ตอนที่ 133 ระบายอารมณ์
ณ เรือนมั่วหรันในตำหนักเซ่อเจิ้งหวาง
จวินมั่วหรันนอนเอนอยู่บนแคร่ประดับทองคำ เส้นผมดำยาวดั่งน้ำหมึกแผ่สยายอยู่บนผ้าห่มสีฟ้าครามปักดิ้นเงิน
สองตาหลับพริ้ม โครงหน้าหล่อเหลาดั่งถูกแกะสลักมาอย่างบรรจงเจือแววหนาวเหน็บออกมารำไร ริมฝีปากเรียวบางเม้มเข้าหากันเล็กน้อย
ตั้งแต่ยามจื่อมาจนถึงยามหยิน นี่ก็ปาไปสองชั่วยามแล้ว แต่เขายังคงนอนอยู่ในท่าเดิมอย่างยากจะข่มตานอน
ด้านนอกฝนตกหนัก ไม่รู้เฟิงอู๋โยวจะหลบฝนอยู่ที่ใด
นิสัยของนาง หน้าด้านหน้าไม่อายราวกับชายป่าเถื่อนที่ทำตัววางเขื่องไปทั่ว
แต่เรือนร่างของนางกลับเพรียวบางอ้อนแอ้นเป็นยิ่งนัก เกรงว่าคงทนรับสภาพอากาศแบบนี้ไม่ไหว
ยามหยินใกล้คล้อยผ่าน จวินมั่วหรันลุกขึ้นพรวด ดวงตาใสวาวจ้องมองกำแพงขาว อยู่ๆ พลันนึกถึงภาพฉากตอนที่เฟิงอู๋โยวถูกเขาไล่ต้อนจนหลังชนกำแพง
คิ้วโก่งเรียวงามได้รูป ดวงตาวาวประกายดั่งดวงดาว สันจมูกสูงโด่งคมคาย เรียวปากบางชวนเพ้อฝัน ผิวพรรณนวลลออดุจหยกน้ำนม…
ท่ามกลางยามราตรีเช่นนี้ ในห้วงสมองของจวินมั่วหรันเอาแต่พร่ำนึกถึงรายละเอียดของเฟิงอู๋โยวไม่หยุดหย่อน
ครั้นตระหนักได้ว่าตัวเองกำลังฟุ้งเฟ้อ จวินมั่วหรันก็ตั้งสติและคิดว่าหาวิธีทำให้เฟิงอู๋โยวเชื่องให้เร็วที่สุด
ไม่เช่นนั้น ขืนปล่อยให้นางใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกโดยไม่อยู่ข้างกายแบบนี้ เขาคงเอาแต่พร่ำเพ้อละเมอหาและกระวนกระวายแบบนี้อยู่ร่ำไป
เวลาเดินมาจนถึงยามเฉิน จวินมั่วหรันลุกขึ้นมายืนอยู่ด้านหน้าหน้าต่าง สายตามองออกไปตามถนนเส้นเล็กๆ ด้านนอกอย่างจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เถี่ยโส่วอ้าปากหาวเดินผ่านอยู่ด้านนอกหน้าต่างพอดี ครั้นเห็นจวินมั่วหรันยืนอยู่ตรงหน้าต่างอยู่เงียบๆ ราวกับผี เสื้อผ้ายังคงสวมใส่อยู่อย่างเป็นระเบียบ สีหน้าท่าทางดูเคร่งเครียด สองขาของเถี่ยโส่วพลันอ่อนแรงจนคุกเข่าลงพื้นดัง “ตุบ”
“ท่านใต้เท้ายังไม่นอนอีกหรือขอรับ”
“กี่ชั่วยามแล้ว”
“ยามเฉินแล้วขอรับ” เถี่ยโส่วขยี้ตาพลางตอบ
“เข้าเรือน”
จวินมั่วหรันมองเถี่ยโส่วที่ทำหน้างุนงงพลางเอ่ยเสียงเรียบ
เขาอยากให้เถี่ยโส่วอยู่เล่นหมากรุกเป็นเพื่อน หาอะไรทำฆ่าเวลาดีกว่าเฝ้ารออยู่แบบนี้
เถี่ยโส่วกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก งึกๆ งักๆ อยู่นานไม่กล้าเข้าเรือน “ท่านใต้เท้าไม่เข้าวังไปว่าราชกิจหรือขอรับ”
“ไม่”
เถี่ยโส่วได้ยินเช่นนั้นก็เริ่มกังวล เพราะกลัวว่าจวินมั่วหรันจะเกิดอารมณ์แล้วจับเขากดลงเตียง
เมื่อวาน จุยเฟิงกับซือมิ่งบอกว่าอาการป่วยทางจิตของจวินมั่วหรันกำเริบขึ้นอีกครั้งจนอุ้มเฟิงอู๋โยวเข้าเรือนกระทำอะไรบางอย่าง ชนิดที่มีเสียงร้องครวญครางดังขึ้นหลายระลอก
นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะเป็นตัวเอง
เถี่ยโส่วทำหน้าเหยเก ขมุบขมิบปากบ่นอุบ “หากกระหม่อมเข้าเรือนไป ขอท่านใต้เท้าอย่าทำอะไรมิดีมิชอบกับกระหม่อมเลยนะขอรับ กระหม่อมกลัวเจ็บ”
“…”
จวินมั่วหรันมองเถี่ยโส่วอย่างจนปัญญา เขาสัมผัสได้ว่าเถี่ยโส่วไม่เชื่อใจเขา
“มาเล่นหมากรุกเป็นเพื่อนข้า”
“หะ?”
ก่อนหน้านี้เถี่ยโส่วคิดไปในแง่ไม่ดี และเมื่อได้ยินจวินมั่วหรันพูดว่าให้เล่นหมากรุกเป็นเพื่อน เขาก็โล่งใจขึ้นมาและรีบขานรับ “รับทราบขอรับ”
ทั้งสองนั่งอยู่ด้านหน้ากระดานหมากรุก จวินมั่วหรันลงหมากด้วยมือหนึ่งข้าง ความสง่างามในแบบของราชาแฝงอยู่ในทุกกิริยาท่วงท่า
เขาวางหมากพลางเอ่ยถาม “เรื่องที่ข้าให้ไปสืบมาที่แคว้นเป่ยหลี เป็นเยี่ยงไรบ้าง”
เถี่ยโส่วขมวดคิ้วแน่น เขาคิดว่าจะพลิกสถานการณ์การเดินหมากด้านหน้าไปพร้อมๆ กับเอ่ยปากตอบกลับ “ได้ข้อมูลมาเยอะมากจนไม่รู้ว่าจะเริ่มรายงานท่านใต้เท้าจากตรงไหนเลยขอรับ”
“เช่นนั้นก็จงรายงานมาสักเรื่อง”
เถี่ยโส่วกระแอมปรับน้ำเสียงก่อนรายงานข้อมูลทั้งหมดที่ตัวเองสืบมาได้จากแคว้นเป่ยหลี
“แม่ที่แท้จริงของแม่ทัพเฟิง นามว่าชิวหรูสุ่ย เดิมทีเป็นเพียงสนมล้างเท้าของหวงโฮ่ว[1]แห่งแคว้นเป่ยหลี ว่ากันว่าก่อนหน้านี้สิบแปดปี พ่อของแม่ทัพเฟิงนามว่าเฟิ่งจือหลินได้พบรักกับนางที่งานเลี้ยงในวังหลวง จึงได้ยื่นขอร้องนางต่อหวงโห่วและนำกลับไปอยู่กินที่กรมทหาร จนนางพอมีชื่อเสียงขึ้นมาบ้าง แต่ที่น่าแปลกก็คือ…ชิวหรูสุ่ยกลับไม่ใช่ภรรยาคนโปรดของเฟิ่งจือหลิน จนกระทั่งเมื่อสี่ปีก่อน แม่ทัพเฟิงได้สำแดงศักยภาพด้านทหารโดยการเอาชนะศึกระหว่างแคว้นเป่ยหลีกับแคว้นซีเยว่ได้หลายหน จึงเป็นเหตุให้เฟิ่งจือหลินเลื่อนขั้นให้ชิวหรูสุ่ยขึ้นเป็นภรรยาเอก”
ข้อมูลยิบย่อยพวกนี้ จวินมั่วหรันสืบรู้มาตั้งนานแล้ว
เขาไม่สนใจชาติกำเนิดของเฟิงอู๋โยวเท่าไร เขาแค่อยากรู้เรื่องราวในอดีตของนางเท่านั้น
เถี่ยโส่วถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนพูดขึ้นต่อ “ตอนนี้ ประชาชนในแคว้นเป่ยหลีพากันเข้าใจว่าแม่ทัพเฟิงขืนใจลวนลามองค์หญิงหลีอิน ทำให้ผู้คนพากันสาปแช่งด่าทอเขากันทั่วบ้านทั่วเมือง แต่ว่าเหล่าลูกน้องของแม่ทัพเฟิงล้วนรู้ความจริง ซึ่งเป็นความจริงที่ต่างจากข่าวลืออยู่ไกลโข”
“ว่ามา”
“จากที่ได้ยินจากปากลูกน้องของแม่ทัพเฟิง เฟิงอู๋โยวเป็นทหารที่รักษากฎระเบียบเข้มงวดและตั้งตนอยู่ในครรลองครองธรรม ไม่มีทางล่วงละเมิดองค์หญิงหลีอินแน่นอน ในยามดึกของวันที่เกิดเหตุ เฟิงอู๋โยวไม่ได้สั่งคนจับมัดองค์หญิงหลีอินแต่อย่างใด แต่ความจริงก็คือเป่ยถางหลีอินได้ปลอมตัวเป็นสาวรับใช้เข้ามาในค่ายทหารเพื่อต้องการเข้าถึงตัวแม่ทัพเฟิง เนื่องจากเกิดความเสน่หาในตัวของเขา แต่โชคไม่ดีกลับถูกฮ่องเต้แห่งแคว้นเป่ยหลีพบเจอเข้า เพื่อปกป้องชื่อเสียงและหน้าตาของตน เป่ยถางหลีอินถึงโยนความผิดให้แม่ทัพเฟิงว่าเป็นฝ่ายล่วงละเมิดนางและบอกว่าแม่ทัพเฟิงจับมัดพาตัวเข้ามาในค่ายทหาร เพื่อต้องการกระทำมิดีไม่ชอบกับนาง”
จวินมั่วหรันขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางเอ่ยเสียงเย็น “ส่งคนลอบเข้าไปในวังหลวงแคว้นเป่ยหลีแล้วจัดการเป่ยถางหลีอินทิ้งเสีย”
“ท่านใต้เท้าขอรับ จงอย่าได้ดูถูกพลังอำนาจขององค์ชายแห่งแคว้นเป่ยหลี ผู้ที่คิดจะลงมือกับน้องสาวของเขาล้วนถูกจับได้โดยเส้นสายทั่วทั้งแคว้นเป่ยหลี มันอันตรายเกินไปขอรับ”
“แล้วมันเป็นเยี่ยงไร”
จวินมั่วหรันวางหมากลงบนกระดานเป็นอันรุกฆาต
น้ำเสียงของเขาเจือแววคลุ้มคลั่งและทระนงตน เขาไม่สนใจคนอย่างเป่ยถางหลงถิงแม้แต่น้อย
“รับทราบขอรับ”
เมื่อเห็นท่าทางหนักแน่นของจวินมั่วหรัน เถี่ยโส่วก็ไม่พูดขึ้นอีก
ขณะกำลังจะลุกขึ้น อยู่ๆ เถี่ยโส่วก็นึกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง “ท่านใต้เท้าขอรับ ตามเขตคูเมืองมีข่าวลือเกี่ยวกับแม่ทัพเฟิงกันอย่างหนาหู กระหม่อมไม่รู้ว่าควรเล่าดีหรือไม่”
“ว่ามา”
“ตามหลักแล้ว หากเป่ยถางหลีอินประสงค์ร้ายกับแม่ทัพเฟิงจริงๆ ลุงแท้ๆ ของเป่ยถางหลีอินนามว่าหลิงซงไป่ ที่มีศักดิ์เป็นถึงโย่วเซี่ยงแห่งแคว้นเป่ยหลี ควรออกโรงปกป้องเป่ยถางหลีอินถึงจะถูก แต่ที่น่าแปลกก็คือช่วงที่ผ่านมา หลิงซงไป่กลับมีท่าทีเหมือนพยายามทวงคืนความยุติธรรมให้แม่ทัพเฟิงในท้องพระโรงวังหลวง ซึ่งท่าทางของเขาเด็ดเดี่ยวหนักแน่นเป็นยิ่งนัก”
“ภายในสามวันนี้ จงสืบเรื่องของเป่ยถางหลีอินมาอย่างละเอียด”
เถี่ยโส่วโค้งตัวคำนับ “ขอรับ”
จวินมั่วหรันครุ่นคิดในใจ การที่เป่ยถางหลีอินลงมือกับเฟิงอู๋โยวแบบนี้ มันช่างน่าสงสัยเป็นยิ่งนัก ดูเหมือนจะมีแรงจูงใจบางอย่างซุกซ่อนอยู่เบื้องหลัง
หากเป่ยถางหลีอินชื่นชอบเฟิงอู๋โยวจากใจจริง นางคงไม่บุกเข้าค่ายทหารแบบนี้
การที่นางทำแบบนี้เหมือนมีแผนการตั้งใจโยนความผิดบางอย่างให้เฟิงอู๋โยวตั้งแต่แรกแล้ว
อีกอย่าง ทั่วทั้งแคว้นต่างรู้กันว่าโย่วเซี่ยงแห่งแคว้นเป่ยหลีอย่างหลิงซงไป่นิสัยเหมือนฮ่องเต้แห่งแคว้นเป่ยหลีคือ…หลับหูหลับตาปกป้องคนในครอบครัว
แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ การที่หลิงซงไป่แปรเปลี่ยนเป็นฝ่ายช่วยเหลือเฟิงอู๋โยวในท้องพระโรงวังหลวงแบบนี้ มันช่างน่าประหลาดเหลือเกิน
แต่สิ่งที่จวินมั่วหรันให้ความสำคัญกลับไม่ใช่เรื่องสัพเพเหระในวังหลวงแคว้นเป่ยหลี
เขาผินหน้าเอ่ยถามเถี่ยโส่วเสียงเย็น “นี่เป็นข่าวลือที่เจ้าได้ยินมาเรื่องเดียวอย่างนั้นหรือ”
เถี่ยโส่วส่ายหน้า “กระหม่อมยังได้ยินข่าวลือมาอีกเรื่องหนึ่ง ว่ากันว่าลูกชายคนโตของหลิงซงไป่ยกย่องชื่อชมแม่ทัพเฟิงมาตลอด”
“หลิงเทียนฉี?”
จวินมั่วหรันปวดขมับขึ้นมาทันที
เนื่องจากช่วงหลังๆ มานี้ จวินมั่วหรันคุ้นชินกับการใช้กำลังแก้ไขความขัดแย้ง จึงไม่ได้ฟังข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้มาเป็นเวลานาน
“ว่ากันว่า แม่ทัพเฟิงมักจะพูดคุยดื่มกินกับเขาเป็นประจำ ความสัมพันธ์ของทั้งสองสนิทสนมกันยิ่งนัก”
จวินมั่วหรันได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกเหมือนมีก้อนหนาทึบไร้รูปทรงผุดขึ้นมากลางอก ก่อนปัดมือกวาดหมากรุกบนกระดานล้มระเนระนาด
เถี่ยโส่วมองหน้าเคร่งขรึมของจวินมั่วหรันอย่างหวั่นใจ ก่อนพูดขึ้นตะกุกตะกัก “ท่านใต้เท้า กระหม่อมผิดไปแล้ว หลังจากนี้กระหม่อมจะฝึกเล่นหมากรุกให้ดีกว่านี้ขอรับ!”
ด้านนอกเรือน จุยเฟิงส่ายหน้าอย่างจนปัญญา ภายในใจคิดมาตลอดว่าเถี่ยโส่วเป็นพวกสมองทึ่มขนานแท้ เห็นๆ อยู่ว่าจวินมั่วหรันกำลังหึงเฟิงอู๋โยวเพราะคนที่ชื่อว่าหลิงเทียนฉี แต่เถี่ยโส่วกลับเข้าใจผิดคิดว่าจวินมั่วหรันโกรธตัวเองเพราะเดินหมากไม่ดี
เมื่อเถี่ยโส่วออกจากเรือนมาอย่างลนลาน จวินมั่วหรันก็เหลือบมองจุยเฟิงที่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตู ภายในใจพลันนึกหงุดหงิด
เขาถามขึ้นเสียงเย็น “กี่ชั่วยามแล้ว”
จุยเฟิงมองสีท้องฟ้าก่อนตอบ “ปลายยามเฉิน”
ทุกการกระทำคำพูดย่อมมีเหตุผล!
เฟิงอู๋โยวไม่กลับมา จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาร่าง นางช่างกล้าทำเช่นนี้
จวินมั่วหรันหงุดหงิดเป็นที่สุด ขณะเงยหน้าขึ้นมาก็พบกับจุยเฟิงที่กำลังยืนอมยิ้มอยู่พอดี จึงได้ตำหนิด้วยน้ำเสียงดุดัน “ข้าเสียเงินไปมากมายเพื่อจ้างคนมาสอนเจ้า แต่นี่มันกี่โมงยามแล้ว ไฉนเจ้ายังไม่ไปตามคนที่ข้าจ้างมาสอนอีก”
จุยเฟิงสะกิดจมูกตัวเองพลางพูดเสียงเล็กเสียงน้อย “ตอนเช้าตรู่ กระหม่อมได้ไปตามแม่ทัพเฟิงแล้วขอรับ แต่ว่าเขาเพิ่งจะเสียเงินซื้อเรือนเก่าๆ ด้านหลังหอนางโลมไปในราคาห้าแสนตำลึงเงินและตอนนี้เขากำลังทำความสะอาดที่นั่นอยู่ขอรับ”
จวินมั่วหรันนึกไม่ถึงว่าเฟิงอู๋โยวจะซื้อเรือนเร็วขนาดนี้
ถนนเส้นหอนางโลมเป็นพื้นที่ที่ราคาแพงที่สุดในเมืองหลวง
เป็นทำเลทำเงินทำทองที่ดีที่สุด
แต่สายตาของเฟิงอู๋โยวกลับร้ายกาจ นางไปเลือกซื้อพื้นที่ที่ราคาถูกที่สุดในย่านคนพลุกพล่าน
เดิมทีเรือนนั้นเป็นของเศรษฐีผู้ร่ำรวยคนหนึ่ง แต่น่าเสียดาย เศรษฐีผู้นี้กลับมาก็มีเมียน้อยเต็มไปหมด จนถูกฆ่าตายไปด้วยความอิจฉาริษยา
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เรือนนี้ก็รกร้างว่างเปล่า ไม่มีใครกล้าซื้อและเต็มไปด้วยความอัปมงคล
จุยเฟิงถอนหายใจ “สายตาของแม่ทัพเฟิงช่างเฉียบแหลม”
“ช่างเลี้ยงไม่เชื่อง! ไม่นึกว่าจะซื้อเรือนในย่านหอนางโลม เขาคงเห็นว่าตรงนั้นมันสะดวกสบายแก่การเสพสุขสินะ”
จุยเฟิงได้ยินเช่นนั้นก็พยายามหุบยิ้มลง
แต่ความหงุดหงิดภายในใจของจวินมั่วหรันกลับยังไม่จางหาย เขาระบายอารมณ์หึงหวงที่ไม่มีที่ลงใส่จุยเฟิงอย่างไม่ยอมปล่อย “เป็นครูหนึ่งวัน เปรียบดั่งเป็นพ่อชั่วชีวิต การกระทำของเฟิงอู๋โยวไม่เป็นผู้เป็นคนเช่นนี้ เจ้าก็ควรพยายามคอยเตือนและกำชับเขาบ้าง ไฉนถึงปล่อยให้เขาทำเรื่องไร้สาระพรรค์นี้”
จุยเฟิงรู้สึกเหงื่อตก ภายในใจคิดว่า ขนาดจวินมั่วหรันยังควบคุมเฟิงอู๋โยวไม่ได้เลย แล้วนับประสาอะไรกับเขา
อีกอย่าง คำว่าพูดของจวินมั่วหรันที่ว่า “เป็นครูหนึ่งวัน เปรียบดั่งเป็นพ่อชั่วชีวิต” ก็ช่างกำกวมชวนคิดลึกเหลือเกิน
หากเขาเรียกเฟิงอู๋โยวว่า ‘พ่อ’ แล้วควรเรียกจวินมั่วหรันว่าอะไร
หรือว่าต้องเรียกว่า ‘แม่’? !
[1] หวงโฮ่ว คือพระอัครมเหสี