ตอนที่ 102 ทะเลาะ / ตอนที่ 103 ให้ตายก็ไม่ช่วย
ตอนที่ 102 ทะเลาะ
“เฮ้อ…เยี่ยวราดศพข้าอย่างนั้นหรือ”
จวินมั่วหรันโมโหถึงขีดสุดจนขำออกมา น้ำเสียงเย็นลงฉับพลัน ประหนึ่งเสียงปีศาจที่ดังมาจากขุมนรก ทำเอาผู้ที่ได้ยินต้องอกสั่นขวัญหายไปตามๆ กัน
“กระหม่อมผิดไปแล้วขอรับ”
เฟิงอู๋โยวยื่นมือออกไปจับชายชุดคลุมของจวินมั่วหรันพลางพูดอย่างระมัดระวัง “ท่านใต้เท้าขอรับ สวรรค์รู้ดีถึงความภักดีที่กระหม่อมมีต่อท่านใต้เท้า หากคิดจะจับโยนลงบ่อปัสสาวะเพื่อขัดเกลาจิตใจของกระหม่อมจริงๆ กระหม่อมขอชุ่มแช่อยู่ในบ่อปัสสาวะของท่านใต้เท้าดีกว่านะขอรับ เพราะในสายตาของกระหม่อม ปัสสาวะของท่านใต้เท้าหาใช่ของเสียไม่ แต่เป็นน้ำใจขอรับ”
คิ้วโค้งโก่งทรงกระบี่ของจวินมั่วหรันย่นเข้าหากันเล็กน้อย ดวงตาเรียวยาวเต็มเปี่ยมไปด้วยความสงสัย
ต่อให้เฟิงอู๋โยวจะพยายามเค้นความสามารถทั้งหมดออกมาเพื่อพูดจาประจบเขา แต่เขากลับไร้แววดีใจแม้แต่น้อย
เฟิงอู๋โยวคิดอยากจะประจบเขาต่ออีกสักสองสามประโยค แต่พอนึกภาพตัวเองในบ่อปัสสาวะก็ทำเอานางแทบอาเจียนออกมา
“ไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้”
จวินมั่วหรันเหลือบมองมือทั้งสองข้างของนางที่ปิดหน้าอกอยู่ และสภาพที่นางทำหน้าคล้ายจะอาเจียน ความอดทนเสี้ยวสุดท้ายภายในใจก็พลันมลายหาย
“ขอท่านใต้เท้าโปรดเมตตาไว้ชีวิตกระหม่อมด้วยขอรับ” เฟิงอู๋โยวประจบ แต่กลับใจหวิวเป็นที่สุด
ปัง!
ความอดทนทั้งหมดของจวินมั่วหรันจางหาย ผ่ามือพลันฟาดลงไปบนชั้นวางหนังสือ เศษไม้แตกกระจาย ซากหนังสือฉีกขาดแทบกลายเป็นผุยผง
แปะๆๆ!
เฟิงอู๋โยวตอบสนองอย่างรวดเร็ว นางลุกขึ้นพรวดและปรบมืออย่างชื่นชม “ท่านใต้เท้าเก่งเหลือเกินขอรับ! เพียงแค่ผ่ามือเดียวยังทำได้ขนาดนี้ประหนึ่งเทพฟ้ามีจุติก็ไม่ปาน”
พอนางเยินยอชื่นชมขึ้นมาแบบนี้ อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ไม่ต่างอะไรกับพวกการแสดงปาหี่ข้างถนน ดวงตาของเขาก็พลันแน่นิ่งลงไปชั่วขณะ
ครั้นเขาตั้งสติกลับมาได้ ก็ระรัวฟันฝ่ามือวายุใส่เฟิงอู๋โยวหลายระลอก
เพล้งๆๆ!
เฟิงอู๋โยวใช้วิชาเคลื่อนที่สลับเงาหลบเลี่ยงการจู่โจมอันรุนแรงระลอกนี้ หางตาพลางเหลือบมองแจกันโบราณที่แหลกสลายแทบกลายเป็นควัน และชั้นวางหนังสือที่พังทลายลงมาภายในห้อง ภายในใจบ่นอุบ จวินมั่วหรันคือที่สุดของราชาปีศาจอย่างไม่มีผู้ใดเทียบได้จริงๆ
แต่ว่าเพื่อปกป้องชีวิตตัวเอง เฟิงอู๋โยวต้องงัดทุกอย่างที่มีออกมา!
แปะๆๆ!
เฟิงอู๋โยวปรบมืออย่างชื่นชมขึ้นมาอีกครั้ง “ท่านใต้เท้าเก่งจริงๆ ขอรับ! โจมตีวัตถุจากระยะไกลรุนแรงจริงๆ ทำเอาแจกันดอกไม้แหลกสลายจนแทบกลายเป็นควันที่ขวางกั้น ประหนึ่งม่านฝนรำพึง กีดกันกระหม่อมและท่านใต้เท้าให้แยกจากกันเป็นสองฝั่ง”
“พูดจาปลิ้นปล้อน”
จวินมั่วหรันแค่นเสียงหึในลำคอ และครั้งนี้เขาก็ไม่ปล่อยให้เฟิงอู๋โยวหลุดรอดไปได้ ครั้นแล้วก็พุ่งไปด้านหลังนาง มือหนาใหญ่ง้างฟาดลงไปที่บั้นท้ายนางอย่างแรง
ความเจ็บปวดแผ่ซ่านมาจากบั้นท้ายคล้ายหินก้อนใหญ่หล่นทับ เจ็บระบมจนทำเอานางน้ำตาซึมขึ้นมา
นางยืนแน่นิ่งเป็นก้อนหินอยู่กับที่ ภายในใจนึกโมโหเป็นที่สุด
“ช่วงนี้กระหม่อมถูกกลั่นแกล้งอย่างไร้ความเป็นมนุษย์ ไฉนท่านใต้เท้าถึงไม่ยอมปล่อยกระหม่อมไปขอรับ”
เมื่อเฟิงอู๋โยวโมโหจนหน้ามืด นิสัยที่แท้จริงที่เริ่มเผยออกมา
นางเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย สายตาเฉียบคมผุดแววทระนงตน นางยืนประจันหน้ากับจวินมั่วหรันที่แผ่ซ่านรังสีชั่วร้ายออกได้อย่างไม่ต้องเป็นรองแม้แต่น้อย
สีหน้าของจวินมั่วหรันจริงจังขึ้นมาอย่างหาได้ยาก ใบหน้าหล่อเหลาของเขาผุดแววผิดหวังขึ้นมาอย่างชัดเจน
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงค่อยๆ ปริปากพูด “เฟิงอู๋โยว เจ้าคิดว่าข้าเอาแต่กลั่นแกล้งเจ้าอยู่ตลอดอย่างนั้นหรือ”
“หรือว่าไม่ใช่”
“ใจดำเหลือเกิน”
จวินมั่วหรันอุทานอย่างแผ่วเบา บรรยากาศรอบตัวแปรเปลี่ยนเป็นเหินห่างและเมินเฉย
เฟิงอู๋โยวสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่อยู่ๆ ก็แปลกไปของเขา แต่นางกลับมองว่าเขาเป็นพวกสมองเพี้ยน ปากพลางบ่นพึมพำขึ้น “ทุบตีด่าทอ เป็นคนอื่นคงเป็นบ้าตายไปนานแล้ว”
“ซือมิ่ง จับเขาโยนออกมาไปและปล่อยให้เขาตายไปตามยถากรรม”
แล้วจวินมั่วหรันก็เดินผ่านนางไปอย่างไม่ชายตามอง แม้แต่หางตาก็ไม่มองนาง
เมื่อซือมิ่งเหลือบเห็นจุยเฟิงที่เป็นลมหมดสติลงไปบนพื้นก็ตระหนักได้ว่าครั้งนี้เฟิงอู๋โยวคงแผลงฤทธิ์ออกมาอย่างสุดฤทธิ์สุดเดช
แต่ด้วยความที่ค่อนข้างเกรงใจ ซือมิ่งจึงได้แต่ผายมือ ‘เชิญ’ ให้เฟิงอู๋โยวและพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “แม่ทัพเฟิง เชิญขอรับ”
มือข้างหนึ่งเฟิงอู๋โยวกุมก้นตัวเองที่ถูกตี อีกข้างหนึ่งถือปึกเงินกระดาษปลอมพลาง เดินออกจากตำหนักเซ่อเจิ้งหวางอย่างอารมณ์ดี
ถึงแม้จะเจ็บก้น ถึงแม้เงินกระดาษปลอมๆ พวกนี้จะไม่มีค่า แค่นางพึงพอใจที่สุดได้หนีพ้นปากเสือแล้ว
ทว่าทันทีที่นางเพิ่งเดินออกมาจากตำหนักเซ่อเจิ้งหวางก็รับรู้ได้ว่ามีเหล่ามือสังหารมากประสบการณ์กำลังซุ่มดูอยู่ท่ามกลางความมืด รังสีกร้านโลกที่แผ่ซ่านออกมาช่างอันตรายจนไม่สามารถเพิกเฉยได้
ครั้นแล้วเฟิงอู๋โยวจึงหันกลับไปและเคาะบานประตูสีแดงฉานเบาๆ
ก๊อกๆๆ!
“ซือมิ่ง ช่วยเปิดให้ข้าเข้าไปหน่อยได้หรือไม่”
“แม่ทัพเฟิง นี่คือคำสั่งของท่านใต้เท้า หากท่านใต้เท้าไม่อนุญาต ข้าไม่สามารถปล่อยให้เจ้าเข้าตำหนักได้”
ตอนที่ 103 ให้ตายก็ไม่ช่วย
เฟิงอู๋โยวเห็นท่าทางอันแน่วแน่ไม่แปรเปลี่ยนของซือมิ่ง จึงปรับช่องเสียงและตะโกนเรียกชื่อจวินมั่วหรันออกไปห้วนๆ “จวินมั่วหรัน คนเคยอยู่กินด้วยกันตัดขาดกันง่ายขนาดนี้เชียวหรือ”
ซือมิ่งมุมปากเกร็งกระตุกครู่หนึ่ง ก่อนพูดเตือนเสียงต่ำ “แม่ทัพเฟิง หยุดตะโกน หนึ่งคำท่านใต้เท้าหลุดจากปาก ราชรถอาชายากหวนคืน[1]”
“อะไรนะ ท่านใต้เท้ายากที่จะคืนคำอย่างนั้นหรือ”
เฟิงอู๋โยวยืนหลังพิงบานประตูสีแดงฉาน ภายในใจบ่นอุบ พวกมือสังหารที่หลบซ่อนตัวอยู่ในความมืดคงไม่กล้าลงมือหน้าประตูตำหนักเซ่อเจิ้งหวางอย่างประเจิดประเจ้อหรอกกระมัง แต่กระนั้นนางก็ตัดสินใจไม่จากไปไหน
ซือมิ่งส่ายหน้า ก่อนพูดขึ้นจากอีกฝากของประตูด้วยน้ำเสียงละเหี่ยใจ “เดิมทีควรตกเป็นของท่านใต้เท้าแท้ๆ ช่วยไม่ได้จริงๆ !”
“พูดอะไรอยู่”
เฟิงอู๋โยวฟังไม่ได้ศัพท์ ถึงแม้นางจะมั่นใจในตัวเองอย่างออกนอกหน้า แต่นางก็รู้ข้อดีข้อเสียของตนอยู่
ในสายตาของนางแล้ว จวินมั่วหรันเป็นพวกที่มองทุกสรรพสิ่งเป็นมดปลวก แล้วนางจะเป็นคนในสายตาเขาได้อย่างไร
ครั้นซือมิ่งเห็นว่ารอบๆ ไร้ผู้คน เขาจึงพูดกับเฟิงอู๋โยวเสียงแผ่ว “แม่ทัพเฟิง ลองไตร่ตรองดู ท่านใต้เท้าเคยทำร้ายเจ้าจนได้รับบาดเจ็บเจียนตายหรือไม่ ท่านแค่กลั่นแกล้งเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งนิสัยของท่านใต้เท้าก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ที่ท่านปฏิบัติต่อเจ้าถือว่าเป็นกรณีพิเศษเกินกว่าผู้ใดแล้ว”
“ก็จริง”
เฟิงอู๋โยวเออออตอบกลับทันควัน แต่ก็เพื่อต้องการเข้าไปหลบพวกมือสังหารด้านในตำหนัก
“แม่ทัพเฟิง พูดตามตรง ท่านใต้เท้าทำดีกับเจ้าเป็นพิเศษ รู้หรือไม่ ไม่ว่าเจ้าจะยั่วโมโหท่านใต้เท้าอย่างไร ท่านก็ไม่เคยคิดจะฆ่าเจ้าจริงๆ วันที่เจ้า ถูกท่านราชครูลักพาตัวไป ท่านใต้เท้าตากฝนตามหาเจ้าเป็นครึ่งค่อนวัน มือสังหารที่แคว้นเป่ยหลีส่งมาตามฆ่าเจ้าระลอกแล้วระลอกเล่า ท่านใต้เท้าก็จัดการมือสังหารเหล่านั้นแทนเจ้ามาตลอด”
ทันทีที่น้ำเสียงของซือมิ่งสิ้นสุดลง จวินมั่วหรันก็โผล่ขึ้นมาด้านหลังเขาอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง
สีหน้าของเขาเรียบนิ่ง เสียงทุ้มต่ำน่าดึงดูดเจือแววไม่สบอารมณ์รำไร “ปากมาก”
ปัง!
ทันใดนั้น บานประตูสีแดงของตำหนักเซ่อเจิ้งหวางก็ถูกฝ่ามือของจวินมั่วหรันผลักเปิดอย่างรุนแรง
ใบหน้าหล่อเหล่าของเขาไร้ร่องรอยอารมณ์ใดอื่น สายตากวาดมองเฟิงอู๋โยวที่นั่งกอดเขาอยู่ด้านหน้าประตูอย่างเย็นชา
นางในตอนนี้มีสภาพไม่ต่างอะไรจากแมวน้อยที่ถูกทอดทิ้ง แลดูน่าสงสาร ทว่าแววระแวดระวังและความป่าเถื่อนในดวงตาทรงกลีบดอกท้อของนางยังคงไม่เลือนหาย
นางห่มเสื้อคลุมขาดๆ ที่ยังคงไม่แห้ง โดยที่ด้านในยังคงสวมใส่ชุดกระโปรงที่ชมพูอยู่ ดูๆ ไปแล้วก็เหมือนพวกลูกสาวหัวแก้วหัวแก้วแหวนของตระกูลมั่งคั่ง ที่โดนตัดหางปล่อยวัด
“ท่านใต้เท้าโปรดเมตตาเอ็นดูกระหม่อมอีกครั้งได้หรือไม่ขอรับ”
เฟิงอู๋โยวเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาเป็นสุกใสแวววาวราวกับดาวที่ทอแสงสว่างที่สุดในยามราตรี
ริมฝีปากเรียวบางของจวินมั่วหรันเปล่งเสียงเยือกเย็นซาะกระดูกขึ้น “ด้านนอกตำหนักเซ่อเจิ้งหวางมีเหล่ามือสังหารที่แคว้นเป่ยหลีส่งมาซ่อนตัวอยู่ไปทั่ว”
“ท่านใต้เท้าจะปกป้องกระหม่อม ใช่หรือไม่ขอรับ”
เฟิงอู๋โยวพยายามปั้นหน้ายิ้มแย้มอย่างประจบ แม้แต่ตัวนางเองยังรู้สึกอายตัวเอง
เพราะก่อนหน้านี้นางเขียนระบายด่าทอเขายาวเหยียด
พอพิจารณาจากสิ่งที่เกิดขึ้น คนที่เสียเปรียบกลับเป็นตัวนางเอง
จวินมั่วหรันไม่สนใจนาง จากนั้นก็หันกลับไปกำชับซือมิ่งด้วยน้ำเสียงไร้เยื่อใย “หากเขายังไม่ไปจากที่นี่ภายในหนึ่งชั่วยาม ฆ่าเขาทิ้งเสีย”
“…”
เฟิงอู๋โยวตระหนักได้ว่าอ้อนวอนจวินมั่วหรันไปก็ไม่ได้ผล ดีไม่ดีเขานี่แหละจะกลายเป็นมือสังหารอีกคน ครั้นแล้วจึงยอมจากไปแต่โดยดี
“จวินมั่วหรัน รอดูเถอะ! สักวันหนึ่ง ต่อให้เจ้าคุกเข่าอ้อนวอนต่อหน้าฉัน ฉันก็จะไม่ยอมกลับมาเหยียบตำหนักเซ่อเจิ้งหวางอีกแม้แต่ครึ่งก้าวแน่นอน!”
นางวิ่งไปบ่นไป พลางตัดสินใจว่าจะไม่หวังให้เขายื่นมือมาช่วยเหลืออีก
ครั้นทหารเฝ้าประตูตำหนักเซ่อเจิ้งหวางปิดประตูใหญ่ลง คนชุดดำสองคนก็ปรากฏตัวขึ้นใต้ฟ้าราตรี
ทันใดนั้น แสงวาววับสองริ้วก็พุ่งออกจากใต้แขนเสื้อของเฟิงอู๋โยว เข็มเงินสองเล่มพุ่งใส่คนชุดดำสองคนที่เข้ามาจากทางด้านหลัง เลือดกระเซ็นเป็นริ้วเป็นสาย เข็มเล่มหนึ่งพุ่งเสียบคอหอย อีกเล่มเสียบเข้ากระดูก
เฟิงอู๋โยวหันหลังหลบเร็วพลัน มือข้างหนึ่งชักเข็มเงินกลับมา อีกข้างแย่งกระบี่ยาวมาจากมือสังหาร จากนั้นเงาดำหลายสิบร่างก็กระโดดเข้ามาหยุดอยู่ด้านหน้านาง
“พวกเจ้าเป็นใคร” ดวงตาของเฟิงอู๋โยวสะท้อนแววเย็น สายตาคมกริบกวาดมองเหล่าคนชุดดำที่อยู่ด้านหน้า
“พวกข้าได้รับคำสั่งมาจากอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายให้มาสังหารกบฏที่ทรยศต่อแคว้นเป่ยหลี!” คนชุดดำที่เป็นหัวหน้าตอบกลับอย่างเยือกเย็น
อ๋าวเช่อ?
เฟิงอู๋โยวแสยะยิ้มอย่างเย็นชา อ๋าวเช่อเพิ่งจะมาหานางเมื่อไม่กี่วันก่อนแท้ๆ ถ้าเขาต้องการเอาชีวิตนางจริงๆ ปานนี้นางคงจะตายคาห้องน้ำหอนางโลมไปตั้งนานแล้ว
ดังนั้นสรุปได้ว่า อ๋าวเช่อไม่ได้ส่งคนชุดดำกลุ่มนี้มาอย่างแน่นอน
“ไม่คิดจะพูดความจริงสินะ แต่ข้ามีวิธีที่จะทำให้เจ้าปริปากอยู่อีกมาก”
ดวงตาของเฟิงอู๋โยวพลันเกร็งเขม็ง กระบี่ยาวในมือฟันผ่าอากาศออกไปอย่างรวดเร็ว
เสี้ยววินาทีต่อมา เลือดแดงฉานพุ่งกระเซ็นเป็นสาย คนชุดดำหลายสิบคนด้านหน้าถูกคมกระบี่ในมือของเฟิงอู๋โยวพุ่งปาดคอจนตายภายในการโจมตีเดียว
สายตาของเฟิงอู๋โยวกลับมามองหัวหน้าคนชุดดำอย่างเยือกเย็น ปลายกระบี่จ่อชี้ตรงกลางระหว่างคิ้วของเขา “บอกมา ใครส่งเจ้ามา”
หัวหน้าคนชุดดำแข็งกร้าว กันฟันกรอดไม่ยอมพูดอยู่พักใหญ่
เฟิงอู๋โยวชักกระบี่กลับมา จากนั้นก็ฟันสะบั้นคอคนชุดดำข้างหน้าทันที
ต่อให้พวกเขาไม่บอก นางก็พอจะเดาได้แล้ว
ในความเป็นจริง เจ้าของร่างคนเก่าเป็นคนค่อนข้างโอบอ้อมอารีและไม่ค่อยผูกปมแค้นกับใคร
ทั่วทั้งวังหลวงของแคว้นเป่ยหลี คนที่สามารถส่งมือสังหารมาพร้อมกันหลายสิบคนเช่นนี้ อีกทั้งยังเป็นคนที่มีความแค้นกับนางอีก นอกจากพ่อเส็งเคร็งอย่างเฟิ่งจือหลินแล้ว ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นองค์ชายแห่งแคว้นเป่ยหลีอย่างเป่ยถางหลงถิง
แต่ไม่ว่าเสือจะดุร้ายแค่ไหนก็ไม่มีทางกินลูกตัวเอง
ต่อให้เฟิ่งจือหลินจะตัดความสัมพันธ์ฉันพ่อลูกกับนางไปแล้ว แต่เขาคงไม่มีทางส่งมือสังหารมาลอบฆ่านางแบบนี้แน่นอน
ส่วนเป่ยถางหลงถิง หากเขาต้องการฆ่านางให้ตายจริงๆ ก็คงจะมาฆ่านางด้วยตัวเอง และคงไม่มีทางทำให้ตัวเองเสียหน้าโดยการส่งคนมาลอบฆ่าอย่างโหดเหี้ยมแบบนี้แน่นอน
ในเมื่อไม่ใช่เฟิ่งจือหลินและเป่ยถางหลงถิง ก็เหลือเพียงผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในวังหลวงแคว้นเป่ยหลีอย่างองค์หญิงหลีอิน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ สีหน้าของเฟิงอู๋โยวก็ยิ่งอำมหิตลงเรื่อยๆ มือข้างหนึ่งกระชับกำกระบี่ยาวอาบเลือด หันหลังขวับ จากนั้นก็พุ่งเข้าโจมตีมือสังหารที่เหลือ
ในเงามืด ฉู่ชีเอ่ยถามไป๋หลี่เหอเจ๋อในสภาพหน้าขาวซีดอย่างเคารพ “ท่านใต้เท้าจะให้ช่วยนางหรือไม่”
“ไม่ต้อง เฟิงอู๋โยวไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น”
ไป๋หลี่เหอเจ๋อที่สวมใส่เสื้อขนจิ้งจอกสีเงิน ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดอย่างเงียบๆ สายตาของเขาจ้องมองเฟิงอู๋โยวที่กำลังฆ่าฟันอย่างกระหายเลือดด้วยความสนใจ
ชั่ววูบหนึ่ง เขาคิดว่าเฟิงอู๋โยวช่างเหมาะสมกับจวินมั่วหรันเป็นยิ่งนัก ทั้งหนักแน่นเด็ดเดี่ยวและทระนงตนเย่อหยิ่งเหมือนกัน
เป็นเวลาเพียงหนึ่งถ้วยชา มือสังหารร่วมร้อยถูกเฟิงอู๋โยวฆ่าทิ้งจนหมดเกลี้ยง
นางเหลือบมองกระบี่ยาวอาบเลือก จากนั้นก็เดินเข้าไปในตรอกอันเปล่าเปลี่ยวตัวคนเดียว ริมฝีปากเรียวฮัมเพลงที่มาจากอีกภพหนึ่ง “ไร้ศัตรูช่างเดียวดาย ช่างเปล่าเปลี่ยวเหลือเกิน!”
“ท่านใต้เท้าเจ้าคะ ดูเหมือนเพลงที่แม่ทัพเฟิงร้องไม่ใช่บทเพลงของแคว้นเป่ยหลี” ฉู่ชีมองเงาร่างที่ค่อยๆ คล้อยห่างออกไปของเฟิงอู๋โยวพลางกระซิบพูดอย่างสงสัย
ไป๋หลี่เหอเจ๋อก็มองเงาร่างจางๆ ของเฟิงอู๋โยวด้วยสายตาลุ่มลึกเช่นกัน จากนั้นก็ถอดเสื้อขนจิ้งจอกสีเงินแล้วยื่นใส่มือฉู่ชี “เอาไปให้นาง”
ฉู่ชีมองใบหน้าซีดเผือดของไป๋หลี่เหอเจ๋อด้วยความตระหนักรู้ว่าเขาบาดเจ็บอยู่ นางกลัวว่าเขาจะตากน้ำค้างอันหนาวเย็นจนอาการทรุดหนัก จึงไม่ยอมรับเสื้อขนจิ้งจอกอันอบอุ่นของไป๋หลี่เหอเจ๋อมาสักที
“ฉู่ชี?” คิ้วโก่งได้รูปของไป๋หลี่เหอเจ๋อขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
“รับทราบเจ้าค่ะ”
ฉู่ชีขานรับเสียงขรึม จากนั้นก็พุ่งตามหลังเฟิงอู๋โยวที่กำลังฮัมเพลงพลางเดินอย่างทระนงตนไปทันที
[1] หนึ่งคำหลุดจากปาก ราชรถอาชายากห้วนคืน หมายถึงเมื่อลั่นวาจาออกไปแล้ว ต้องรักษาสัจจะห้ามคืนคำ