ตอนที่ 148 กลอนอักษรแฝง
“เขียนอะไรนะ”
ดวงตาทั้งสองข้างของเฟิงอู๋โยวส่องประกายสะท้อนแววหลากอารมณ์ เส้นเลือดฝาดปรากฏขึ้นมาบนแก้มทั้งสองข้าง ขับให้ใบหน้าของนางแลดูสวยงามน่ามองขึ้นอย่างทบทวี
ตอนนี้ จวินมั่วหรันที่นั่งอยู่บนราชรถหยก เลื่อนผ้าม่านมาปิดใบหน้าที่เขินอายของเขา
“ไปได้”
น้ำเสียงของเขาเรียบนิ่ง ไร้มนต์เสน่ห์เหมือนอย่างเคย
“ออกเดินทางได้”
คนขี่ม้าราชรถหยกที่อยู่ด้านนอกค่อยๆ บังคับขับเคลื่อนราชรถหยกไปถามถนน เสียงควบม้ากรุบกรับ เสียงล้อเคลื่อนทำเอาไก่ หมาแตกตื่นส่งเสียงร้องระคนเป็นเสียงเดียวกัน
เฟิงอู๋โยวที่นิ่งอึ้งอยู่ท่ามกลางความงุงงนดั่งหมอกควันพร่ามั่ว นางมองราชรถของจวินมั่วหรันที่คล้อยจากไป ภายในใจพลันผุดอารมณ์บางอย่างขึ้นมาอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ไก่ขัน หมาเห่า ชาวบ้านพลุกพล่าน
ชีวิตเรียบสงบเป็นปกติย่อมเป็นชีวิตที่แท้จริง
“แม่ทัพเฟิง รีบเปิดซองจดหมายสิ พวกเราอยากรู้ว่าข้างในจะเขียนว่าอะไร” เถี่ยโส่วขยับเข้ามาใกล้ๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น ดวงตาทั้งสองข้างของเขาจ้องมองซองจดหมายสีชมพูอ่อนอย่างไม่ละสายตา
จุยเฟิงยิ้มร่า “เปิดให้เด็กมันดู”
เฟิงอู๋โยวหลุบตามองก่อนค่อยๆ เปิดซองจดหมายที่เจือกลิ่นหอมของเครื่องร่ำแป้งหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของจวินมั่วหรัน
“อันไฟโทสะสุมทรวงโหมสาด ข้าพร่ำสำนึกไม่รู้คลาย ผิดพลาดจำต้องแก้เสีย เปลี่ยนแปลงจำต้องพยายาม เพื่อสัมพันธ์อันงดงาม จักไม่ทำให้ผิดหวัง ด้วยสัตย์ใจจริง ขอเจ้าจงมองเห็น”
เฟิงอู๋โยวอ่านจดหมายขอโทษของจวินมั่วหรัน อารมณ์ที่เสียก่อนหน้านี้พลันสลายหายไป
“เขียนสวยใช้ได้”
แก้มทั้งสองข้างของนางแดงเรื่อขึ้นมา จากนั้นก็เก็บจดหมายใส่ซองตามเดิม “ด้วยสัตย์ใจจริง ขอเจ้าจงมองเห็น”
“แม่ทัพเฟิง มันหมายความว่าเยี่ยงไร”
เถี่ยโส่วเกาหัวอย่างไม่เข้าใจ เขาไม่ชอบสำบัดสำนวนเท่าไร หากแยกคำออกจากกันก็พอเข้าใจได้ แต่พอจับคำรวมกัน เขากลับไม่เข้าใจความหมายของมันแม้แต่น้อย
“ความหมายคร่าวๆ ก็คือท่านใต้เท้ารู้สึกผิดและนึกเสียใจ และเพื่อต้องการให้ข้ายกโทษให้ ท่านใต้เท้าจึงคุกเข่าขอโทษจากใจจริงและยอมรับผิด”
“แม่ทัพเฟิง ท่านใต้เท้าทำเรื่องอะไรผิดอย่างนั้นหรือ ข้าไม่เคยเห็นท่านใต้เท้ายอมคุกเข่าขอโทษใครมาก่อน” เถี่ยโส่วถามอย่างไม่เข้าใจ
เฟิงอู๋โยวอารมณ์ดีขึ้นมาทันที นางได้แต่ยิ้มไม่พูดจาและเดินเข้าเรือนมั่วหรันไป
ฝูจวินยืนนิ่งอยู่ที่ระเบียงทางเดินของเรือนมั่นหรัน นางมองเฟิงอู๋โยวที่กำลังเดินเข้าเรือนมั่วหรันด้วยสายตาเยือกเย็น
“นายหญิงเจ้าคะ ตระเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” หรงชุ่ยที่ยืนอยู่ด้านหลังจวินฝูพูดขึ้น
เพี้ยะ!
จวินฝูหันขวับกลับมาตบบ้องหูหรงชุ่ยอย่างไม่มีสัญญาณบอกกล่าว
นางถลึงตาใส่ พลางพูดเสียงเย็น “นังโง่! พูดเสียงดังแบบนี้ เดี๋ยวคนในตำหนักก็ได้ยินหมด”
“หม่อมฉันหาได้พูดเสียงดังไม่”
หรงชุ่นน้ำตาคลอไหล่ห่อ นางกลัวจนขาสั่นไม่หยุด
“ร้องทำไม ท่านพี่ไม่ได้อยู่ในตำหนักแล้ว เจ้าบีบน้ำตาให้ใครดูไม่ทราบ”
จวินฝูเท้าสะเอว นางพูดกับหรงชุ่ยด้วยน้ำเสียงชั่วร้ายพร้อมกับจิ้มนิ้วไปที่ขมับของหรงชุ่ยเพื่อระบายความโมโห
“นังโง่ เจ้าทำให้นายหญิงโกรธอีกแล้วหรือ”
หวังมามาเหลือบมองหรงชุ่ยที่กำลังร้องไห้ไร้เสียง ก่อนหันมากุมมือจวินฝู “ท่านใต้เท้าออกไปว่าราชกิจที่วังหลวง คาดว่าอีกสองสามชั่วยามกว่าจะกลับ พวกเรายังมีเวลาอีกมากมายที่จะเล่นงานเฟิงอู๋โยว ขอนายหญิงโปรดอย่าใจร้อนวู่วาม”
“ในเมื่อแม่นมหวางเป็นคนจัดการเอง ข้าก็วางใจ ระวังอย่าให้ใครอื่นจับพิรุธได้ก็พอ”
จวินมั่วหรันเหลือบมองเฟิงอู๋โยวที่นอนเอนอยู่บนเก้าอี้ในเรือนมั่วหรัน มุมปากพลันผุดแววยิ้มชั่วร้าย
ประสาทสัมผัสอันเฉียบคมของเฟิงอู๋โยวรู้สึกถึงสายตาอาฆาตของจวินฝู ภายในใจเกิดไม่เป็นสุขขึ้นมา
นางบิดขี้เกียจพลางชี้นิ้วไปที่เงาร่างของจวินฝู ก่อนพูดกับจุยเฟิง “วันนี้จงฝึกแต่งกลอนชื่นชมความสามารถของท่านหญิงจวินฝู”
“เอ่อ…”
จุยเฟิงคิดว่าไม่มีความสามารถใดของจวินฝูที่คุ้มค่าแก่การถูกชื่นชม
หากนางไม่ใช่น้องสาวของจวินมั่วหรัน จะมีใครบ้างที่สนใจนาง
นิสัยน่ารังเกียจ เจ้าอารมณ์เอาแต่ใจ เจ้าเล่ห์ไม่มีใครเทียบเท่า ซ้ำยังปีนป่ายขึ้นเตียงพี่ชายแท้ๆ ของตัวเองอย่างไร้ยางอาย!
แต่ว่าจุยเฟิงมั่นใจในความสามารถของตัวเองเป็นยิ่งนัก เขาไม่มีทางทำให้ตัวเองมีปัญหาเดือดร้อนเพียงเพราะความไม่ชอบส่วนตัว
หลังจากเงียบขรึมลงไปพักหนึ่ง มือข้างหนึ่งพลันยกขึ้นไหล่หลังอย่างวางมาด เขาเปล่งเสียงแต่งกลอน “งดงามทรงเสน่ห์เหนือเหล่าเซียน ทรวดทรงมิอาจเทียบเทียมทั่วใต้หล้า ดวงตาวาวประกายดั่งอัสนีบาต สวยงามฟัดฟาด มอดม้วยมรณา เรียวปากงดงามดั่งใบหลิว อันผิวพรรณสวยล้ำมวลบุหงา”
“ธรรมดาเกินไป เอาใหม่”
เฟิงอู๋โยวเงยหน้ามองอย่างหน่ายอารมณ์ ก่อนเปลี่ยนท่านั่งและพูดขึ้นอย่างเกียจคร้าน
จุยเฟิงครุ่นคิด…เดิมทีเฟิงอู๋โยวกับจวินฝูเคยมีปมกันมาก่อน การที่ตัวเองชื่นชมความสวยงามของจวินฝูต่อหน้าเฟิงอู๋โยวแบบนี้ แน่นอนว่าเฟิงอู๋โยวต้องไม่สบอารมณ์
ครั้นแล้วจุยเฟิงก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จากนั้นก็แต่งกลอนอักษรแฝงขึ้นมาอย่างมั่นใจ “จวินที่ซึ่งคงสาวงาม ฝูที่ซึ่งบารมีเปี่ยมความหมาย หน้าตาสะสวยชวนหวั่นใจ ไม่หายใจยามยลโฉม อายเขินมิอาจมอง”
เฟิงอู๋โยวโพล่งขำออกมาอย่างร่าเริง “ไม่นึกว่าเจ้าจะแต่งกลอนอักษรแฝงเป็นด้วย ช่างเปี่ยมด้วยพรสวรรค์เสียจริง แต่ว่าเจ้าต้องการจะสื่อว่าจวินฝูหน้าไม่อายแบบนี้ มันไม่หยาบคายไปหน่อยหรือ”
จุยเฟิงหน้าแดงก่ำ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาแต่งกลอนด่าคน อีกทั้งคนที่ด่ายังเป็นน้องสาวแท้ๆ ของจวินมั่วหรัน ภายในใจฉุกนึกหวาดหวั่นขึ้นมารำไร
คิดไปคิดมา เขาจึงคิดว่าต้องลากเฟิงอู๋โยวเข้ามาร่วมวงด้วย ถึงตอนนั้น หากจวินมั่วหรันต้องการจะตำหนิเขาขึ้นมาจะได้ไม่รุนแรงมาก เพราะเรื่องนี้เฟิงอู๋โยวก็มีส่วนเอี่ยว
“แม่ทัพเฟิง ความรู้เรื่องนี้ของข้ายังคงตื้นเขิน แต่งกลอนไปแค่สองบททำเอาคลังคำศัพท์ในหัวว่างเปล่า เจ้าพอจะช่วยชี้แนะข้าหน่อยได้หรือไม่”
“จงฟังให้ดี”
เฟิงอู๋โยวหาวนอนก่อนเปล่งเสียงออกมาอย่างเกียจคร้าน “คืนวานฝนพรำลมแรง หลับลึกยังแฝงฤทธิ์สุราอยู่ ถามผู้มาเปิดม่าน กลับตอบว่ารากบัวยังไร้รสคงเดิม รู้หรือไม่ รู้หรือไม่ กินรากบัว[1]ไร้รส แม้ฤทธิ์สุรายังไม่สร่าง ก็มิอาจกระเดือกลง”
“กินรากบัว กินรากบัว…”
จุยเฟิงพยายามคิดความหมายของคำว่า ‘กินรากบัว’ ที่เฟิงอู๋โยวเน้นเสียงอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็กระจ่างขึ้นมา
ที่แท้เฟิงอู๋โยวกับด่าอ้อมๆ ว่าจวินฝูหน้าตาอัปลักษณ์น่าเกลียดอยู่นี่เอง
“ช่างน่าประทับใจ จุยเฟิงผู้นี้ไม่อาจเทียบเท่าได้” จุยเฟิงยกนิ้วหัวแม่มือให้เฟิงอู๋โยวทันที
“จดเอาไว้ ถือว่าเป็นของขวัญที่ข้ามอบให้นายหญิงแห่งตำหนักนี้แล้วกัน”
“ได้”
จุยเฟิงตอบรับ หากจวินมั่วหรันอนุญาต เขาก็อยากจะเผยแพร่บทกลอนด่าคนที่สวยงามไร้คำหยาบสู่สาธารนะ ผู้คนทั่วใต้หล้าจะได้รู้ซึ้งถึงพรสวรรค์ของตน
[1] กินรากบัว เป็นคำแสลงในภาษาจีนที่หมายความว่า ขี้เหร่ น่ารังเกียจ