ตอนที่ 144 หมาน้ำลายยืด / ตอนที่ 145 อาหวงคือใคร
ตอนที่ 144 หมาน้ำลายยืด
สายลมเย็นพัดแผ่วยามราตรี
แสงจันทร์สลัวส่องลอดเงาใบไม้ ราตรีหลับใหลเงียบสงัด
ภายในเรือนแพทย์ เฟิงอู๋โยวยังคงเหมือนคืนวาน นอนกอดร่างนุ่มนิ่มของชิงหลวนนอนหลับ
จวินมั่วหรันที่แลดูชั่วร้ายพราวเสน่ห์ ย่องเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง
ภายในแสงจันทร์สลัว เขาเดินเข้ามาด้านหน้าเตียงอย่างไร้สุ่มเสียงและมองดูเฟิงอู๋โยวที่นอนหลับอย่างไร้เค้ากุลสตรี แต่ดูช่างน่ารักในสายตาของเขา
“อาหวง…อาหวง ให้ข้าลูบพุงเจ้าหน่อย”
เฟิงอู๋โยวละเมอพูดงึมงำ จากนั้นก็เลิกเสื้อชิงหลวนขึ้นมาอย่างชินมือ
จวินมั่วหรันเห็นเช่นนั้นก็กระชากเฟิงอู๋โยวตกเตียงพลางเอ่ยเสียงเรียบ “อาหวงคือใคร”
เฟิงอู๋โยวส่งเสียงอู้อี้ในลำคอพลางพลิกตัว จากนั้นก็นอนหนุนรองเท้าของจวินมั่วหรันหลับต่อ
“…”
เหมือนหมูไม่มีผิด! นอนบนพื้นก็หลับได้
จวินมั่วหรันหน้าบึ้งตึง ในหัวคิดอยากเตะเฟิงอู๋โยวให้กระเด็น ทว่าสายตาของเขาดันเหลือบไปเห็นธูปนิทราที่ยังไม่มอดปักอยู่แถวหน้าต่าง
ที่แท้เจ้าหมอนี่ไม่ได้นอนหลับลึกด้วยตัวเอง แต่ถูกคนรมควันด้วยธูปนิทรานี่เอง
เมื่อตระหนักถึงอันตรายที่แฝงอยู่ใกล้ตัวเฟิงอู๋โยว คิ้วงามได้รูปของเขาก็ขมวดแน่น
นิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง จวินมั่วหรันก็ก้มตัวเองและช้อนอุ้มเฟิงอู๋โยวมาไว้ในอ้อมกอด
เฟิงอู๋โยวรู้สึกถึงมือหนาใหญ่เย็นเยียบที่สัมผัสเข้าที่เอวก็ละเมอพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
ใบหน้าของจวินมั่วหรันยังคงเรียบนิ่งไร้แววสะทกสะท้าน ดวงตาจ้องมอง “เจ้าแมวป่าตัวน้อย” ในอ้อมกอด จากนั้นก็กระโดดออกนอกหน้าต่างจากไป
ภายในแสงจันทร์นวลผ่อง จวินมั่วหรันเร่งฝีเท้าพาดผ่านน่านฟ้าราตรี ไม่นานก็อุ้มเฟิงอู๋โยวมาถึงห้องสำราญบนชั้นสองของบ่อนพนัน
ลมราตรีเย็นแผ่ว มือสองข้างของเฟิงอู๋โยวกำสาบเสื้อด้านหน้าของจวินมั่วหรันแน่น ตอนกลางวัน เรียวปากเล็กๆ ของนางยังคงพูดเสียงแจ้วๆ ไม่หยุด ตกดึกมากลับสงบนิ่ง เผยให้เห็นปากกระจับอันคมชัดและน่าดึงดูดเป็นพิเศษ
จวินมั่วหรันค่อยๆ วางเฟิงอู๋โยวลงบนเตียง เดิมทีเขาอยากสั่งคนให้เอาน้ำเย็นมาสาดปลุกนางให้ตื่น
พอคิดไปคิดมาก็ลงมือทำเช่นนั้นกับนางไม่ได้
พอเปลี่ยนเตียง เฟิงอู๋โยวก็เริ่มรู้สึกไม่ชิน จึงละเมอพูดขึ้นอีกครั้ง “อาหวง…แกมันไม่เอาไหน! แค่หมาตัวเมียสีขาวตัวเดียว เจ้าถึงกับไม่แยแสข้า”
“อาหวงเป็นใคร”
คิ้วทรงกระบี่ของจวินมั่วหรันขมวดแน่น ในข้อมูลที่ซือมิ่งรวบรวมมาไม่เห็นมีบุคคลที่ชื่ออาหวงอยู่เลย หรือว่าเขาจำผิด
หรือว่า หลิงเทียนฉี บุตรชายอัครเสนาบดีฝ่ายขวาแห่งแคว้นเป่ยหลีที่สนิทสนมกับเฟิงอู๋โยวคนนั้นจะมีชื่อเล่นว่าอาหวง
“อาจเป็นแบบนี้ก็ได้! บังอาจนึกถึงคนอื่นลับหลังข้า” ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห จวินมั่วหรันเอื้อมมือข้างหนึ่งไปบีบแก้มเฟิงอู๋โยว จากนั้นก็กัดริมฝีปากนาง
“โอ้ย! เจ็บจัง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น จวินมั่วหรันจึงปล่อยออก แต่มือของเขายังคงบีบอยู่ที่แก้มของนาง “บอกว่า อาหวงคือใคร”
“อาหวงเป็นตัวผู้”
เฟิงอู๋โยวยังคงละเมองึมงำ “พระแม่กวนอิมช่วยลูกด้วย หมาตัวใหญ่กัดปากลูก”
“…”
จวินมั่วหรันหมดคำจะพูด เขาไม่คิดไม่ฝันว่าเฟิงอู๋โยวที่ถูกรมควันจนหลับไม่รู้เรื่องแบบนี้ยังคงยั่วโมโหเขาได้อยู่อีก
ขณะที่เขากำลังคิดจะโยนนางออกนอกหน้าต่าง เฟิงอู๋โยวก็ลุกขึ้นพรวด จากนั้นก็พุ่งเข้าหาเขาอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้า
เสี้ยววินาทีก่อนหน้านี้ จวินมั่วหรันสามารถปัดนางออกไปได้และสามารถชกนางให้กระเด็นออกนอกหน้าต่างได้
แต่ว่าเรือนร่างอันนุ่มนวลอบอุ่นอยู่ในอ้อมกอดแบบนี้ ใครจะผลักออกได้ลงคอ
ครั้นสัมผัสโดนเรือนร่างอันนุ่มนิ่มของเฟิงอู๋โยว จวินมั่วหรันก็ตัวแข็งทื่อทันควันและปล่อยให้มือเล็กๆ ของนางลูบคลำตามใบหน้าของตัวเองตามอำเภอใจ
“พระแม่กวนอิมอนุญาตให้ข้ากัดโต้ตอบ!”
ทันทีที่สิ้นสุดเสียงก็อ้าปากกว้างเข้ากัดสันจมูกอันสูงโด่งของจวินมั่วหรันเต็มปาก
“เฟิง อู๋ โยว!”
จวินมั่วหรันโมโหจนเลือดขึ้นหน้า น้ำเสียงทรงเสน่ห์ของเขาอุดอู้ขึ้นจมูก
มือข้างหนึ่งง้างขึ้น เขาโมโหจนสามารถทุบกะโหลกน้อยๆ ของนางให้เละได้เลย
“เจ้าหมาหอมจัง ผิวก็ลื่น!”
เฟิงอู๋โยวปล่อยปากออก จากนั้นก็ถูแก้มอุ่นๆ กับจมูกของจวินมั่วหรัน “แปลกจัง! ทำไมกลิ่นของเจ้าหมาเหมือนกับเจ้าขี้โรคเลย”
พูดจบ นางก็ยื่นจมูกมาที่แก้มจวินมั่วหรันแล้วสูดดม
จากนั้นนางก็สะบัดหน้าออกอย่างรังเกียจก่อนบ่นพึมพำ “มีแต่กลิ่นน้ำลาย จากนี้ข้าจะเรียกเจ้าว่าหมาน้ำลายยืด”
จวินมั่วหรันถูกนางยั่วโมโหจนตัวสั่นเทิ้ม ทั้งๆ ที่นางเป็นคนงับหน้าเขาเอง แต่นางกลับรังเกียจใบหน้าเขาที่เปื้อนน้ำลายของนางเอง!
แต่ที่น่าหงุดหงิดยิ่งกว่าสิ่งใดก็คือ…ไม่ว่านางจะยั่วโมโหเขามากแค่ไหน เขาก็ตัดใจลงมือกับนางไม่ลง
ตอนที่ 145 อาหวงคือใคร
จวินมั่วหรันพยายามสะกดไฟโทสะในใจลงและผลักเฟิงอู๋โยวออก “หลับแต่เหมือนไม่หลับ!”
“หนาว…”
มือสอข้างของเฟิงอู๋โยวยกขึ้นกอดอก ตัวสั่นเล็กน้อย
จวินมั่วหรันเหลือบตามองเฟิงอู๋โยวที่เริ่มหดตัวเป็นกุ้งอยู่มุมเตียง ภายในใจเกิดหงุดหงิดขึ้นมา
มีผู้ชายที่ไหนกลัวหนาวขนาดนี้
เอาแต่ใจ!
อ่อนแอ!
“ไร้ประโยชน์”
จวินมั่วหรันพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ ดวงตาเจือแววดูถูกเล็กน้อย
แต่หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา เขาก็ห่มผ้าให้เฟิงอู๋โยวด้วยมือของเขาเอง…มิหนำซ้ำยังจัดระเบียบผ้าห่มให้นางอย่างเป็นห่วงเป็นใย
เขานอนลงข้างๆ นางและมองสภาพนางนอนหลับ แววตาพลันฉายแววลุ่มลึกลงเรื่อยๆ
ถ้าเฟิงอู๋โยวเป็นผู้หญิงก็คงจะดีไม่น้อย
หากเป็นแบบนั้น เขาก็สามารถกอดนางได้อย่างไม่ประดักประเดิดและยังสามารถมีลูกกับนางได้อีก
เมื่อคิดแบบนี้ หัวใจของเขาก็เต้นแรงขึ้น
เขาเอื้อมมือข้างหนึ่งขึ้นมาจับหน้าอก ความรู้สึกว้าวุ่นใจก็เข้ามาเกาะกุมอย่างไร้ที่มา
เพี้ยะ!
เฟิงอู๋โยวในสภาพหลับลึก พลิกตัวกลับมาพร้อมกับฝ่ามือที่สะบัดเข้ามาฟาดใบหน้าจวินมั่วหรันอย่างจัง
“เฟิงอู๋โยว อยากตายนักหรือ”
จวินมั่วหรันลุกขึ้นพรวด มือข้างหนึ่งจับข้อมือของนางไว้แน่น
เฟิงอู๋โยวยังคงจมอยู่ในห้วงนิทรา แต่กระนั้นก็ยังพูดโต้ตอบคำถามง่ายๆ ได้อยู่
แต่คำถามอย่างเช่นเรื่องความเป็นความตายหรือความรู้สึก ตอนนี้มันซับซ้อนเกินไปสำหรับนาง
“ดุจัง อ่อนโยนหน่อยไม่ได้หรือ”
นางบุ้ยปากเพราะรู้สึกถึงความปวดตึงๆ ที่แผ่ซ่านมาจากข้อมือ เหมือนนางพยายามจะลืมตาขึ้นมาแต่ก็ทำไม่ได้
ถ้าอยู่ในสภาพปกติ แค่มีคนเข้าใกล้เตียง นางก็รู้ตัวแล้ว
ทั้งนี้ก็เป็นเพราะธูปนิทราครึ่งก้านที่อยู่ในเรือนแพทย์เล่มนั้นมีฤทธิ์หลอนประสาทและทำลายประสาทสัมผัสของนาง
คิ้วของจวินมั่วหรันย่นเข้าหากันเล็กน้อยเมื่อตระหนักได้ว่าตัวเองใช้แรงมากไปจนทำให้ข้อมือนางเป็นรอย ครั้นจึงปล่อยมือออกก่อนพูดเสียงเรียบ “หากลงมืออีกครั้ง ข้าจะสำเร็จโทษเจ้าตรงนี้”
เมื่อคำพูดเช่นนี้ถูกเปล่งออกมา ทั่วทั้งร่างของเขาก็ขนลุกซู่
แม้แต่ตัวเขาเองก็นึกไม่ถึงว่าจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา
“สำ สำเร็จโทษตรงนี้ หมายความว่าอะไร”
เฟิงอู๋โยวส่งเสียงงึมงำ แต่ไม่รอเขาตอบ นางก็มุดหัวเข้ามาในอ้อมกอดเขาก่อนหลับปุ๋ย
กอกๆๆ
เสียงเคาะประตูดังแผ่วมาจากด้านนอก
จวินมั่วหรันกลัวว่าเสียงนั่นก็ปลุกเฟิงอู๋โยวตื่น จึงใช้มือทั้งสองข้างปิดหูนาง จากนั้นก็มองไปที่ประตู
“มีเรื่องอะไร”
เสียงจุยเฟิงตอบกลับร้อนใจ “จากรายงานของทหารเงาที่เฝ้าคุ้มกันอยู่ด้านนอกเรือนแพทย์พยากรณ์ ฟู่เย่เฉินเข้าเรือนแพทย์ไปตั้งแต่หนึ่งชั่วยามก่อน บัดนี้ก็ยังไม่ออกมาขอรับ”
จวินมั่วหรันตอบรับเสียงเรียบ “อืม”
เมื่อจุยเฟิงได้ยินเช่นนั้นก็ประหลาดใจเป็นที่สุด
เขาคิดว่าจวินมั่วหรันได้ยินสิ่งที่เขาพูดไม่ชัด ไม่เช่นนั้นคงไม่นิ่งเฉยขนาดนี้
“ท่านใต้เท้าขอรับ แม่ทัพเฟิงถูกฟู่เย่เฉินรมควันสลบและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย กระหม่อมได้สั่งคนค้นหาทั้งด้านในและด้านนอกเรือนจนทั่วแล้ว แต่ก็ยังไม่พบร่องรอยของแม่ทัพเฟิง”
จวินมั่วหรันมองเฟิงอู๋โยวที่นอนกอดแขนเขา ดวงตาเจือแววอ่อนโยนขึ้นรำไร แต่กลับตอบกลับจุยเฟิงด้วยเสียงเยือกเย็น “เขาจะเป็นหรือตายก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า”
จุยเฟิงมองบานประตูอย่างงุนงง เขาไม่เข้าใจว่าทำไมท่าทีของจวินมั่วหรันถึงเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วแบบนี้!
“ไม่ต้องการตามหาแม่ทัพเฟิงจริงๆ หรือขอรับ” จุยเฟิงเค้นถามอย่างไม่ยอม
“ไม่จำเป็น”
จวินมั่วหรันตอบกลับอย่างหนักแน่น
แต่แล้วเหตุไม่คาดฝันก็ขึ้น เฟิงอู๋โยวที่ดูเหมือนจะหลับสนิทไปก่อนนี้ละเมอพูดขึ้นอีกรอบ “ชิงหลวน ข้าขอลูบพุงเจ้าหน่อย”
ทันทีที่เสียงของนางสิ้นสุดลง มือเรียวยาวของนางก็เลื้อยลวนลามราวกับงู ไปตามหน้าท้องกำยำของจวินมั่วหรัน
จวินมั่วหรันเขินอายหน้าแดงก่ำ
เขาปัดมือของเฟิงอู๋โยวออกพลางกระแอมกลบความเคอะเขินในใจตัวเอง
จุยเฟิงได้ยินเสียงเล็กๆ ของเฟิงอู๋โยวดังขึ้นด้านใจห้องก็เข้าใจขึ้นมาทันที
ถึงว่า…คนอย่างจวินมั่วหรันก็ไม่สนใจความเป็นความตายของเฟิงอู๋โยวได้เยี่ยงไร
ที่แท้ จวินมั่วหรันพาตัวเฟิงอู๋โยวมากกไว้ที่ห้องนี่เอง!
เมื่อจุยเฟิงเห็นเช่นนี้ ก็ยิ่งตอกย้ำความคิดของเขาที่ว่า…จวินมั่วหรันได้ลิ้มลองรสชาติอันโอชะยากจะลืม อารมณ์กำหนัดเริ่มถูกกระตุ้นขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เพิ่งครึ่งค่อนคืน ดังนั้นไม่ควรปล่อยเฟิงอู๋โยวให้หลุดไปจากที่นี่เด็ดขาด
เขายิ้มร่าอย่างดีใจก่อนกล่าวลา “ท่านใต้เท้าสู้ๆ นะขอรับ กระหม่อมขอตัวก่อน”
สู้ๆ?
สีหน้าของจวินมั่วหรันเหยเกยิ่งกว่าเดิม เอื้อมมือไปบีบแก้มของเฟิงอู๋โยว “บังอาจทำให้ข้าขายหน้า!”
“เจ็บ!”
และแล้วเฟิงอู๋โยวก็ตื่นขึ้นมา
นางค่อยๆ ลืมตามองดวงตาใสวาวของจวินมั่วหรันที่อยู่ข้างๆ
“อ้าก! ผีหลอก ผีหลอก!”
เฟิงอู๋โยวสะดุ้งตกใจลุกขึ้นพรวดพราด มือพลันทุบเข้าไปที่หน้าอกจวินมั่วหรัน “ใครใช้ให้เจ้ามาเข้าฝันข้า ช่างเป็นเหมือนวิญญาณตามหลอกหลอนเสียจริง!”
“ไหนลองพูดอีกครั้งสิ” จวินมั่วหรันพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นเซาะกระดูก
“นี่ นี่ไม่ใช่ความฝันหรอกหรือ”
เฟิงอู๋โยวถูกจวินมั่วหรันถลึงตาใส่จนตกใจ ก่อนร่นถอยหลังกลับไปทันที
นางกอดเข่าพลางหันมองสำรวจรอบๆ
“ที่นี่ที่ไหน”
“บ่อนพนัน”
“ท่านใต้เท้าคงไม่ได้เล่นพนันแพ้จนหมดตัวแล้วเอากระหม่อมมาขายใช่หรือไม่” เฟิงอู๋โยวมองจวินมั่วหรันอย่างไม่เข้าใจ
มุมปากจวินมั่วหรันรั้งขึ้นทำมุม เขารู้สึกว่าท่าทางแตกตื่นของเฟิงอู๋โยวช่างน่ารักน่าหลงใหล
เมื่อเฟิงอู๋โยวเห็นเขาไม่พูดอะไร ก็เค้นถามขึ้นอีก “ท่านไม่ได้เอากระหม่อมมาขายให้บ่อนพนันใช่หรือไม่”
“หากใช่ แล้วจะทำไม”
จวินมั่วหรันนึกสนุกขึ้นมา ดวงตาดำสนิทของเขาเปล่งประกาย
“ท่านโง่จริงๆ แค่พนันก็เล่นไม่เป็น!”
เฟิงอู๋โยวมองจวินมั่วหรันด้วยสายตาดูถูก จากนั้นก็ลุกขึ้นลงจากเตียงและวิ่งไปด้านหน้าหน้าต่าง ก่อนมองสำรวจบรรยากาศอันเงียบเชียบของนอก
นางหันตัวกลับมาเล็กน้อย จากนั้นก็กวักมือให้จวินมั่วหรัน “ยังไม่รีบหนีอีก”
“หนีอะไร”
“ท่านใต้เท้าไม่รู้หรอกหรือ บ่อนพนันเป็นกิจการสีดำที่มีแต่พวกโหดร้าย ชอบทารุณเยี่ยงอมนุษย์ แม้ท่านใต้เท้าของเป็นเซ่อเจิ้งหวางผู้ยิ่งใหญ่ แต่ถ้าคืนเงินพวกนั้นไม่ได้ จุดจบไม่สวยแน่นอน ดังนั้น พวกเรา…” เฟิงอู๋โยวพูดได้ครึ่งหนึ่ง อยู่ๆ ก็สังเกตเห็นสีหน้าของจวินมั่วหรันที่ยังแน่นิ่งไม่สะทกสะท้าน แล้วทันใดนั้นนางก็ตระหนักขึ้นได้ทันทีว่าตัวเองถูกเขาแกล้งอีกแล้ว
นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือกก่อนพุ่งตรงไปด้านหน้าเตียง จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยเสียงดุดัน “ทำไมต้องหลอกข้าด้วย”
“ข้าหลอกเจ้าตอนไหน”
“ท่านร่ำรวยขนาดนั้นจะแพ้พนันจนหมดตัวได้เยี่ยงไร!”
จวินมั่วหรันค่อยๆ เอ่ยปากพูด “เฟิงอู๋โยว เจ้าได้ยินข้าพูดว่าข้าแพ้พนันจนหมดตัวตอนไหน”
“แล้วทำไมท่านถึงเอาข้ามาขายที่บ่อนพนันด้วย”
“บ่อนพนันแห่งนี้เป็นของข้า หากเจ้ายอมขายตัวเองให้กับบ่อนพนันแห่งนี้ก็หมายความว่าเจ้ากำลังขายตัวเองให้ข้าผู้นี้อยู่”
เฟิงอู๋โยวกะพริบตาปริบๆ นางไม่คิดไม่ในว่าจวินมั่วหรันจะเปิดบ่อนพนันได้ลงคอ
ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ นางถูกพวกยามที่บ่อนพนันวิ่งไล่ทั่วท้องถนน หรือว่าเป็นคำสั่งของเขา
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เฟิงอู๋โยวก็อารมณ์เสียขึ้นมาทันที
“ท่านใต้เท้าคืนเงินกระดาษมาให้กระหม่อมเดี๋ยวนี้!”
“ข้าไปติดหนี้เจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่”
“กระหม่อมชนะพนันที่นี่เป็นเงินหนึ่งล้านตำลึงเงิน ท่านเป็นคนสั่งให้ยามที่นี่ไล่จับกระหม่อมไม่ใช่หรือ กระหม่อมทำร่วงจำนวนหนึ่ง คนของท่านจะต้องเก็บไปแน่อน”
จวินมั่วหรันเพิ่งนึกขึ้นได้ “เรื่องนี้นี่เอง”
“ลูกผู้ชายกล้าทำก็ต้องกล้ายอมรับ”
น้ำเสียงของเฟิงอู๋โยวเริ่มอ่อนลง จากนั้นก็แบมือยื่นออกมาข้างหน้า “เอาเงินมา”
มือเรียวยาวได้รูปของจวินมั่วหรันล้วงเข้าไปในสาบเสื้อตรงหน้าอกด้วยสีหน้ายิ้มระรื่น
แต่แล้วอยู่ๆ เขาก็ลุกพรวดและเดินเข้ามาหาเฟิงอู๋โยว “เฟิงอู๋โยว เจ้าแอบขึ้นเตียงตอนข้าหลับ หนี้ก้อนนี้เจ้าจะคิดเยี่ยงไร”
“พูดจาเหลวไหล! เห็นๆ อยู่ว่าท่านเป็นคนลักพาตัวข้ามา”
“อะไรกัน หลับนอนกับข้าแล้วไม่คิดจะรับผิดชอบอย่างนั้นหรือ” มุมปากจวินมั่วหรันแฝงเล่ห์นัย มวลความกดดันโถมทับจนเฟิงอู๋โยวอึดอัดจนแทบหายใจใม่ออก
เฟิงอู๋โยวร่นถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว “ไม่ ไม่ใช่! ข้าชื่นชอบสาวสวยและหลงใหลในรูปร่างโค้งเว้าเย้ายวน”
“อาหวงคือใคร ตอนที่เจ้าลวนลามข้า ปากของเจ้าเอาแต่พร่ำเรียกชื่อนี้” ในที่สุดจวินมั่วหรันก็โยนคำถามคาใจออกไป
“อยากรู้นักหรือ”
“พูดมา!”
เมื่อเฟิงอู๋โยวนึกถึงเรื่องที่นางเสี่ยงตายชนะพนันมาได้ แต่กลับถูกคนของจวินมั่วหรันเก็บไปบ้างส่วน ทำให้นางโมโหขึ้นมา
นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก ลืมตาขึ้น และพูดปดออกไป “เขาเป็นผู้ชายคนแรกของข้า”
“!!!”
ไฟโทสะดั่งเพลิงผลาญปะทุลุกโชนขึ้นในหัวใจของจวินมั่วหรันในบัดดล ความรู้สึกมากมายเอ่อล้นพลุ่งพล่าน
เขาผลักเฟิงอู๋โยวไปติดกำแพง จากนั้นก็ใช้กำลังปลดเข็มขัดของเฟิงอู๋โยวออก
เฟิงอู๋โยวแค่อยากยั่วโมโหเขา แต่นึกไม่ถึงว่าเขาจะโกรธจัดขนาดนี้ ทำเอานางตกใจกลัวจนขาอ่อน “ท่านใต้เท้า โปรดฟังกระหม่อมอธิบายก่อน”