สวมใส่เสื้อผ้าของเขา”
เฟิงอู๋โยวพูดงึมงำกับตัวเอง พร้อมกับพยายามบีบน้ำออกจากชายเสื้ออย่างเบามือ จากนั้นก็ถลกชายเสื้อที่ยาวเกินตัวขึ้นมาเหน็บไว้บนตัว
ด้านนอกห้อง สตรีผู้หนึ่งกำลังมองไป๋หลี่เหอเจ๋ออย่างอ่อนโยน “ท่านใต้เท้าไป๋หลี่เจ้าคะ ต้องการให้ข้ารับใช้ข้างกายหรือไม่เจ้าคะ”
“ออกไป”
คำพูดของไป๋หลี่เหอเจ๋อเริ่มเจือแววไม่สบอารมณ์ น้ำเสียงเย็นชาไม่เป็นมิตร ชนิดที่ผู้คนไม่กล้าเข้าใกล้
“เจ้าค่ะ”
สตรีตอบรับเสียงแผ่วเบาอย่างไม่ค่อยเต็มใจ หลังจากออกห่างจากไป๋หลี่เหอเจ๋อประมาณหนึ่งก็หันกลับมาพูดกับเขาอย่างมีความนัย “เพียงใจบุรุษสอดประสานใจสตรี อันสตรียินดีพิศวาสมิรู้คลาย”
ปึ้ง
ไป๋หลี่เหอเจ๋อไม่พูดอะไรขึ้นอีก เขาเลื่อนเปิดบานประตูเดินสะบัดชายแขนเสื้อเข้าไปในห้องอาบน้ำ จากนั้นก็ปิดกระแทกอย่างแรง
และในตอนนี้ ด้านในเรือนวิจิตรก็เหลือเพียงลมหายใจบางแผ่วจนแทบไม่ได้ยินของไป๋หลี่เหอเจ๋อ
เฟิงอู๋โยวรีบปิดปากและหดแข้งหดขา ปรับลมหายใจบางแผ่วหลบซ่อนอยู่ด้านหลังแผงรั้วกันลมในห้องอาบน้ำ
ไป๋หลี่เหอเจ๋อสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก ประสาทสัมผัสอันเฉียบคมของเขารับรู้กลิ่นคาวเลือดที่เจือจางอยู่ในอากาศในบัดดล
ดวงตาเย็นใสของเขาค่อยๆ กวาดมองไปรอบๆ และค่อยๆ เสาะหาสิ่งผิดสังเกตในห้องแคบๆ
หลังจากเป็นเวลาหนึ่งเค่อ ไป๋หลี่เหอเจ๋อได้ข้อสรุปมาว่าตัวเองคงคิดมากเกินไป จึงสงบสติอารมณ์และเดินไปที่ข้างๆ อ่างอาบน้ำ
เขาจ้องผิวน้ำที่ไหวกระเพื่อมอย่างแน่นิ่ง แล้วจู่ๆ ภายในห้องสมองก็ผุดภาพใบหน้าชวนหวั่นไหวของเฟิงอู๋โยวขึ้นมา
“แม้ดูแข็งกร้าวป่าเถื่อน แต่ก็สวยสดเปี่ยมด้วยชีวิตชีวายิ่งนัก”
มุมปากของไป๋หลี่เหอเจ๋อยิ้มเป็นมุมโค้งขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว เขาเลื่อนมือลงไปปลดเข็มขัด จากนั้นก็แขวนพาดผนังรั้วกันลมลายหมึกวาด
ทันใดนั้น ภาพชายเสื้อสีขาวนวลที่โผล่แล่บออกมาตรงขาตั้งแผงรั้วกันลมก็พุ่งเข้าสู่สายตาของไป๋หลี่เหอเจ๋อ ทำเอาเขาระวังตัวขึ้นเร็วพลัน จิตสังหารเอ่อล้นทันที
จ๊อกๆ
ไป๋หลี่เหอเจ๋อรวบชายเสื้อผ้าขึ้นก่อนก้าวลงไปในอ่างอาบน้ำทั้งๆ ที่ยังใส่เสื้อผ้าอยู่ เสียงน้ำไหวกระเพื่อม ไอควันพร่ามัว
เมื่อเฟิงอู๋โยวได้ยินเช่นนั้นก็ค่อยๆ ปลดระวังลง
ผ่านไปพักหนึ่ง เมื่อไม่ได้ยินความเคลื่อนไหวมาจากอ่างอาบน้ำอีก นางจึงรวบรวมความกล้าโผล่หน้าขึ้นไปบนแผงรั้วกันลมและจ้องมองร่างหนาใหญ่ของไป๋หลี่เหอเจ๋อที่กำลังแช่อยู่ในอ่างอาบน้ำ
ไป๋หลี่เหอเจ๋อสัมผัสได้ถึงสายตาที่จ้องมาจากแผงรั้วกันลมที่อยู่ด้านหลัง สายตาพลันนิ่งลง ทันใดนั้นเขาโจมตีด้วยขลุ่ยหยกโปรยบุหงาเข้าไปที่แผงรั้วกันลมประหนึ่งผ่ากระบอกไม้ไผ่ หมายจู่โจมเข้าไปที่คอของเฟิงอู๋โยว
โชคดีที่เฟิงอู๋โยวค่อนข้างตื่นตัวกับจิตสังหาร เมื่อสัมผัสได้ถึงสัญญาณอันตรายนางก็รีบหลบขลุ่ยหยกโปรยบุหงาอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้า
ก่อนหน้านี้ ไป๋หลี่เหอเจ๋อคิดอย่างได้ใจว่าหลังจากตัวเองลงมือไป แผงรั้วกันลมคงมีเลือดซึมออกมา
แต่นึกไม่ถึงว่าเงาร่างที่ซ่อนอยู่ด้านหลังแผงรั้วกันลมจะรวดเร็วเป็นลมกลดปานนี้!
อันที่จริง แม้เฟิงอู๋โยวจะเป็นพวกหลงใหลคนจากรูปโฉม แต่นางก็ไม่ชอบบังคับฝืนใจใคร แต่สาเหตุที่ทำให้นางต้องขืนใจจวินมั่วหรันในคืนนั้น ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะสถานการณ์บีบบังคับ
แต่ในสถานการณ์เฉกเช่นในตอนนี้ ต่อให้นางสรรหาคำอธิบายร้อยแปดพันเก้า ไป๋หลี่เหอเจ๋อก็คงไม่มีทางเชื่อ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ผนวกกับขี้เกียจอธิบายยืดเยื้อ นางจึงพูดออกไปอย่างสบายใจ “ไม่รู้ว่าเจ้าเชื่อหรือไม่ แต่ข้าไม่สนใจในเรือนร่างของเจ้า ตัวข้านั้นมีรูปร่างกำยำเป็นที่น่าพอใจแล้ว ไม่จำเป็นมาชื่นชมของของเจ้า”
“เฟิงอู๋โยวอย่างนั้นหรือ”
ครั้นไป๋หลี่เหอเจ๋อเห็นว่าผู้ที่มาเยือนคือเฟิงอู๋โยว ความโกรธก็ค่อยๆ หายไป
“มิน่าถึงติดโรคดอกหลิว ที่แท้แม่ทัพเฟิงก็หื่นกามเป็นนิสัย แม้ยามหลบหนีก็ไม่วายหาที่ลับสายตาท่องเสพสุข”
[1] เดรัจฉานสวมเสื้อผ้า หมายถึงคนที่ไร้ศีลธรรมจรรยา