ตอนที่ 87 นางตื่นแล้ว
“เจ้าค่ะ”
ฉู่ชีพยักหน้าเล็กน้อยก่อนเดินออกไปด้านนอกศาลาจื่อหยาง
“ระวังตัว”
ไป๋หลี่เหอเจ๋อถอนหายใจก่อนพูดเสียงต่ำ “ช่างเถิด เดี๋ยวข้าไปดูเอง”
“แต่ว่า…บาดแผลบนตัวท่านใต้เท้า…”
“ไม่ถึงตายหรอก ก็แค่ซี่โครงหันไปสามซี่เท่านั้น”
ไป๋หลี่เหอเจ๋อหัวเราะอย่างเย้ยหยัน เขาไม่สนใจร่างกายของตัวเองสักนิด
ตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อหกปีก่อนครั้งนั้น เขาไม่เพียงโหดร้ายกับคนอื่น แต่เขายังโหดร้ายกับตัวเองด้วย
ฉู่ชีมองแผ่นหลังอันทระนงของไป๋หลี่เหอเจ๋อพลางรู้สึกเจ็บแปลบอย่างบอกไม่ถูก
ภายในเวลาเพียงหนึ่งวัน เขาสูญเสียพี่น้องที่ใช้ชีวิตคลุกคลีกันมาถึงหกคน ราวกับเหตุการณ์นี้มันทำให้คนสุขุมลุ่มลึกอย่างไป๋หลี่เหอเจ๋อย้อนกลับไปยังฝันร้ายเมื่อหกปีก่อน
นางรู้ตั้งแต่ตอนแรกแล้วว่าหากยังติดตามรับใช้ไป๋หลี่เหอเจ๋อต่อไป ท้ายที่สุดแล้วต้องพบเจอกับสภาพแบบนี้เข้าสักวัน
หากต้องโทษใครสักคน คงต้องโทษตัวนางเองที่ติดลมกับการใช้ชีวิตอย่างผาสุกมาตลอดหลายปี
ความสงบสุขเพียงเปลือกนอกของศาลาจื่อหยางทำให้นางเข้าใจผิดว่าไป๋หลี่เหอเจ๋อหลงลืมและละทิ้งการแก้แค้นไปตั้งนานแล้ว ทำให้นางเข้าใจผิดว่าพวกนางคงจะต้องใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในศาลาจื่อหยางต่อไปและตายลง ณ ที่แห่งนี้เช่นกัน
…
ณ ถ้ำขอทานที่ชานเมืองแห่งแคว้นตงหลิน
ตอนที่เฟิงอู๋โยวถูกโยนลงไปที่ปากถ้ำ นางยังคงไม่ได้สติ
ฉู่จิ่วซ่อนตัวอยู่ด้านหลังพุ่มไม้ข้างๆ ปากถ้ำ มือข้างหนึ่งถือกระดาษ ข้างหนึ่งถือพู่กัน สายตาจ้องมองไปที่ปากถ้ำอย่างจดจ่อ
โดยปกติฉู่จิ่วไม่ใช่คนใจอ่อน แต่นางกับเฟิงอู๋โยวเป็นสตรีเหมือนกัน
บางทีอาจเป็นเพราะความสงสาร นางจึงหวังจากใจจริงให้เฟิงอู๋โยวตื่นเร็วๆ และหนีไปจากถ้ำขอทานที่เต็มไปด้วยอันตรารอบด้านให้เร็วที่สุด
แต่พอคิดๆ ดูแล้ว โอกาสที่จะเป็นเช่นนั้นเท่ากับศูนย์
เพราะไป๋หลี่เหอเจ๋อเป็นคนปรุงยาสลบด้วยตัวเอง เมื่อคนทั่วไปโดนเข้า หากนอนหลับไม่ครบหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มก็ไม่มีทางได้สติกลับคืนมาแน่นอน
และในตอนนั้นเอง บุรุษในชุดขาดลุ่ยคนหนึ่งที่กำลังบิดขี้เกียจก็เดินออกมาจากถ้ำอย่างเกียจคร้าน
เขาปัดผมที่จับตัวเป็นก้อนเกรอะกรังที่ตกลงมาปิดใบหน้าตัวเองออก ดวงตาหรี่ลงจับจ้องเฟิงอู๋โยวที่หมดสติอยู่ที่หน้าปากถ้ำ
“เด็กหนุ่มนี่มาจากไหนกัน ขาวนวลดีจัง!”
บุรุษคลี่ยิ้มอย่างชั่วร้าย จากนั้นก็หันตะโกนเข้าไปในถ้ำ “พี่น้องทั้งหลาย มื้อนี้มีเนื้อกินแล้ว ยังไม่รีบออกมาอีก”
เขาตะโกนขึ้นพลางนั่งยองๆ ลง จากนั้นก็ยื่นมือสกปรกๆ เข้าไปหมายจับแก้มอันขาวเนียนของเฟิงอู๋โยว ใบหน้าค่อยๆ เผยรอยยิ้มหื่นกามขึ้นเรื่อยๆ
ฟุบ!
หอบลมกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูง
มือของชายผู้นั้นยังเอื้อมไม่ถึงหน้าผากเฟิงอู๋โยวก็ถูกกริชสั้นคมกริบพุ่งเสียบทะลุมือทันที
“อ้าก…เป็นใครกัน ใครคิดจะฆ่าข้า!”
บุรุษร้องครวญคราง เขาชำเลืองมองกริชสั้นแวววาวกลางมือจนแทบจะฉี่ราด
ฉู่จิ่วสัมผัสได้ถึงความผิดปกติจากด้านหลัง พอหันกลับไปมองก็พบกับไป๋หลี่เหอเจ๋อที่แผ่ซ่านรังสีอำมหิตออกมาท่วมทั้งตัว ในขณะที่ในมือยังกำฝักกริชแน่น
“ท่านใต้เท้า?”
ฉู่จิ่วมองไป๋หลี่เหอเจ๋ออย่างตกใจ ภายในใจพลันนึกสงสัยขึ้นมา เขาต้องการให้เฟิงอู๋โยวถูกกระทำชำเราไม่ใช่หรือ แล้วทำไมถึงโผล่มาอยู่ที่นี่ได้
“ถอยออกมา”
ไป๋หลี่เหอเจ๋อพูดขึ้นเสียงเรียบเย็น สีหน้าเรียบนิ่ง
“เจ้าค่ะ”
ฉู่จิ่วรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ภายในชั่วพริบตา นางถอยออกมาอย่างไร้ร่องรอย
ณ ปากถ้ำ เหล่าบุรุษในชุดขาดลุ่ยรุงรังที่ได้ยินเสียงเอะอะก็ทยอยพากันออกมาหลายสิบคน
พวกเขามองบุรุษที่ล้มหมดสติเพราะความเจ็บปวดอยู่ข้างๆ เฟิงอู๋โยว จากนั้นก็หันกลับไปมองเฟิงอู๋โยวด้วยสายตาหื่นกระหาย
“ผิวพรรณขาวเนียนดีจัง แต่เสียดายเป็นบุรุษ”
“เหอะ เป็นบุรุษแล้วมันทำไมกัน ฟังข้านะ ขอแค่ทำข้าเสร็จก็พอแล้ว!”
“ใช่ ข้าว่าเจ้าหนูนี่ดูดีกว่าพวกสตรีที่หอนางโลมเสียอีก”
…
ไป๋หลี่เหอเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เขาต้องการวาดบันทึกภาพ สภาพตอนที่เฟิงอู๋โยวถูกกระทำชำเราและส่งภาพม้วนนี้ไปให้จวินมั่วหรันเพื่อปั่นป่วนสภาพจิตใจของเขา
แต่ดูเหมือนไป๋หลี่เหอเจ๋อจะตัดใจปล่อยให้นางถูกกระทำอย่างทารุณโหดร้ายจนบาดเจ็บไม่ได้
ในขณะที่เขายังตัดสินใจไม่ได้นั้น พวกบุรุษก็พากันยืนล้อมเฟิงอู๋โยวอยู่หน้าปากถ้ำเรียบร้อยแล้วและกำลังจะทำไม่ดีไม่ชอบกับนาง
ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานนี้เอง อยู่ๆ ดวงตาทั้งสองข้างของเฟิงอู๋โยวก็เบิกกว้าง
นางมองกวาดดูรอบๆ อย่างระมัดระวัง ครั้นตระหนักได้ว่าตัวเองถูกพาตัวมายังพื้นที่รกร้างแถบชานเมือง จิตสังหารอันเข้มข้นก็เอ่อทะลักออกมาจากดวงตาทันที
“บัดซบ บังอาจมาเล่นงานข้า!”
นางโมโหจนลมหายใจฟืดฟาดสอดแทรกออกมาตามไรฟัน นางไม่สนใจพวกชายขอทานรอบตัวที่กำลังจะเล่นงานนางแม้แต่น้อย
“เจ้าหนู ไหนยิ้มให้ข้าซิ”
เมื่อชายขอทานคนหนึ่งเห็นเฟิงอู๋โยวตื่นขึ้นมาก็พูดจาหยอกเย้านางอย่างสนุก
เฟิงอู๋โยวทำเหมือนไม่ได้ยิน นางก้มหน้ามองเข้าไปในช่องกระเป๋าใต้ชายเสื้อด้านหน้าและนับเงินกระดาษที่ซ่อนอยู่อย่างจริงจัง
เมื่อเห็นว่าเงินกระดาษยังอยู่ครบ อารมณ์ของนางก็กลับตาลปัตรฉับพลัน จิตสังหารสลายหายไป ซ้ำยังหันไปยิ้มยิงฟันอย่างให้ความร่วมมือ
ครั้นนางยิ้มร่าก็ยิ่งทำให้ชายขอทานรอบๆ ฮือฮาได้ใจไปกันใหญ่
“สวยงามจริงๆ ผิวพรรณก็ดูนุ่มนวลอิ่มน้ำ”
ชายขอทานผอมเตี้ยคนหนึ่งจ้องมองใบหน้าอันสวยงามของเฟิงอู๋โยวอย่างเอ่ยชมไม่หยุด
เฟิงอู๋โยวที่ได้ยินเช่นนั้นจึงยิ้มพริ้มพราว จากนั้นก็ใช้นิ้วจิ้มแก้มของตัวเอง “ไม่ขนาดนั้นหรอก! แต่ถึงอย่างนั้น ผิวพรรณนวลผ่องของข้าก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เกิดแล้ว”
“ฮ่าๆๆ…”
คำพูดของนางทำเอาเหล่าชายขอทานพากันหัวเราะอย่างชอบใจไปตามๆ กัน
ตอนนี้สีหน้าของไป๋หลี่เหอเจ๋อที่หลบอยู่หลังพุ่มไม้เริ่มแปลกใจขึ้นเรื่อยๆ
หากเฟิงอู๋โยวเป็นบุรุษจริงๆ ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่นี่นางเป็นสตรี
ถ้าเป็นสตรีคนอื่นถูกพวกบุรุษรายล้อมด้วยท่าทางหื่นกระหายแบบนี้ คงร้องไห้จนทำอะไรไม่ถูกไปตั้งนานแล้ว
แต่เฟิงอู๋โยวกลับไม่สะทกสะท้านใดๆ ทั้งสิ้น ซ้ำยังพูดหยอกเล่นกับคนพวกนี้และชมว่าผิวพรรณตัวเองดีอีก!
ไป๋หลี่เหอเจ๋อเกิดกระวนกระวายใจขึ้นมา ทำเอาสำลักเลือดออกมาอีกครั้ง
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีทางปล่อยให้สตรีที่เคยลวนลามตัวเองถูกชายขอทานกลุ่มนี้กระทำไม่ดีไม่ชอบต่อหน้าต่อตาแน่นอน
ใช่แล้ว ไม่มีทางปล่อยให้เป็นเช่นนั้นแน่นอน!
ทุกสรรพสิ่งที่ข้องเกี่ยวกับไป๋หลี่เหอเจ๋ออย่างเขา จำเป็นต้องสะอาดผุดผ่อง!
พูดไปก็น่าขำ
ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนวางแผนทำให้เฟิงอู๋โยวตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย แต่ยังไม่ถึงครึ่งค่อนวัน ดูเหมือนเขาจะนึกเสียใจภายหลังขึ้นมาเอง
แม้แต่ไป๋หลี่เหอเจ๋อก็ไม่เข้าใจตัวเองเช่นกัน คนที่จิตใจมั่นคงแกร่งกล้าดั่งหินผาอย่างตัวเอง ไฉนอยู่ ๆ ถึงใจอ่อนกับนางได้