ตอนที่ 100 จิตรกรอัจฉริยะ / ตอนที่ 101 บันทึกส่วนตัวของเฟิงอู๋โยว
ตอนที่ 100 จิตรกรอัจฉริยะ
เมื่อจวินมั่วหรันจากไป เฟิงอู๋โยวก็ถึงกับขาอ่อน นางเอามือค้ำชั้นวางหนังสือที่สูงครึ่งตัวคน ก่อนประคองตัวเองนั่งลงบนพื้น
นางถอนหายใจลากยาว นั่งหมอบอยู่ด้านหน้าชั้นวางหนังสือ จ้องมองกระดาษสีด้านหน้าอย่างไม่ละสายตา
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นางก็ยื่นมือที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นหยิบพู่กันขึ้นมา จากนั้นก็บันทึกเรื่องราวเลวร้ายทั้งหมดที่ประสบพบเจอภายในวันนี้ลงไป
เมื่อนางเขียนถึงเรื่องเงินกระดาษที่เปื่อยยุ่ยกองนั้น ของเหลวอุ่นผ่าวก็รื้นขึ้นมาที่ดวงตา เสียงสะอื้นร่ำไห่ดังระงม
ด้านนอกห้อง มีสาวรับใช้หลายคนเดินผ่านมาพอดี ทันทีที่พวกนางได้ยินเสียงสะอื้นอันเศร้าโศกของเฟิงอู๋โยวก็ต่างพากันชะเง้อหน้ามองหา พยายามส่องลอดช่องประตูที่แตกร้าวด้วยน้ำมือของจวินมั่วหรันเข้าไปก็พบกับเฟิงอู๋โยวที่นั่งเขียนอะไรบางอย่างอยู่ด้านหน้าชั้นวางหนังสือ
“แปลกจัง ห้องนี้ร้างมาหลายปีแล้วไม่ใช่หรือ สตรีที่ร้องไห้สะอื้นเสียงแผ่วคนนี้เป็นใครกัน”
“เขาไม่ใช่สตรี เขาก็คือแม่ทัพเฟิงที่มาจากแคว้นเป่ยหลี”
“หรือว่าท่านใต้เท้าคิดจะใช้ทำเป็นห้องนางสนม”
“ข้าคิดว่าไม่ใช่ แม่ทัพเฟิงร้องไห้เสียใจขนาดนั้น คิดว่าคงถูกท่านใต้เท้ากระทำมิดีมิชอบอีกแล้วกระมัง”
“พูดจาระวังหน่อย! อย่าพูดจาไม่ใช้เกียรติผู้ชายของท่านเท้าใต้เท้าเชียวนะ ต่อให้เขาร้องไห้ทั้งวันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเราทั้งนั้น”
…
บรรดาสาวรับใช้พากันมองเฟิงอู๋โยวด้วยสายตาสงสาร จากนั้นก็แยกย้ายกันไปเก็บเสื้อผ้าตามห้องต่างๆ เพื่อนำไปซัก
จุยเฟิงกับซือมิ่งที่ได้ยินเช่นนั้นต่างมองตากันปริบๆ
“ซือมิ่ง พวกเราไปดูแม่ทัพเฟิงกันหน่อยดีไหม”
ซือมิ่งส่ายหน้าระรัวพลางพูดปฏิเสธ “คิดว่าเฟิงอู๋โยวคงถูกท่านใต้เท้าเล่นงานจนน่วมแล้ว ข้ากลัวว่าจะอดสงสารเขาไม่ได้”
จุยเฟิงขมวดคิ้วแน่นพลางพึมพำ “ไม่น่าใช่ ท่านใต้เท้าเป็นห่วงแม่ทัพเฟิงขนาดนั้น ไม่มีเหตุผลใดที่ท่านใต้เท้าจะลงมือกับเขาถึงขนาดนี้”
“ถ้าไม่ได้ถูกตบตี แล้วไฉนเขาถึงร้องไห้หนักขนาดนั้นล่ะ”
ตอนนี้ จวินมั่วหรันกระวนกระวายใจเป็นที่สุด
เมื่อเขาได้ยินเสียงซุบซิบของจุยเฟิงกับซือมิ่งอยู่ที่ด้านนอกห้องหนังสือก็ยิ่งร้อนรนใจขึ้นกว่าเก่า
ทั้งๆ ที่ออมมือให้นางไปแล้ว นางยังแอบร้องไห้ในห้องอีกหรือ
“มันน่าฆ่าให้ตายจริงๆ !”
จวินมั่วหรันทุบโต๊ะหนังสือระบายอารมณ์ มันแหลกสลายกลายเป็นผุยผงภายในพริบตา
เขากวาดมองเศษซากโต๊ะหนังสือด้านหน้า ก่อนลุกขึ้นพรวดพราด จากนั้นก็ถีบประตูห้องหนังเปิดออกก่อนย่างเท้าเดินดุ่มๆ
“จะครวญครางอะไรนักหนา”
เมื่อออกจากห้องหนังสือ จวินมั่วหรันก็ได้ยินเสียงสะอื้นครวญครางของเฟิงอู๋โยวมาจากไกลๆ ทำเอาความหงุดหงิดผุดขึ้นมาอีกครั้ง
ครั้นเฟิงอู๋โยวเห็นจวินมั่วหรันย้อนกลับมาก็ปีนขึ้นไปนั่งเป็นชั้นวางหนังสือ จากนั้นก็พยายามปกปิดเงินกระดาษที่นางวาดขึ้นมาปลอมๆ ร่วมหนึ่งชั่วยามอย่างมิดชิด
“ท่านใต้เท้าขอรับ กระหม่อมกำลังฝึกเส้นเสียงอยู่ขอรับ” เฟิงอู๋โยวยิ้มอย่างประจบ
สายตาคมกริบเยือกเย็นดุจคมมีดของจวินมั่วหรัน จ้องมองใบหน้าอันสวยงามคลุมเครือของนาง เมื่อเห็นสภาพนางที่ดูเหมือนโศกเศร้าอาดูรอย่างที่คิดไว้ ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาหนึ่งเปราะ
เขายืนเอามือไพล่หลังพลางก้าวพ้นขอบประตูเข้ามาหยุดอยู่ด้านหน้าเฟิงอู๋โยว จากนั้นพูดขึ้นด้วยเสียงเรียบนิ่ง “เขียนอะไรอยู่”
“ไม่ได้เขียนอะไรขอรับ” เฟิงอู๋โยวนั่งทับกระดาษบนชั้นวางหนังสือประหนึ่งตอกตัวเองยึดติดกับมันก็ไม่ปาน
“เฟิงอู๋โยว!” น้ำเสียงทุ้มต่ำอึมครึมคล้ายใกล้ระเบิดเต็มทน
ช่วยไม่ได้ เฟิงอู๋โยวต้องจำใจขยับก้นที่เปื้อนน้ำหมึกลงมาจากชั้นวางหนังสือ
จวินมั่วหรันเหลือบมองเงินกระดาษของปลอมที่ถูกวาดขึ้นจนเหมือนของจริงครู่หนึ่ง จากนั้นมุมปากก็รั้งขึ้น “วาดได้ไม่เลวเลยนี่”
“จริงหรือขอรับ”
เฟิงอู๋โยวดีใจขึ้นมาทันที นางกระโดดอย่างดีใจมาด้านหน้าเขาพลางพูดเสียงสั่น “ท่านใต้เท้าคิดว่าเงินกระดาษที่กระหม่อมวาดขึ้นมาสามารถเอาไปใช้จริงได้หรือไม่ขอรับ”
อันที่จริง เฟิงอู๋โยวรู้ดีอยู่แกใจว่ารอยพิมพ์กับตราประทับบนเงินกระดาษไม่ใช่อะไรที่สามารถวาดขึ้นมาได้ด้วยฝีแปรง
นางแค่ต้องการได้รับคำชมจากจวินมั่วหรันอีกก็เท่านั้น
เผื่อเขาบ้าจี้บอกว่าใช้ได้ขึ้นมา แล้วใครจะกล้าขัด
หากใช้ได้ขึ้นมาจริงๆ นางอยากจะเดินถือเงินกระดาษปลอมๆ นี้ไปทั่วเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากผู้คนที่พบเห็น
ตอนที่ 101 บันทึกส่วนตัวของเฟิงอู๋โยว
แล้วคนอย่างจวินมั่วหรันจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเฟิงอู๋โยวกำลังวางแผนละโมบอะไรอยู่
เขาแค่ขี้เกียจเล่นด้วยก็เท่านั้น
หลังจากเงียบขรึมลงไปครู่หนึ่ง เขาก็ยื่นนิ้วเรียวยาวได้รูปไปเคาะบนชั้นวางหนังสือ น้ำเสียงชั่วร้ายดังขึ้น “เขียนอะไร”
เฟิงอู๋โยวมองตามนิ้วชี้ของเขาไป แต่แล้วก็ถึงกับตกใจจนขวัญกระเจิง
นางพูดเสียงอู้อี้ “นี่เป็นแค่ผลงานที่ยังไม่สำเร็จขอรับ อย่าดูเลย”
ทันใดนั้น จวินมั่วหรันก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที เขาใช้นิ้วควบคุมกำลังภายใน สั่งให้เงินกระดาษหลายสิบใบเคลื่อนไปวางบนจานเปล่า จากนั้นก็ชี้ไปที่กระดาษแผ่นสุดท้ายที่มีตัวหนังสือยึกยือ “อ่าน”
“เอ่อ”
เฟิงอู๋โยวรีบคว้ากระดาษแผ่นนั้นมาทันที เพราะกลัวว่าจวินมั่วหรันจะแย่งไป จากนั้นพยายามใช้ชายแขนเสื้อยาวๆ ปิดตัวหนังสือ ดวงตาวาวเป็นประกาย พร้อมกับร่างเรื่องแต่งขึ้นในหัว
นางไอกระแอมปรับน้ำเสียง ก่อนโค้งตัวคำนับจวินมั่วหรันอย่างพอเป็นพิธี จากนั้นก็เปล่งเสียงพูดขึ้นอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “อา! ท่านใต้เท้าขอรับ ไฉนท่านถึงงดงามไร้ที่ติกระไรปานนี้ คิ้วโค้งมนทรงกระบี่ ดวงตาใสชุ่มวาวประกาย สันจมูกสูงโด่งรับกับริมฝีปากเรียวบาง ผิวพรรณชุ่มฉ่ำปานน้ำนมบริสุทธิ์ หล่อเหลาเหลือเกิน”
จวินมั่วหรันมองเฟิงอู๋โยวในสภาพลุ่มหลงด้วยสายตาแปลกประหลาด ก่อนเอ่ยเสียงขรึม “อ่านตามความเป็นจริง!”
“รับทราบขอรับ”
เฟิงอู๋โยวเกิดตระหนักขึ้นได้ หากต้องการประจบ หาอย่าได้ประจบเกินเลย ไม่เช่นนั้นหากถูกเขาแย่งกระดาษไป มีหวังจบเห่แน่นอน
ครั้นแล้ว นางจึงเปลี่ยนจากประจบจวินมั่วหรันมาเป็นชื่นชมความสามารถตัวเองแทน
“เทพเจ้ารังสรรค์ใบหน้าอันงดงามสะเทือนยุคสมัยมาให้ข้า ข้าจำต้องตระหนักเฝ้าระวังความงดงามของตัวเองเช่นนี้อยู่ร่ำไป ยิ้มไม่เห็นฟัน นั่งอย่างสำรวม[1]…”
จวินมั่วหรันเอือมระอา ครั้นจึงหันกลับไปตะโกน “จุยเฟิง เข้ามาอ่าน”
“ขอรับ”
จุยเฟิงที่ถูกเรียกเข้ามาวิ่งเหยาะๆ มาหยุดด้านหน้าเฟิงอู๋โยว “แม่ทัพเฟิง ให้ข้าอ่านแทนแล้วกัน”
“ไม่จำเป็น!”
เฟิงอู๋โยวรู้สึกใจหวิวเป็นที่สุด นางรีบขย้ำกระดาษเป็นก้อนและทำท่ายัดเข้าปาก
โชคดีที่จวินมั่วหรันตาไว มือข้างหนึ่งรีบคว้าข้อมือเล็กเรียวของนางและแย่งก้อนกระดาษในมือนางมาทันที จากนั้นก็โยนให้จุยเฟิง “อ่าน”
จุยเฟิงคลี่กระดาษออกด้วยความสงสัยปนตื่นเต้น ครั้นภาพเบื้องหน้าปรากฏอย่างชัดเจน สีหน้าก็ฉายแววตกใจขึ้นทันที
“ท่านใต้เท้า นี่มัน…”
“อ่านตามความเป็นจริง”
เมื่อจุยเฟิงได้ยินเช่นนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก เขาพยายามเลียนแบบน้ำเสียงและจังหวะการพูดของเฟิงอู๋โยว ลดทอนความเป็นตัวของตัวเองลงไปให้น้อยที่สุด “หึ! ทั้งที่เริ่มต้นวันนี้ด้วยดี แต่เจ้าสารเลวไป๋หลี่นั่นกลับจ้องเล่นงานข้าข้า ข้าข้าจะวาดยันต์สาปแช่งเขา คอยดู!”
มุมปากของจวินมั่วหรันเกร็งกระตุก แม้เนื้อความของเฟิงอู๋โยวที่มีต่อไป๋หลี่เหอเจ๋อจะทำให้เขาพอใจอย่างยิ่งยวด แต่ท่าทางน้ำเสียงของจุยเฟิงกลับเล่นใหญ่เกินงาม
จากนั้นจุยเฟิงก็ปรับน้ำเสียงแข็งกร้าวอ่านต่อไป “หึ! ไหนจะเจ้าตัวซวยอย่างจวินมั่วหรันนี่อีก! เกลียดเขาชะมัดยาด ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ข้าคงไม่มีสภาพเป็นหมาแบบนี้! ซวยเหลือเกิน โอกาสที่จะได้ลืมตาอ้าปากกลับสายหายไปไม่มีเหลือ ฮือๆๆ”
เฟิงอู๋โยวไม่กล้าอ้อนวอนขอชีวิตกับจวินมั่วหรัน นาทีนี้มีแต่ต้องสวดมนตร์ภาวนาต่อพระพุทธเจ้าเท่านั้น หรือไม่ก็อ้อนวอนต่อเจ้าแม่กวนอิมให้ไว้ชีวิตนางสักครั้ง
มุมปากของจวินมั่วหรันที่รั้งขึ้นเป็นมุมโค้งก่อนหน้านี้ หุบลงมาทำมุมหนึ่งร้อยแปดสิบองศาอย่างฉับพลัน สีหน้าฉายแววอำมหิต
“ท่านใต้เท้ายังอยากให้อ่านต่อหรือไม่ขอรับ”
จุยเฟิงกลัวว่าตัวเองพลอยซวยเพราะบันทึกส่วนตัวของเฟิงอู๋โยวไปด้วย ตอนนี้เขาทำหน้าบีบน้ำตาและรีรอไม่ยอมอ่านต่อสักที
“อ่านต่อ!”
จวินมั่วหรันตวาดด้วยความโมโห ประหนึ่งลมพายุปะทุขึ้นกลางห้อง มันพัดกรรโชกทำเอาไส้พุงของนางสั่นสะท้านไปหมด
“หึ! เจ้าจวินมั่วหรัน แกมันราชาปีศาจชั่วช้า แกมันจอมมารวิปลาส! ช่างริอาจกล้ากลั่นแกล้งข้า โชคดีที่ข้าฉลาดเตรียมการไว้ตั้งแต่ทีแรก สมน้ำหน้า ถูกเข็มแทงเข้าไปที่มือปลาไหลสักที ไม่อย่างนั้นข้าคงเสียตัวไปแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น! หึ! เจ้าจวินมั่วหรัน เจ้าจงจำเอาไว้ให้ดี! สักวันหนึ่ง ข้าจะหลับนอนร่วมเพศกับภรรยาของเจ้าด้านหน้าหลุมศพของเจ้า จะรังแกลูกชายเจ้า จะกลั่นแกล้งลูกสาวเจ้า! ยังไม่พอ ข้าจะเยี่ยวราดศพเจ้า เจ้าจะได้นอนตายเหม็นสาบแบบนั้นไปเป็นหมื่นๆ ปี!”
เมื่อจุยเฟิงอ่านจบ สองขาก็พลันอ่อนแรง ตาเหลือกเห็นแต่ตาขาวและไปลมล้มลงบนพื้นทันที
ดูเหมือนวันนี้จะเป็นวันที่บ้าบอที่สุดของเขา!
เฟิงอู๋โยวมีสภาพไม่ต่างกัน
ตอนนี้นางมุดไปอยู่ใต้ชั้นวางหนังสือเรียบร้อยแล้ว ปากเล็กๆ ขมุบขยิบซ้ำไปซ้ำมา “อามิตตาพุทธ อามิตตาพุทธ พระผู้เป็นเจ้าช่วยลูกช่วย”
[1] ยิ้มไม่เห็นฟัน นั่งอย่างสำรวม หมายถึงกิริยามารยาทที่เรียบร้อย