ตอนที่ 85 เซ่อเจิ้งหวางบุกเรือนตี๋ซิง / ตอนที่ 86 ประจันหน้า
ตอนที่ 85 เซ่อเจิ้งหวางบุกเรือนตี๋ซิง
ณ เรือนตี๋ซิง กลางศาลาจื่อหยาง
ไป๋หลี่เหอเจ๋อเดินราวกับเหาะ เขาพาเฟิงอู๋โยวที่หมดสติอยู่มาวางบนเตียง แต่สายตากลับไม่ได้จดจ่ออยู่บนร่างกายของนาง
ฉู่ชีในชุดคลุมสีขาวถือกะละมังใส่น้ำเดินเข้าไปโค้งคำนับพลางเอ่ย “ท่านใต้เท้าต้องการล้างมือหรือไม่เจ้าคะ”
“อืม”
ไป๋หลี่เหอเจ๋อพยักหน้าเล็กน้อย มือขาวซีดทั้งสองข้างของตัวเองจุ่มลงไปในกะละมังน้ำ คิ้วงามได้รูปขมวดเข้าหากันอีกครั้ง
เขาชายตามองเฟิงอู๋โยวที่หมดสติอยู่บนเตียง กำชับฉู่ชีด้วยเสียงเคร่งขรึม “ไปตามฉู่จิ่วเข้ามาตรวจร่างกาย”
“เจ้าค่ะ”
ฉู่ชีไม่พูดอะไรขึ้นอีก โค้งคำนับอีกครั้งไป๋หลี่เหอเจ๋อหลังล้างมือเสร็จและจากไป
ไม่นานฉู่จิ่วก็สะพายกล่องไม้คร่ำครึใบหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างเหนื่อยหอบ “ท่านใต้เท้า หม่อมฉันมาแล้วเจ้าค่ะ”
ด้วยความสงสัย นางจึงเงยหน้ามองสังเกตเฟิงอู๋โยวที่นอนหมดสติอยู่บนเตียง
น่าแปลก ไฉนเป็นบุรุษไปได้ ฉู่จิ่วผละสายตาออก ภายในใจนึกสงสัยยิ่งนัก
ท่ามกลางศาลาจื่อหยาง มีเพียงสตรีสามคน นอกจากนางแล้วยังมีฉู่อีอีที่ถูกนำตัวมาจากหอนางโลมและฉู่สือซื่อที่ยังเด็กอยู่
ฉู่อีอีเป็นสตรีคร่ำประสบการณ์จากหอนางโลม ไม่มีทางรักษาพรหมจรรย์อันขาวสะอาดเอาไว้ได้แน่
ส่วนฉู่สือซื่อก็อายุยังไม่ถึงสิบห้าปี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพรหมจรรย์อันขาวบริสุทธิ์ในตัวนาง
แล้วไป๋หลี่เหอเจ๋อจะให้ตรวจร่างกายใครกันแน่
หรือว่าคนที่เขาต้องการให้ตรวจร่างกายจะเป็นบุรุษรูปงามที่นอนอยู่บนเตียงผู้นั้น
เมื่อฉู่จิ่วคิดได้เช่นนี้ก็ถึงกับปวดขมับขึ้นมาทันที นางเชี่ยวชาญการแพทย์และเชี่ยวชาญการตรวจร่างกายสตรีก็จริง
แต่นางไม่รู้วิธีตรวจร่างกายบุรุษเท่าไรนัก
“ตรวจร่างกายเสีย”
ไป๋หลี่เหอเจ๋อนั่งลงที่โต๊ะด้านหน้าพลางเอ่ยเสียงเรียบ
“คือว่า…”
ฉู่จิ่วคล้ายอยากพูดอะไร แต่นางก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของไป๋หลี่เหอเจ๋อ
ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดนางก็เดินเข้ามาที่หน้าเตียงและปลดเสื้อของเฟิงอู๋โยวออก
เมื่อนางเห็นผ้ารัดหน้าอกที่รัดแน่นอยู่บนร่างกายเฟิงอู๋โยวก็ถอนหายใจออกอย่างโล่งอก “ที่แท้เป็นสตรีนี่เอง!”
ทันทีไป๋หลี่เหอเจ๋อที่กำลังยกแก้วชาร้อนผ่าวขึ้นจิบได้ยินเช่นนั้น ก็คลี่ยิ้มอย่างลุ่มลึกขึ้น
จริงด้วย เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด เฟิงอู๋โยวเป็นสตรี
เขาไม่เคยเข้าใกล้สตรีและไม่ชอบสตรี
แต่เพื่อกำจัดคนที่เขาเกลียดอย่างจวินมั่วหรัน เขาก็ไม่ถือหากต้องทำอะไรกับเฟิงอู๋โยว
“ท่านใต้เท้าเจ้าคะ สตรีผู้นี้ไม่ใช่สาวพรหมจรรย์เจ้าค่ะ”
เสียงของฉู่จิ่วสั่นคลอนเล็กน้อยเพราะกลัวไป๋หลี่เหอเจ๋อโมโหและสาดอารมณ์ใส่นาง
เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าไป๋หลี่เหอเจ๋อเป็นพวกรักความสะอาดเข้าเส้น ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสิ่งของ หากถูกแตะต้องหรือผ่านมือผู้อื่นมาก่อน คนอย่างไป๋หลี่เหอเจ๋อไม่มีทางแตะต้องแน่นอน
“อ่อ ดูเหมือนว่าข้าคงไม่ต้องลงมือเองเสียแล้ว เฟิงอู๋โยวคงไม่มีค่ามากพอที่จะเอามาใช้แล้ว”
ไป๋หลี่เหอเจ๋อวางถ้วยชาในมือลงพลางอุทานเสียงแผ่ว “น่าเสียดาย”
พอรู้ว่าเฟิงอู๋โยวไม่บริสุทธิ์ ไป๋หลี่เหอเจ๋อก็หมดความสนใจในตัวนางจนแทบไม่อยากชายตามอง
“เอานางไปโยนทิ้งเสีย”
ไป๋หลี่เหอเจ๋อลุกขึ้นเอามือไพล่หลังพลางเอ่ยเสียงเรียบ
“เจ้าค่ะ”
ฉู่จิ่วเหลือบมองดูเฟิงอู๋โยวที่นอนหมดสติอยู่บนเตียงพลางแอบหวั่นใจ
นางอาศัยจังหวะตอนที่ไป๋หลี่เหอเจ๋อไม่ทันสังเกตค่อยๆ ใส่เสื้อผ้าให้เฟิงอู๋โยวอย่างระมัดระวัง เพราะไม่อยากให้นางถูกลวนลามทางสายตา
“ฉู่จิ่ว เอาพู่กันมาด้วย จำเป็นต้องบันทึกภาพรายละเอียดทุกอย่างที่นางประสบพบเจอ”
“เจ้าค่ะ”
ฉู่จิ่วรู้สึกกลุ้มใจ ไป๋หลี่เหอเจ๋อที่สุขุมลุ่มลึกมาตลอด ไฉนถึงสั่งให้นางทำเรื่องน่าไม่อายเช่นนี้
กลุ้มใจก็ส่วนกลุ้มใจ แต่นางก็ยังทำตามที่ไป๋หลี่เหอเจ๋อสั่งโดยการแบกเฟิงอู๋โยวออกไปจากศาลาจื่อหยาง
ไป๋หลี่เหอเจ๋อยืนอยู่ตรงระเบียงทางเดินเรือนตี๋ซิง สองมือกำขอบระเบียบเย็นเยียบ ดวงตาจ้องมองทิวทัศน์เมืองหลวงอันรุ่งโรจน์อย่างเหม่อลอย
ไม่รู้เป็นเพราะอะไร เมื่อรู้ว่าเฟิงอู๋โยวเสียพรหมจรรย์แล้ว ภายในใจของเขาราวกับมีก้อนหนาทึบผุดขึ้นมาจนหายใจติดขัด
ฉู่ชีวิ่งเข้ามาจากด้านหลังและพูดขึ้นอย่างลนลาน “ท่านใต้เท้าเจ้าคะ เซ่อเจิ้งหวางบุกเข้ามาที่ศาลาจื่อหยางเจ้าค่ะ ทำเอาทั้งสตรีและเด็กที่เข้าไปขว้างทางตกใจขวัญผวาไปตามๆ กันเลยเจ้าค่ะ”
“ตกใจอะไรกัน ข้าไปได้โง่ขุนนางจิ้นเสียหน่อย เขาไม่มีทางจับพิรุธข้าได้หรอก” ไป๋หลี่เหอเจ๋อพูดขึ้นเสียงต่ำ ใบหน้าไร้ความรู้สึก
“แต่…ดูเหมือนว่าเซ่อเจิ้งหวางจะสนใจท่านชายที่ท่านพามามากเลยนะเจ้าคะ”
เมื่อฉู่ชีนึกถึงสีหน้าเหี้ยมโหดของจวินมั่วหรันก็ตัวสั่นไปทั้งตัว หวาดกลัวจนแข้งขาอ่อน
ไป๋หลี่เหอเจ๋อหันกลับมามองเล็กน้อย ผมเผ้าสยายไปด้านหลัง แววรังเกียจในดวงตาพลันสลายไปราวกับควัน จากนั้นก็กลับมาดูสุขุมเหมือนปกติ
ริมฝีปากบางๆ ของเขาเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ “ข้าจะไปต้อนรับเขาเอง”
ตอนที่ 86 ประจันหน้า
ท่ามกลางแสงสะท้อนวิบไหวจากผิวน้ำ ไป๋หลี่เหอเจ๋อสวมใส่ชุดคลุมยาวสีพื้น ผ้าสีอ่อนบางๆ ที่คล้องคออยู่โบกสะบัดพลิ้วไหวตามแรงลม
ใบหน้าอันผ่อนคลายของเขาสะท้อนความงามสง่าและสุขุมลุ่มลึกราวกับผู้รู้แจ้งในทุกสรรพสิ่ง
จวินมั่วหรันยืนพิงกำแพงในโถงศาลาจื่อหยาง มวลความหงุดหงิดแผ่ซ่านออกมาทั่วทั้งตัว ขัดแย้งกับบรรยากาศอันสงบสุขในศาลาจื่อหยางอย่างสิ้นเชิง
เขาชายตามองไป๋หลี่เหอเจ๋อที่เดินกึ่งลอยเข้ามาด้วยสายตาเย็นชา น้ำเสียงชั่วร้ายที่อัดแน่นไปด้วยมวลพลังอันรุนแรงเปล่งขึ้น ทำเอาคนที่ได้ยินหวั่นผวาไปตามๆ กัน “ไป๋หลี่เหอเจ๋อเจ้ากล้าแตะต้องคนของข้าด้วยหรือ”
“ท่านใต้เท้าขอรับ การที่ท่านกระทำเรื่องพรรค์นี้ภายในศาลาของกระหม่อม ก็ถือเป็นการทำให้เชื้อพระวงศ์แปดเปื้อน ทำลายจารีตอันดีงามของตระกูลจี้มั่ว เกรงว่าน่าจะเป็นการกระทำอันอุกอาจในแคว้นตงหลินที่ไม่อาจลืมเลือนเลยนะขอรับ”
“ไป๋หลี่เหอเจ๋อ ข้าจะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เฟิงอู๋โยวอยู่ที่ใด”
“กระหม่อมต้องเป็นฝ่ายถามท่านมากกว่าว่านางอยู่ที่ใด” ไป๋หลี่เหอเจ๋ออมยิ้มเบาบาง ใบหน้าแลดูสบายใจไร้แววกังวล
“ซือมิ่ง ค้นเรือน”
จวินมั่วหรันไม่ต่อความยาวสาวความยืด นิ้วมือของเขาเคาะคานระเบียงทางเดินอย่างไม่รู้ตัว สีหน้าซ่อนเงื่อนงำยากเกินหยั่งถึง
บริเวณพื้น มีนักพรตชายหกคนนอนตายตาเหลือกเกลื่อนพื้น มีเลือดไหลซึมออกมาจากทวารทั้งเจ็ด
ฉู่ชีที่อยู่ด้านหลังไป๋หลี่เหอเจ๋อจ้องมองศพที่นอนตายเกลื่อนพื้นด้วยดวงตาแดงก่ำ มือทั้งสองข้างกำแน่น แม้โมโหแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร
สำหรับนางแล้ว คนที่ตายแทบเท้าจวินมั่วหรันก็คือบรรดาพี่น้องที่โตมาด้วยกัน
แต่สำหรับไป๋หลี่เหอเจ๋อก็แค่หมารับใช้หกตัว
เขาไม่สนใจความเป็นความตายของคนพวกนี้แม้แต่น้อย แต่การที่จวินมั่วหรันบุกเข้ามาที่ศาลาจื่อหยางอย่างอุกอาจเช่นนี้ ถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่ไว้หน้ายิ่งนัก
ด้วยเหตุนี้ ต่อให้เป็นคนที่เชี่ยวชาญการข่มกลั่นสีหน้าอารมณ์อย่างไป๋หลี่เหอเจ๋อก็ไม่อาจทนได้ไหว “กฎแห่งสวรรค์ย่อมลงทัณฑ์ผลกรรมอันบาปหนา วันนี้ท่านใช้อำนาจเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์มากมาย ท่านไม่กลัวไพล่ฟ้าชาวประชารุมประจานอย่างนั้นหรือ”
“จุยเฟิง อ่าน”
ดวงตาดำสนิทลุ่มลึกของจวินมั่วหรันวาวประกายเจือความคลุ้มคลั่ง ในทุกท่วงท่ากิริยาของเขาอัดแน่นไปด้วยรังสีราชา ยิ่งใหญ่องอาจ บ้าบิ่นคลุ้มคลั่ง ชนิดที่ใครเห็นต่างต้องก้มหัวให้
ผู้คนทั่วใต้หล้าต่างขนานนามให้เขาและไป๋หลี่เหอเจ๋อ เป็นสองบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ทรงอิทธิพลแห่งแคว้นตงหลิน
แต่อันที่จริงแล้ว ศักยภาพของไป๋หลี่เหอเจ๋อด้อยกว่าของจวินมั่วหรันอยู่มาก
ครั้นจุยเฟิงได้ยินเช่นนั้นก็ควักม้วนกระดาษออกมาจากใต้แขนเสื้อ
“มือของฉู่อีแห่งเรือนจื่อหยางแปดเปื้อนเลือดเนื้อของผู้คนนับร้อย ทั้งหมดล้วนถูกบันทึก ฉู่เอ้อแห่งเรือนจื่อหยางทารุณเข่นฆ่าผู้คนนับพัน…ฉู่ลิ่วแห่งเรือนจื่อหยางกระทำชำเลาสตรี ภายในหนึ่งปี เขาได้วางยาสตรีไปแล้วกว่าห้าสิบคน สามสิบเก้าคนในนั้นติดพิษรุนแรงจนไม่อาจรักษาได้”
แม้จุยเฟิงจะอ่านรายงานออกมา แต่สีหน้าของไป๋หลี่เหอเจ๋อยังคงเรียบนิ่ง “หากต้องการลงโทษก็ทำได้เลย ไฉนต้องรายงาน”
ไป๋หลี่เหอเจ๋อไม่ได้อยู่ในสายตาของจวินมั่วหรันแม้แต่น้อย แต่เขารู้ดีว่าไป๋หลี่เหอเจ๋อเป็นคนลุ่มลึกยากเกินหยั่งถึง เขาไม่มีทางเลี้ยงดูคนไร้ประโยชน์แน่นอน
แต่ทั้งนี้ทั้ง ถ้าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวข้องกับเฟิงอู๋โยว ต่อให้ไป๋หลี่เหอเจ๋อจะเลี้ยงดูคนแบบไหนไว้ใต้บังคับบัญชา จวินมั่วหรันก็หาได้สนใจเขาไม่
แต่ถ้าหากกากระทำของเขาทำให้ตระกูลเชื้อพระวงศ์อย่างตระกูลจี้มั่วแปดเปื้อนเสื่อมความศรัทธา สุดท้ายปัญหาทั้งหมดก็หนีไม่พ้นเขาอยู่ดี
“ท่านใต้เท้า แม่ทัพเฟิงไม่อยู่ที่นี่ขอรับ”
ซือมิ่งค้นหาทั่วทั้งศาลาจื่อหยาง แต่ก็ยังหาไม่เจอแม้แต่ร่องรอยอย่างเฟิงอู๋โยว ครั้นแล้วจึงกลับมาที่โถงศาลาเพื่อรายงานผล
ดวงตาของจวินมั่วหรันลุ่มลึกลงยิ่งกว่าเดิม เมื่อคิดว่าเฟิงอู๋โยวอาจต้องเผชิญความทารุณอันรุนแรงขึ้นมา ภายในใจของเขาก็ว้าวุ่นใจยิ่งนัก
“กลับ”
จวินมั่วหรันลุกขึ้นพรวด จากนั้นก็ก้าวข้ามศพที่ยังอุ่นซ่านออกจากนอกศาลาจื่อหยางอย่างไม่เหลียวกลับมามอง เขาไม่สนใจไป๋หลี่เหอเจ๋อที่สีหน้าเยือกเย็นดุจน้ำแข็งพันปี
“ท่านใต้เท้าจะปล่อยเซ่อเจิ้งหวางไปแบบนี้เลยหรือเจ้าคะ”
ฉู่ชีขอบตาแดงเรื่อ นางบ่นอย่างไม่ยอมอยู่ข้างๆ ไป๋หลี่เหอเจ๋อ
ไป๋หลี่เหอเจ๋อแสยะยิ้มพลางเอ่ย “ฉู่ชี หากข้าคิดจะแก้แค้น สิบปีก็ยังไม่สาย ตอนนี้ข้ารู้จุดอ่อนของเซ่อเจิ้งหวางแล้ว สักวันหนึ่งข้าจะทำลายเขาให้ย่อยยับเอง!”
น้ำเสียงของไป๋หลี่เหอเจ๋อเพิ่งจะสิ้นสุดลงไม่นาน จวินมั่วหรันก็ย้อนกลับมาอย่างไม่คาดคิด
ดวงตาดำสนิทของเขาเรืองวาวฉายแววกระหายเลือด “ไป๋หลี่เหอเจ๋อ ขืนเจ้าริอาจทำร้ายเขาแม้แต่นิดเดียว ข้าผู้นี้จะทำลายศาลาจื่อหยางของเจ้าให้ราบคาบเป็นหน้ากลอง!”
“เซ่อเจิ้งหวางอย่างท่านใต้เท้าเริ่มรู้จักความรักแล้วหรือ” ไป๋หลี่เหอเจ๋อสัมผัสได้ถึงมวลความโกรธที่แผ่ซ่านออกมารอบตัวจวินมั่วหรันเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จึงย้อนถามกลับไปอย่างเย้าหยอก
ฟุบ!
จวินมั่วหรันเค้นกำลังภายใน ฟาดฝ่ามือผ่าวายุที่อัดแน่นไปด้วยจิตสังหารเต็มเปี่ยมไปที่หน้าอกของไป๋หลี่เหอเจ๋อ
“เป็นเพียงราชครูก็จงเจียมตัว”
“ถ้าท่านใต้เท้าหาอู๋โยวเจอ ได้โปรดอย่าบอกนางว่ากระหม่อมได้รับบาดเจ็บเชียวนะขอรับ เพราะนางกับกระหม่อมเคยสัมผัสแนบชิดกันมาก่อน หากนางรู้ว่ากระหม่อมได้รับบาดเจ็บ คงต้องปวดใจเป็นแน่” ไป๋หลี่เหอเจ๋อกุมหน้าอกตัวเองพลางพูดอย่างอ่อนโยน
“ราชครูอย่างเจ้าเป็นพวกฝันกลางวันด้วยหรือ”
เมื่อจวินมั่วหรันนึกถึงตอนที่เฟิงอู๋โยวยอมรับว่าเคยหลับนอนกับไป๋หลี่เหอเจ๋อ ภายในใจก็หงุดหงิดขึ้นมา
แต่ว่าไป๋หลี่เหอเจ๋อมีกองกำลังหนุนหลังที่ค่อนข้างซับซ้อน ดังนั้นจวินมั่วหรันไม่คิดจะตีรังแตนในช่วงเวลาที่ไม่พร้อม
ในเมื่อได้ระบายอารมณ์ใส่เขาไปแล้ว ความหงุดหงิดภายในใจก็เริ่มทุเลาลงและไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด ครั้นแล้วจึงสะบัดแขนเสื้อก่อนจากไป
พรวด!
เมื่อจวินมั่วหรันจากไป ไป๋หลี่เหอเจ๋อก็สำลักเลือดออกมาเต็มปาก
“ท่านใต้เท้าเจ้าคะ!”
“ไม่เป็นไร รีบไปตามฉู่จิ่วที่ชานเมืองและสั่งให้นางวาดบันทึกภาพร่องรอยการเสียพรหมจรรย์ของเฟิงอู๋โยวให้ละเอียด ข้าอยากรู้เหลือเกินว่าจวินมั่วหรันจะทำบ้าอำนาจไปถึงเมื่อใด!”
ไป๋หลี่เหอเจ๋อกระอักไออย่างหนักหน่วง เลือดแดงสดไหลซึมออกจากมุมปากตัดกับสีผิวขาวผ่องดุจหิมะของเขา สภาพของเขาแลดูเหมือนพวกขี้โรคยิ่งนัก