ตอนที่ 89 ทุกการกระทำย่อมมีผลกรรม
ทันทีที่น้ำเสียงของเฟิงอู๋โยวสิ้นสุดลง บรรดาบุรุษขอทานที่อยู่ข้างหลังก็นึกสนุกขึ้นมาอีกระลอก
ใบหน้าของพวกเขาเผยยิ้มเจ้าเล่ห์ จากนั้นก็กรูเข้าหาไป๋หลี่เหอเจ๋อเป็นโขยง
ภายในช่วงเวลาอันรวดเร็ว กลิ่นเหม็นสาบเตะจมูกพัดโชยเข้ามารายล้อม
ใบหน้าขาวซีดของเขาโมโหจนแดงเลือดฝาดขึ้นรำไร รูม่านตาหดเกร็ง สะท้อนแววโกรธจัด
“เฟิงอู๋โยว เจ้าทำเกินไปแล้ว!”
“ข้าต้องเอาคืน เจ้าอยากเห็นฉากข้าถูกข่มขืนนักไม่ใช่หรือ เช่นนั้นเจ้าก็เล่นฉากนี้ด้วยตัวเองหน่อยเป็นไร”
เฟิงอู๋โยวยิ้มมุมปากอย่างเหี้ยมโหด
คนที่คิดเล่นงานนาง ต่อให้เล่นงานไม่สำเร็จ ก็ถือเป็นโทษมหันต์เช่นกัน
เพียงพริบตา นางอาศัยจังหวะที่ไป๋หลี่เหอเจ๋อไม่ทันตั้งตัว ปาเข็มเงินสกัดจุดลมปราณของเขา
นี่เป็นครั้งแรกที่นางใช้วิชาจี้จุดลมปราณจากความทรงจำของเจ้าของร่างคนเก่า
การตอบสนองฉับไวและผลลัพธ์ก็ไม่เลว
เงยหน้ามองไป พบว่าไป๋หลี่เหอเจ๋อตัวแข็งทื่อเป็นท่อนไม้แล้ว เขาถูกวิชาจี้จุดลมปราณเล่นงานจนขยับตัวไม่ได้ ทำเอาเฟิงอู๋โยวตีมืออย่างชอบใจ “ทุกการกระทำย่อมมีผลกรรม และข้าก็คือเจ้ากรรมนายเวรของเจ้า”
“…”
ไป๋หลี่เหอเจ๋อตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ อยู่ๆ เขาก็เกิดสงสัยในตัวเฟิงอู๋โยวขึ้นมา
นางเป็นถึงพลทหารอายุน้อยผู้มีชื่อเสียงเกรียงไกรแห่งแคว้นเป่ยหลี ไฉนถึงไม่ใช้กำลังภายในเล่นงานเขา
บรรดาบุรุษขอทานที่หื่นกามขึ้นสมอง คิดว่าไป๋หลี่เหอเจ๋อถูกจี้จุดลมปราณเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ความเกรงกลัวเสี้ยวสุดท้ายของพวกเขาก่อนหน้า ถึงกับมลายหายไปเป็นปลิดทิ้ง
“ทุกการกระทำย่อมมีผลกรรมตามมา ร่างกายของเจ้าเป็นของข้าแล้ว!”
บุรุษขอทานที่เป็นหัวหน้าใหญ่พุ่งเข้าหาไป๋หลี่เหอเจ๋อที่มีสภาพ ‘อ่อนแออ้อนแอ้น’
เฟิงอู๋โยวหันกลับไปและกระโดดขึ้นไปบนกองฟาง ปากคาบก้านดอกหญ้าหางหมาเล่น พลางมองดูไป๋หลี่เหอเจ๋อที่ถูกรายล้อมอยู่หน้าปากถ้ำ
“ไสหัวไป”
น้ำเสียงเย็นชาของไป๋หลี่เหอเจ๋อเจือแววหนาวเหน็บ ทำเอาคนที่ได้ยินเสียวสันหลังวาบไปตามๆ กัน
ทว่าตอนนี้ร่างกายของเขาบาดเจ็บสาหัส เสื้อผ้าที่สวมใส่เปื้อนคราบเลือด
มองดูจากไกลๆ คล้ายหญิงสาวที่เปรียบเสมือนดอกไม้ถูกพัดเหวี่ยงไปมาท่ามกลางสายลมฝน ช่างดูอ่อนแอปวกเปียกยิ่งนัก
บรรดาบุรุษหื่นกามผู้หิวกระหายจนหน้ามืด ต่างรู้สึกว่าโชคลาภหล่นทับตัวเอง ได้มีโอกาสพบเจอความงดงามอันหาดูได้ยากแบบนี้ทั้งที เมื่อได้ยินคำว่า ‘ไสหัวไป’ ที่อัดแน่นไปด้วยจิตสังหารอันเยือกเย็นเช่นนี้ก็พากันล้อเล่นสนุกปาก
“โห! เป็นคนงามที่เย็นชาดั่งผาน้ำแข็งเหลือเกิน”
“ช่างพิเศษยิ่งนัก! เดี๋ยวข้าจะให้ความรักแก่เจ้าเอง”
“ฮ่าๆๆ…”
ไป๋หลี่เหอเจ๋อโกรธจัด ผมยาวที่ถูกรวบ ถูกลมคลั่งพัดใส่จนแตกสยาย เสื้อผ้าทั้งตัวที่ราวกับมีไอดำแผ่ซ่านออกมา ปลิวไสวตามแรงลม ส่งเสียงดังพึ่บพั่บ
แม้เขาจะยืนอยู่บนที่ราบ แต่ทำให้คนรอบๆ คล้ายเกิดภาพหลอน
คล้ายกับเขากำลังเคลื่อนไหวสลับไปสลับมาอย่างรวดเร็วจนแทบมองตามไม่ทัน
เฟิงอู๋โยวรับรู้ได้ทันทีว่าวิชาจี้จุดลมปราณของนางเล่นงานไป๋หลี่เหอเจ๋อไม่ได้ ภายในใจเกิดพรั่นพรึง จึงรับกระโดดลงกองฟางเตรียมตัวหลบหนี
แต่คาดไม่ถึงว่าเพียงเสี้ยวพริบตา ไป๋หลี่เหอเจ๋อจะจัดการขอทานพวกนั้นลงอย่างอยู่หมัดและพุ่งเข้าไปด้านหน้านางอย่างรวดเร็ว
เฟิงอู๋โยวค่อยๆ ก้าวถอยหลังเพื่อหาจังหวะหลบหนี นางไม่คิดว่าไป๋หลี่เหอเจ๋อจะเคลื่อนไหวรวดเร็วได้ถึงขนาดนี้ หากพลาดไปแม้แต่ก้าวเดียว ทั้งหมดต้องจบเห่แน่ๆ
“ท่านกั๋วซือผู้ยิ่งใหญ่ เท้าของท่านช่างสวยงามเหมือนใบหน้าของท่านจริงๆ ขาวผ่อง แลดูเนียนนุ่ม เห็นได้ว่าท่านดูแลใส่ใจเป็นอย่างดี”
เฟิงอู๋โยวเงยหน้าส่งสายตาอ้อนวอน ท่าทางวางมาดเมื่อครู่หายไปทันที
คิ้วได้รูปของไป๋หลี่เหอเจ๋อย่นเข้าหากันอีกครั้ง เขาปวดหัวจี๊ดขึ้นมารำไร
เขารู้สึกว่าเฟิงอู๋โยวกำลังกวนประสาทเขาอยู่ นางกำลังจะบอกว่าตัวเขาเป็นบุรุษ ‘เจ้าสำอาง’ อยู่อย่างนั้นหรือ
แล้วที่บอกว่าเท้าสวยงามเหมือนใบหน้านี่ มันฟังดูทะแม่งชอบกล
เท้าสวยงามเหมือนใบหน้า แล้วใบหน้าจะสวยงามแบบไหน
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือกเพื่อพยายามข่มไฟโทสะที่ปะทุขึ้นในใจ ก่อนเอ่ยออกไปเสียงเย็นเรียบ “พาข้ากลับไปส่งที่ศาลา”
“ห๊ะ”
เฟิงอู๋โยวคิดว่าไป๋หลี่เหอเจ๋อคงจะตบนางจนกระเด็น แต่นึกไม่ถึงว่าเขาจะมีท่าทีต่อนางต่างออกไป
“พาข้ากลับไปส่งที่ศาลา”
ลมหายใจของไป๋หลี่เหอเจ๋อเริ่มกระสับกระส่าย ความอดทนใกล้ถึงขีดสุดเต็มทน
“อ่อ”
เฟิงอู๋โยวตอบกับอย่างห้วนๆ ก่อนค่อยๆ ลุกขึ้นเอ่ยถาม “ศาลาไหน”
“ศาลาจื่อหยาง”
“ศาลาจื่อหยางอยู่ที่ไหน”
“เข้าเมืองไปก่อนแล้วค่อยถามทาง”
ยังไม่ทันสิ้นสุดเสียง ไป๋หลี่เหอเจ๋อก็งอตัวล้มใส่อ้อมแขนเฟิงอู๋โยว
เดิมทีเฟิงอู๋โยวต้องการฆ่าปิดปากเขา แต่ด้วยความที่นางก็ต้องโทษจากแคว้นเป่ยหลีเป็นทุนเดิม ขืนต้องโทษด้วยโทษฐานสังหารกั๋วซือแห่งแคว้นตงหลินขึ้นมาอีก จะยิ่งทำให้สถานการณ์ของนางยากลำบากยิ่งกว่าเดิม
หลังจากไตร่ตรองอยู่สักหนึ่ง นางจำใจต้องประคองร่างกายอันอ่อนยวบยาบไร้เรี่ยวแรงของไป๋หลี่เหอเจ๋อและพาเข้าเมืองไปอย่างทุลักทุเล
เปรี้ยง!
ในช่วงนาทีเร่งรีบ เสียงฟ้าผ่าเสียดดังขึ้นท่ามกลางม่านฟ้าอึมครึม ทำเอาตกใจจนขวัญแทบกระเจิง
เสียงฟ้าแผดร้องดังสอดแทรกท่ามกลางพายุฝน ทำให้เฟิงอู๋โยวกับไป๋หลี่เหอเจ๋อติดอยู่ชานเมืองรกร้างไร้ผู้คนอยู่สองต่อสอง
เฟิงอู๋โยวเห็นเช่นนั้นจึงปลดเสื้อคลุมด้านนอกของไป๋หลี่เหอเจ๋อออกมาและใช้มันบังฝนที่เริ่มตกหนักลงเรื่อยๆ จากนั้นก็ถอดชุดอีกชั้นหนึ่งของเขาออกมาห่มไหล่ตัวเอง
ส่วนไป๋หลี่เหอเจ๋อที่หมดสติอยู่ กลับถูกนางปล่อยทิ้งไว้แทบเท้าและปล่อยให้เม็ดฝนกำซาบกัดกิน
เม็ดฝนตกกระหน่ำรุนแรงปานคมมีดทิ่มกระดูกตกใส่บาดแผลกลางหน้าอกของไป๋หลี่เหอเจ๋อ ทำเอาเขาเจ็บปวดจนตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
เขาค่อยๆ เบือนหน้าไปมองเฟิงอู๋โยวที่ห่มเสื้อผ้าตัวเองด้วยสายตาเยือกเย็น ในใจคิดอยากจัดการนางให้รู้แล้วรู้รอด
แต่ก็ฉุกนึกขึ้นได้ว่า นางเป็นผู้หญิง หากเปียกฝนขึ้นมาคงความแตก ครั้นแล้วจึงยอมปล่อยให้นางใช้เสื้อผ้าตัวเองกันฝนอยู่แบบนั้นต่อไป
“เฟิงอู๋โยว ประคองข้าลุกขึ้นหน่อย”
“ไฉนไม่หลับต่ออีกหน่อย”
เมื่อเห็นไป๋หลี่เหอเจ๋อตื่นขึ้นมา เฟิงอู๋โยวจึงโน้มตัวลงมาจากจำใจ จากนั้นก็ยกแขนข้างหนึ่งของเขาพาดไหล่ตัวเองและใช้มือข้างหนึ่งโอบกอดเอวเขา ก่อนพยุงเขาขึ้นมานั่งตัวตรง
ไป๋หลี่เหอเจ๋อหน้าแดงเรื่อขึ้นมาในบัดดล เขาอยากตำหนิเฟิงอู๋โยวที่ไม่สงวนตัวทั้งๆ ที่เป็นผู้หญิง แต่ก็ไม่อยากทำให้นางรู้ว่าเขารู้ว่านางเป็นผู้หญิงแล้ว
เฟิงอู๋โยวเหลือบมองใบหน้าที่อยู่ๆ ก็แดงเรื่อขึ้นมาของไป๋หลี่เหอเจ๋อ ก็คิดว่าคงเป็นเพราะพายุฝน ครั้นแล้วจึงขยับตัวเขาเข้ามานั่งในร่มกันฝนที่ทำจากเสื้อผ้าของเขา “ไม่ต้องขอบใจข้าล่ะ”
“อืม”
ไป๋หลี่เหอเจ๋อตอบรับเสียงเรียบ สายตามองทะลุม่านฝนออกไป เขากลับมองเห็นจวินมั่วหรันที่กำลังพุ่งใกล้เข้ามาอย่างกระวนกระวายใจ ครั้นแล้วจึงจงใจเอียงศีรษะพิงไหล่ของเฟิงอู๋โยวทันที