ตอนที่ 146 เรื่องที่แล้วก็แล้วกันไป / ตอนที่ 147 ขอโทษ
ตอนที่ 146 เรื่องที่แล้วก็แล้วกันไป
เปลวไฟปะทุขึ้นในดวงตาของจวินมั่วหรัน เขาต้องการจะสั่งสอนเฟิงอู๋โยวในโทษฐานที่กล้ายั่วโมโหเขาด้วยลูกไม้แบบนี้
แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร อยู่ๆ ในห้วงสมองของเขาก็ผุดภาพท่าทางน้ำตาคลอเบ้าของนางตอนอยู่ที่ศาลาว่าการขึ้นมา
ช่างเถอะ ไม้กลายเป็นเรือ[1]ไปแล้ว ต่อให้เขาจะโมโหไปมากกว่านี้ก็ทำอะไรไม่ได้
จวินมั่วหรันมองเฟิงอู๋โยวที่ห่อหัวไหล่ ราวกับลูกเจี๊ยบอยู่ที่มุมกำแพง แล้วก็ล้มเลิกความคิดที่จะสั่งสอนนางลง
เฟิงอู๋โยวนึกเสียใจยิ่งนัก หากรู้ว่าเขาไม่ชอบลูกไม้แบบนี้ตั้งแต่แรก ให้ตายก็ไม่มีทางพูดออกไปแน่นอน
“ความจริงไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านใต้เท้าคิดนะขอรับ อันที่จริง อาหวงก็คือ…”
จวินมั่วหรันพูดแทรกเฟิงอู๋โยวด้วยเสียงดุดัน “เรื่องที่แล้วก็ปล่อยให้แล้วไป ข้าไม่มีรื้อฟื้น แต่เจ้าจงจำเอาไว้ว่าหลังจากนี้ต่อไป ห้ามเอ่ยชื่อเขาต่อหน้าข้าอีก”
“ท่านเข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว อาหวงเป็นแค่สุนัขเท่านั้น”
“สุนัข?”
จวินมั่วหรันขมวดคิ้วเล็กน้อย ถึงว่า ก่อนหน้านี้เฟิงอู๋โยวเอาแต่ละเมอพูดว่าหมาตัวใหญ่กัดนาง
ที่แท้อาหวงก็เป็นแค่สุนัขนี่เอง
เมื่อไฟโทสะภายในใจของจวินมั่วหรันสลายหายไป มุมปากของก็ผุดรอยยิ้มกึ่งหุบขึ้นอีกครั้ง
เขาหลุบตามองเข็มขัดของเฟิงอู๋โยวที่ถูกปลดออก จะพูดให้ถูกคือถูกกระชากจนขาดมากกว่า จากนั้นก็เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “อีกประเดี๋ยวอย่าลืมไปสอนวาทศิลป์แต่งกลอนให้จุยเฟิงด้วย แล้วก็ไปหาเข็มขัดใหม่ที่แน่นหนากว่านี้หน่อย”
เฟิงอู๋โยวคิดในใจ…ต่อให้เป็นเข็มขัดหนังชั้นดีก็ไม่อาจทนแรงวัวแรงควายของจวินมั่วหรันได้อยู่ดี
แต่ว่า ทั้งนี้มันก็เป็นเพราะคำพูดที่หลุดออกจากปากนางเองที่ยั่วโมโหเขาถึงขั้นนี้
ยามที่หญิงเหงา ชายเปลี่ยวอยู่ร่วมห้องมืดที่เรืองรองด้วยแสงไฟสลัวแบบนี้ นางก็พลันหวาดกลัวเหตุไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นได้
“หากไม่มีธุระอะไรแล้ว กระหม่อมขอตัว”
เฟิงอู๋โยวรู้สึกว่ามัดกิ่งไม้ในกางเกงเริ่มหลวม นางต้องการจะแอบจัดระเบียบมันใหม่ แต่กลัวว่าจวินมั่วหรันจะสังเกตเห็นพิรุธ ดังนั้นนางจึงหนีบขาเข้าหากันและบิดตัวไปมาเพื่อพยายามเคลื่อนมัดกิ่งไม้ให้เข้าที่
เมื่อจวินมั่วหรันเห็นท่าทางเหมือนอยากทำธุระหนักก็คิดเลิกรังควานนาง
เขาเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงอนุญาตให้นางไป ขณะที่นางจะปีนขึ้นที่ขอบหน้าต่าง เขาก็เอ่ยปากพูดขึ้น “ระวังฟู่เย่เฉินให้ดี”
“ได้”
เฟิงอู๋โยวอมยิ้มตอบกลับ แต่ภายในใจได้ด่าทอจวินมั่วหรันไปยกใหญ่แล้ว
ฟู่เย่เฉินเจ้าเล่ห์ชั่วช้า ไป๋หลี่เหอเจ๋ออำมหิตชั่วช้า ส่วนจวินมั่วหรันเป็นหมาบ้าชั่วช้า!
ณ ห้องสำราญบนชั้นสองของหอนางโลม
ไป๋หลี่เหอเจ๋อมองเฟิงอู๋โยวที่กำลังเดิมกุมเป้ากางเกงผ่านช่องหน้าต่าง ภายในใจเกิดหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย
จวินมั่วหรันทำอะไรกับนาง
ทำไมท่าทางนางถึงดูไม่ค่อยดีเท่าไร
เขาอยากกระโดดออกนอกหน้าต่างเข้าไปตรวจดูว่านางได้รับบาดเจ็บหรือไม่
แต่ฟู่เย่เฉินกลับโผล่มาอยู่ด้านหลังเขาอย่างไม่ให้สุ่มให้เสียง
“อาเจ๋อ ดึกขนาดนี้แล้วยังไม่นอนอีกหรือ”
ดวงตาเฉี่ยวกึ่งยิ้มของฟู่เย่เฉิน ซุกซ่อนแววนึกสนุก
เขาโบกพัดเบาๆ ปอยผมสองข้างสีดำขลิบ ปลิวสยายตามแรงลม
ไป๋หลี่เหอเจ๋อหันไปมอง “เจ้ามาได้เยี่ยงไร”
ฟู่เย่เฉินถอนหายใจก่อนพูดขึ้นอย่างเอื่อยเฉื่อย “เดิมทีอยากจะมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้เจ้า แต่นึกไม่ถึงว่าจะถูกจวินมั่วหรันแย่งตัดหน้าเอาไปก่อน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น แววตาของไป๋หลี่เหอเจ๋อก็ฉายแววคมกริบขึ้นทันที “เจ้าทำอะไรกับเขา”
“ข้าจะกล้าทำอะไรกับคนที่เจ้าชื่นชอบได้เยี่ยงไร ข้าก็แค่รมควันเขาด้วยธูปนิทรา แล้วกะว่าจะหามมาส่งให้เจ้า แต่นึกไม่ถึงว่าจวินมั่วหรันจะตัดหน้าไปก่อน”
ฟู่เย่เฉินเดินเข้ามาที่หน้าต่างเพื่อมองดูเฟิงอู๋โยว น้ำเสียงเจือแววรู้สึกผิดรำไร “อาเจ๋อ ข้านึกไม่ถึงว่าจวินมั่วหรันจะหลงใหลเขาถึงขนาดนี้ ตอนนี้ถือเป็นโอกาสที่ดี ลงมือจัดการเขาเสีย”
“เฉิน ห้ามแตะต้องเขา”
ไป๋หลี่เหอเจ๋อเข้าใจถึงความยากลำบากในชีวิตของเฟิงอู๋โยวเป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงไม่อยากซ้ำเติมนางเข้าไปอีก
เป้าหมายหลักของเขามีแค่จวินมั่วหรันเท่านั้น
ก่อนที่เฟิงอู๋โยวจะกลายเป็นจุดอ่อนของจวินมั่วหรันอย่างสมบูรณ์ เขาไม่คิดจะลงมือกับนาง
“อาเจ๋อ การแก้แค้นมันสำคัญกับเจ้าก็จริง แต่ทำไมต้องทรมานทำร้ายตัวเองขนาดนี้ ถ้าเจ้าชอบเฟิงอู๋โยวก็แค่แย่งมา! ทำไมถึงทำแค่จับตามองเขาอยู่แบบนี้ เจ้าอยากเห็นเขาก้าวเข้าสู้อ้อมกอดจวินมั่วหรันทีละก้าวอย่างช้าๆ หรือ”
“ข้าหวังว่าจวินมั่วหรันจะหลงเขาหัวปักหัวปำให้เร็วกว่านี้” เมื่อมีจุดอ่อน ก็ย่อมจัดการจวินมั่วหรันได้โดยง่าย
ตอนที่ 147 ขอโทษ
ณ เรือนแพทย์พยากรณ์
ยามสวีตอนปลาย จี้มั่วจื่อเฉินกระโดดลงจากม้า เขาเดินทางมาตามนัด
เขาเดินตาปรืออ้าปากห้าวเข้าไปที่ห้องโถงเรือนแพทย์อย่างง่วงนอน
ท่ามกลางห้องโถง เฟิงอู๋โยวยืนคุมคนงานที่กำลังย้ายข้าวของเครื่องใช้อย่างใจจดใจจ่อ
เมื่อเห็นจวินมั่วหรันเดินเข้ามาอย่างกระปรี้กระเปร่า นางยืดตัวตรงวางมาด
“เจ้าไปร่ำเรียนวิชาการแพทย์มาจากไหน มันสุดยอดจริงๆ” จี้มั่วจื่อเฉินยิ้มร่าอย่างสดใส “เมื่อวานข้าดื่มโอสถที่เจ้าให้ไป อาการป่วยต่างๆ ทุเลาลงมาก”
เฟิงอู๋โยวตอบกลับ “วิชาการแพทย์ของข้าไร้เทียมทานที่สุดในใต้หล้า”
“เป็นอะไรไป อารมณ์ไม่ดีหรือ”
จี้มั่วจื่อเฉินที่เดินมาหยุดอยู่ด้านหน้า เห็นนางไม่ค่อยสดใสเท่าไร จึงเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
เฟิงอู๋โยวไม่พูดอะไรมาก นางได้แค่บอกให้จี้มั่วจื่อเฉินขึ้นไปนอนบนเตียง จากนั้นก็ตั้งใจฝังเข็มสกัดจุดให้เขา
“ถ้ามีใครรังแกเจ้า เจ้าสามารถบอกข้ามาได้ทุกเมื่อ”
“…”
จี้มั่วจื่อเฉินเห็นเฟิงอู๋โยวไม่ตอบก็กระวนกระวายใจขึ้นมา เขาจับข้อมือเฟิงอู๋โยวก่อนพูดขึ้นอย่างจริงจัง “การที่เจ้ารักษาข้าให้หายจากโรคนี้ได้ก็เท่ากับว่าเจ้าเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตข้า หากมีใครกลั่นแกล้งเจ้าขึ้นมา ข้าก็พร้อมจะออกโรงจัดการคนนั้นแทนเจ้า”
“ซี้ด…”
เฟิงอู๋โยวสูดปากเพราะรู้สึกปวดตึงๆ ที่ข้อมือขึ้นมา
จี้มั่วจื่อเฉินคิดว่าตัวเองทำนางเจ็บ จึงรีบคลายมือออก “ข้ายังไม่ได้ออกแรงเลย…”
“ไม่เป็นไร”
เฟิงอู๋โยวเหลือบมองข้อมือที่เป็นรอยบีบขึ้นมาอย่างไม่สนใจ
จี้มั่วจื่อเฉินมองดูท่าทางแน่นิ่งเฉยเมินของเฟิงอู๋โยวอย่างกลุ้มใจ
ปกติเฟิงอู๋โยวเป็นคนสดใสร่าเริง ช่างพูดช่างเจรจา หากถูกใครรังแกคงไม่มีทางนิ่งเฉยแบบนี้
แต่น่าเสียดายที่ตัวจี้มั่วจื่อเฉินในตอนนี้ยังเอาตัวเองไม่รอด หากจะออกโรงปกป้องนางอย่างที่พูดจริงๆ คงทำได้แค่ขอร้องจวินมั่วหรันให้ช่วย
เมื่อจี้มั่วจื่อเฉินคิดได้เช่นนี้ หลังจากฝังเข็มเสร็จก็รีบขี่ม้าเร็วไปที่ตำหนักเซ่อเจิ้งหวางทันที
เวลานี้ จวินมั่วหรันเพิ่งกลับมาถึงตำหนัก
เขาเพิ่งจะก้าวเท้าเข้าไปในเรือนมั่วหรัน จี้มั่วจื่อเฉินก็เดินตามหลังเข้ามาทันที
“อาหรัน มีเรื่องด่วน!”
“เรื่องอะไร”
“เฟิงอู๋โยวถูกคนรังแก” จี้มั่วจื่อเฉินพูดขึ้นทันที
เมื่อจวินมั่วหรันได้ยินเช่นนั้น ดวงตาก็เจือแววหงุดหงิดขึ้นมาทันที “ใครรังแกเขา”
“เขาไม่ได้บอก”
จี้มั่วจื่อเฉินสงบจิตสงบใจของตัวเองลงก่อนพูดเสริม “เมื่อเช้า ข้าไปฝังเข็มที่เรือนแพทย์มา แต่ข้าเห็นเขาไม่ร่าเริงสดใสเหมือนที่เคยเป็น ดูท่าทางเหมือนอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไร เห็นแล้วช่างน่าสงสาร แล้วก็ที่ข้อมือของเขามีรอยช้ำอย่างชัดเจน บวมฉึ่งเลย ข้าคิดว่าคงถูกคนไม่ดีแถวถนนเถาหลี่รังแกแน่ๆ เจ้าก็คงรู้ว่าเขาเป็นคนรักษาหน้าของตัวเอง หากโดนดุด่าโดนรังแกขึ้นมาจะต้องรู้สึกอับอายแน่นอน”
ที่ข้อมือของเขามีรอยช้ำ?
ตอนอยู่ที่บ่อนพนัน เนื่องจากแสงไฟในห้องมืดสลัว จวินมั่วหรันจึงไม่ได้สังเกตเห็น ตัวเองจึงเผลอออกแรงทำร้ายนางอย่างไม่ได้ตั้งใจ
แต่เมื่อได้ยินจี้มั่วจื่อเฉินพูดเช่นนี้ ภายในใจก็รู้สึกผิดขึ้นมาอย่างรุนแรง
“แล้วเขาพูดอะไรอีกหรือไม่”
จี้มั่วจื่อเฉินส่ายหน้า “เขาเงียบแบบนี้ค่อนข้างน่าเป็นห่วงยิ่งนัก หากเขาพูดสักนิดข้าก็คงวางใจหน่อย เจ้ารู้หรือไม่ ตอนที่เขาปั้นหน้าบึงตึงแบบนี้ ข้าแทบไม่กล้าหายใจแรง บรรยากาศน่าอึดอัดไม่ต่างจากเจ้าไม่มีผิด”
จวินมั่วหรันเริ่มรู้สึกผิดขึ้นเรื่อยๆ
เขารู้ดีว่าขีดความอดทนของเฟิงอู๋โยวอยู่ที่ไหน แต่ตัวเขากลับเอาแต่กลั่นแกล้งนางซ้ำไปซ้ำมาอยู่แบบนี้
ครั้งที่แล้วตอนอยู่ที่ศาลาว่าการ เฟิงอู๋โยวตกใจกลัวเขาจนแทบร้องไห้ออกมา
และเขาก็สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำให้นางกลัวอีก
แต่ผ่านไปไม่ทันไร ตัวเขากลับโกรธจนหน้ามืดและทำนางตกใจจนกระโดดออกนอกหน้าต่างไปอีก
“ช่างเถอะ ข้าจะเบามือกับเขาหน่อยแล้วกัน”
จวินมั่วหรันบ่นพึมพำกับตัวเอง ในใจรีบร้อนอยากตามไปดูเฟิงอู๋โยว
ตอนนี้ ภายในใจของเขากระวนกระวายว้าวุ่นจนรู้สึกว่าจี้มั่วจื่อเฉินช่างเกะกะลูกนัยน์ตา เขาจึงหาข้ออ้างไล่เขาออกจากตำหนัก
“อาหรัน เฟิงอู๋โยวเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตของข้า เจ้าพอจะช่วยเหลือเขาหน่อยได้หรือไม่ ถือว่าเป็นการเห็นแก่ข้า”
จากนั้น จี้มั่วจื่อเฉินถูกจุยเฟิงกับเถี่ยโส่วหิ้วปีกออกจากตำหนัก แต่กระนั้นก็ยังเงยหน้าตะโกนขอร้องจวินมั่วหรันอย่างไม่ยอมจำนน
จุยเฟิงคิดขึ้นในใจ…องค์ชายเฉินช่างโง่เขลาไม่เจียมตัวเสียจริงที่คิดว่าสีหน้าของตัวเองสำคัญกว่าเฟิงอู๋โยว
ไม่รู้เอาเสียเลยว่าจวินมั่วหรันเป็นคนพาเฟิงอู๋โยวมานอนบนเตียง
เคยสนิทแนบชิดตัวติดกันขนาดนั้น แล้วคิดว่าจวินมั่วหรันจะไม่เป็นห่วงเขาหรือ
“ท่านใต้เท้าออกคำสั่งมาให้กระหม่อมคอยจับตาดูองค์ชายและกำชับให้องค์ชายห้ามออกจากวังหลวงจนกว่าจะสำเร็จราชกิจ อีกไม่กี่วันก็ใกล้จะถึงงานเลี้ยงบัณฑิต ยังมีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อีกมากมายที่ต้องตระเตรียมขอรับ ส่วนเรื่องของแม่ทัพเฟิง เพื่อเห็นแก่สีหน้าขององค์ชาย รับรองว่าท่านใต้เท้าจะต้องดูแลเป็นพิเศษแน่นอนขอรับ”
ใบหน้าของจุยเฟิงฉายแววยิ้มแย้มขณะพาตัวจี้มั่วจื่อเฉินออกจากตำหนัก
เถี่ยโส่วมองเงาบนร่างของจี้มั่วจื่อเฉินที่ควบม้าจากไปพลางถามจุยเฟิงขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “การที่ท่านใต้เท้าดูแลแม่ทัพเฟิงเป็นพิเศษมันเกี่ยวกับสีหน้าขององค์ชายเฉินตรงไหน”
จุยเฟิงยักไหล่พลางอธิบายอย่างจนปัญญา “ท่านใต้เท้าเป็นคนเย็นชาหาเพื่อนยาก หากพวกเราไม่ช่วยท่านใต้เท้าไกล่เกลี่ยเรื่องนี้ อาจส่งผลให้ท่านใต้เท้าสูญเสียความไว้เนื้อเชื่อใจอย่างองค์ชายเฉินไปก็เป็นได้ แบบนี้เท่ากับเป็นการทำร้ายท่านใต้เท้าทางอ้อมเช่นกัน”
ถึงแม้จี้มั่วจื่อเฉินจะเป็นคนรักสนุกเสเพล แต่ก็ถือว่านิสัยดีใชได้ ซึ่งเป็นคนดีคนหนึ่งที่หาได้ยากในวังหลวงแห่งแคว้นตงหลิน
เถี่ยโส่วได้ยินเช่นนั้นก็กระจ่างขึ้นมาทันที “จุยเฟิง เจ้าเก่งจริงๆ ข้าอยากเป็นเหมือนเจ้าที่คอยขจัดปัญหาให้ท่านใต้เท้าและคอยดูแลท่านใต้เท้าอยู่ห่างๆ แบบนี้”
เฟิงอู๋โยวที่กำลังเดินเข้ามาได้ยินคำพูดของเถี่ยโส่วก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาทั้งตัว
แต่ในใจก็พลันคิดว่าเถี่ยโส่วกับจวินมั่วหรันเข้ากันได้ดียิ่งนัก
คนหนึ่งแข็งกระด้าง คนหนึ่งอ่อนโยน เหมือนหยินหยางที่หลอมรวมกันอย่างสมดุล
“แม่ทัพเฟิง เชิญด้านใน”
จุยเฟิงคลี่ยิ้มให้เฟิงอู๋โยว ดวงตาผุดแววอ่อนโยนอย่างชัดเจน
เฟิงอู๋โยวเห็นดวงตาวาวประกายของจุยเฟิงก็เลื่อนมือมากุมเป้ากางเกงตัวเองอย่างไม่รู้ตัว ก่อนกระแอมปรับน้ำเสียง “จุยเฟิง ในฐานะที่ข้าเป็นอาจารย์ของเจ้าแล้ว ข้าได้คัดลอกบทกลอนมาให้เจ้าหนึ่งเล่ม เจ้าลองเอาไปพลิกอ่านดู”
มุมปากจุยเฟิงเกร็งกระตุก เขาคิดว่าความสามารถทางภาษาของเขาไม่ได้เป็นรองเฟิงอู๋โยวเลยสักนิด
แต่ว่า ในเมื่อเป็นคำสั่งของท่านใต้เท้า เขาจึงได้แต่ยอมทำตามแต่โดยดี
เถี่ยโส่วปากว่าตาไว เอ่ยถามเฟิงอู๋โยวขึ้นอย่างเป็นห่วง “แม่ทัพเฟิง ยังเจ็บก้นอยู่หรือไม่”
“หะ?”
เฟิงอู๋โยวหันไปมองก้นตัวเองก่อนตอบกลับไปอย่างงงๆ “ก้นข้าหนาแน่น อวบอิ่มเหมือนลูกท้อชั้นเลิศ จัดว่าเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างหนึ่งทั่วใต้หล้านี้เลยก็ว่าได้”
ภายในใจของเถี่ยโส่วพลันโล่งอกขึ้นมา ครั้นแล้วจึงยิ้มตอบกลับ “เช่นนั้นก็ดีแล้ว”
เมื่อเห็นท่าทางร่าเริงของเฟิงอู๋โยว เขาก็พูดถึงเรื่องเป่ยถางหลีอินขึ้นมาเพื่อหวังว่านางจะอารมณ์ดีขึ้นอีกหน่อย
“แม่ทัพเฟิง ข้าจะบอกข่าวดีเรื่องหนึ่งกับเจ้า เมื่อคืนก่อนตอนที่เป่ยถางหลีอินไปเดินเล่นที่งานวัด นางถูกมือสังหารที่ท่านใต้เท้าส่งไปเล่นงานจนร้องไห้เสียขวัญ ได้ยินมาว่าใบหน้าของนางบวมฉึ่งเหมือนหัวหมูเลย บวมจนผิดรูป”
จากนั้นจุยเฟิงก็พูดขึ้นเสริม “ไม่เพียงเท่านี้ ท่านใต้เท้ายังสั่งคนให้พยายามกู้ชื่อเสียงให้เจ้าในแคว้นเป่ยหลี จนตอนนี้เริ่มมีผู้คนที่นั่นเชื่อแล้วว่าเป่ยถางหลีอินเป็นฝ่ายยั่วยวนเจ้าก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงรวมตัวกันยื่นอุทรณ์เพื่อเรียกร้องความเป็นทำให้แก่เจ้า”
ก่อนหน้านี้ เฟิงอู๋โยวคิดจะลงมือแก้แค้นเป่ยถางหลีอินด้วยมือของนางเอง ทั้งนี้ก็เพื่อปลอบประโลมดวงวิญญาณของเจ้าของร่างเดิม
แต่พอรู้ว่าจวินมั่วหรันทำเพื่อนางโดยการลงมือกับเป่ยถางหลีอินในถิ่นของเป่ยถางหลงถิงอย่างไม่สนหน้าอินท์หน้าพรหมแบบนี้ ภายในใจก็เกิดหวั่นไหวขึ้นมาอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน
บางทีจวินมั่วหรันอาจไม่ได้เลวร้ายเหมือนที่นางจินตนาการเอาไว้ก็ได้
นางเดินเข้าไปพลางครุ่นคิด แต่แล้วก็เดินชนจวินมั่วหรันที่กำลังก้าวเท้าออกมาจากเรือนพอดี
นางยกมือกุมศีรษะตัวเองพร้อมกับก้าวถอยหลังไปหลายก้าว จากนั้นก็ค้อมตัวกล่าวขอบคุณเขาอย่างมีมารยาท “ขอบพระคุณท่านใต้เท้าเป็นอย่างยิ่งที่กู้ชื่อเสียงของกระหม่อมกลับคืนมา”
สายตาเยือกเย็นดุจคมมีดของเขาจ้องมองใบหน้าเฟิงอู๋โยว จากนั้นริมฝีปากเรียวบางก็ขยับพูด “เจ้าคิดมากไปแล้ว การที่ข้าลงมือเล่นงานกับเป่ยถางหลีอินแบบนี้ก็เพราะนางส่งสตรีหัวขโมยมาหยามหมิ่นข้า”
จุยเฟิงส่ายหัวอย่างจนปัญญา ภายในใจครุ่นคิด…นอกจากจวินมั่วหรันจะอ่านสถานการณ์ไม่ออกแล้วยังปลอบคนไม่เป็นอีก เรื่องที่จวินมั่วหรันอ้างขึ้นมันจบไปตั้งนานแล้ว
แต่จุยเฟิงคิดว่าหัวใจของจวินมั่วหรันเริ่มอ่อนโยนขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก ความทรงจำร้ายๆ ก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากหัวใจ ดวงตาของจุยเฟิงก็เริ่มมีน้ำตาเอ่อคลอขึ้นมา
เถี่ยโส่วมองจุยเฟิงอย่างประหลาดใจก่อนกระซิบถาม “จุยเฟิง เจ้ามองเห็นบางอย่างที่ไม่ควรเห็นแล้วหรือ เป็นเยี่ยงไรบ้าง”
“มานี่”
จุยเฟิงสะดุ้งตกใจกับเถี่ยโส่วที่ขยับเข้ามากระซิบใกล้ๆ เขา แต่จากนั้นก็ลากเขาพาหลบออกมาและปล่อยให้เฟิงอู๋โยวกับจวินมั่วหรันอยู่กันตามลำพังสองต่อสอง
จวินมั่วหรันยืนแน่นิ่งอยู่ด้านหน้าเฟิงอู๋โยว สายตาของเขาเหลือบมองรอยช้ำบนข้อมือของนาง จากนั้นก็ควักกระปุกโอสถหยกออกมาให้นาง “อย่าลืมทาโอสถ”
เฟิงอู๋โยวไม่กล้ายั่วโมโหเขาอีกแล้วต่อให้ในใจยังรู้สึกโกรธ แต่ก็รับโอสถหยกมาดีโดยดี “ขอบพระคุณท่านใต้เท้าขอรับ”
“โกรธอย่างนั้นหรือ”
จวินมั่วหรันเห็นท่าทางเชื่อฟังของเฟิงอู๋โยวก็พลันรู้สึกฉงนใจ
“เปล่าขอรับ”
“จะต้องให้ข้าขอโทษ เจ้าถึงจะทำสีหน้าดีๆ ให้ข้าเห็นหรือ”
“ต่อให้ท่านขอโทษ กระหม่อมก็ไม่อยากทำแบบนั้นเพียงเพราะเป็นการทำเพื่อท่าน” เฟิงอู๋โยวเผลอพูดสิ่งที่คิดออกไป เมื่อฉุกคิดขึ้นได้ก็ยกมือขึ้นปิดปากไม่พูดต่อ
“รับไป หลังจากข้าไปว่าราชกิจค่อยเปิดดู”
จวินมั่วหรันยื่นจดหมายให้เฟิงอู๋โยวฉบับหนึ่งก่อนออกไปตำหนักเซ่อเจิ้งหวางไปอย่างไม่เหลียวมองกลับมาจนถึงราชรถหยกที่จอดรออยู่ที่หน้าประตูตำหนัก
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาขอโทษใครสักคน…มันช่างเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดเป็นที่สุดเท่าที่เคยมีมา
[1] ไม้กลายเป็นเรือ หมายถึงเรื่องราวที่ดำเนินไปแล้ว ไม่สามารถกลับไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้แล้ว