ตอนที่ 154 ภาพวาดเสมือนของอู๋โยว
เฟิงอู๋โยวกำลังจะกะพริบตาทรงดอกท้อเพื่อหว่านเสน่ห์ให้จวินมั่วหรัน แต่นึกไม่ถึงว่าเขาจะตอบรับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ซ้ำยังดูดีใจอีกต่างหาก
นางวางมือบนไหล่ของจวินมั่วหรันเบาๆ และพูดขึ้น “ท่านใต้เท้าอย่าเพิ่งใจร้อน กระหม่อมจะวาดภาพเสมือนตัวเองให้ท่านใต้เท้าเป็นร้อยๆ ภาพ รับประกันว่าท่านใต้เท้าจะได้รูปที่ดีที่สุดเพื่อสนองความพึงพอใจ!”
จวินมั่วหรันขมวดคิ้ว อยู่ๆ ก็นึกเสียใจที่ตอบรับคำขอของนาง
เขาชอบนิสัยนางและชอบเรือนร่างของนางมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาอยากจะเห็นส่วนนั้นของนางจริงๆ
อีกอย่าง มันเป็นเรื่องยากสำหรับจวินมั่วหรันยิ่งนักที่จะให้เขายอมรับว่า คนที่เขาชอบมีโครงสร้างร่างกายบางอย่างของ…ผู้ชาย!เหมือนกับของเขาทุกประการ
ริมฝีปากบางๆ ของเขาขยับเล็กน้อยเตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เฟิงอู๋โยวกลับลากชิงหลวนและพาออกจากเรือนฟางฮว๋าอย่างตื่นเต้นดีใจทันที
ในเวลาเดียว ซือมิ่งที่มีนกพิราบส่งจดหมายเกาะอยู่ที่แขนก็พบกับเฟิงอู๋โยวที่กำลังวิ่งออกมาพอดี “แม่ทัพเฟิง องครักษ์เงาได้เก็บจดหมายฉบับหนึ่งมาได้โดยบังเอิญ…”
ซือมิ่งยังพูดไม่ทันจบ เฟิงอู๋โยวก็วิ่งจากไปอย่างไร้เงาเสียแล้ว
จวินมั่วหรันเหลือบมองจดหมายนกพิราบที่แขนของซือมิ่ง ก่อนพูดอย่างเย็นชา “มันเป็นของใคร”
“เป็นจดหมายของเจ้ากรมตรวจตราฝ่ายขวาแห่งแคว้นเป่ยหลี นามว่าหลิงเทียนฉีที่ส่งมาให้แม่ทัพเฟิงขอรับ” ซือมิ่งตอบกลับ
หลิงเทียนฉี?
จวินมั่วหรันหรี่ตาลง ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ยังจำไม่ได้ว่าใครคือหลิงเทียนฉี
เขาจำได้เพียงลางๆ ว่า ดูเหมือนเขากับหลิงเทียนฉีจะมีความบาดหมางกันเล็กน้อย
เถี่ยโส่วเห็นเช่นนั้นจึงพูดแทรกขึ้นมา “ท่านใต้เท้าขอรับ หลิงเทียนฉีก็คือบุตรชายคนโตของอัครเสนาบดีฝ่ายขวาแห่งแคว้นเป่ยหลีนามว่าหลิงซงไป่ และมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของเป่ยถางหลีอิน ว่ากันว่าหลิงเทียนฉีคนนี้เป็นเพื่อนสนิทของแม่ทัพเฟิงที่มักจะดื่มกินและระบายทุกข์สุขร่วมกันอยู่บ่อยๆ”
แววหงุดหงิดในดวงตาปีศาจของจวินมั่วหรันเอ่อล้นเข้มข้น เขาคว้ามือไปจับนกพิราบส่งจดหมายทันที “เอามันไปต้ม”
“…”
ซือมิ่งกับเถี่ยโส่วมองตากันปริบๆ แต่เถี่ยโส่วกลับถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “ท่านใต้เท้าไม่ชอบกินสัตว์ปีกไม่ใช่หรือขอรับ”
จวินมั่วหรันทำเหมือนไม่ได้ยิน เขาหยิบม้วนจดหมายออกมาจากข้อเท้าของนกพิราบและโยนไปให้เถี่ยโส่ว “อ่าน”
“ขอรับ”
เถี่ยโส่วตอบรับอย่างงงๆ หลังจากคลี่จดหมายออก เขาก็อ่านออกเสียงอย่างใส่อารมณ์ “ท่านพี่อู๋โยวเป็นเยี่ยงไรบ้าง ข้าขอถือวิสาสะมอบเงินทองเล็กน้อยให้ท่านพี่เพื่อนำไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ขนหงส์พันลี้ เปี่ยมไมตรีจิต ขอให้แคล้วคลาดปลอดภัยและมีความสุข จากเทียนฉี”
อ่านจบ เถี่ยโส่วก็เอื้อมไปหยิบกระบอกหนังสัตว์เล็กๆ ที่ข้อเท้านกพิราบมา ด้านในมีเงินกระดาษซ่อนอยู่หลายใบ เถี่ยโส่วอุทานขึ้นอย่างตกใจ “ท่านใต้เท้าขอรับ มีเงินกระดาษหลายแสนแนบมาด้วยขอรับ”
จวินมั่วหรันแค่นเสียงในลำคอก่อนพูดขึ้น “เผาทิ้งเสีย”
“หะ?”
เดิมทีเถี่ยโส่วต้องการมอบจดหมายฉบับนี้ให้กับเฟิงอู๋โยว แต่จดหมายฉบับนี้กลับทำให้จวินมั่วหรันอารมณ์เสียอย่างไม่คาดคิด
แม้ว่าเขาไม่อยากเผามัน แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามคำสั่ง ดังนั้นจึงหยิบเทียนมาและเผาจดหมายไปพร้อมกับเงินกระดาษ
“เลี้ยงไม่เชื่อง เปลืองข้าวสุกจริงๆ”
จวินมั่วหรันจ้องมองจดหมายและเงินกระดาษที่ไหม้เกรียมด้วยสายตาเย็นชา
เถี่ยโส่วได้ยินเช่นนั้นก็นึกว่าจวินมั่วหรันกำลังว่าเขาอยู่ จึงตอบกลับด้วยเสียงเล็กเสียงน้อย “ท่านใต้เท้า กระหม่อมเลี้ยงเชื่องไม่เปลืองข้าวสุกนะขอรับ”
จวินมั่วหรันเคาะมะเหงกใส่หัวของเถี่ยโส่วไป หนึ่งที “พาตัวกู่หนานเฟิงไปประจำการที่เรือนแพทย์พยากรณ์”
เถี่ยโส่วลูบหัวตัวเองด้วยสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ “ท่านใต้เท้าขอรับ ถ้าหมอวิเศษกู่ไม่ยอมไปขึ้นมาจะทำเยี่ยงไร เขาเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญการใช้พิษ กระหม่อมคงรับมือเขาไม่ไหว”
“ถ้าเขาไม่ยอมก็เผาหมู่บ้านเขาทิ้งเสีย”
“ขอรับ”
เถี่ยโส่วขานรับก่อนวิ่งเอามือกุมหัวออกจากตำหนักเซ่อเจิ้งหวางไป
ซือมิ่งคิดในใจว่า การที่จวินมั่วหรันเรียกกู่หนานเฟิงที่เป็นหมอวิเศษผู้ลี้ลับรักสันโดษผู้นี้มาเป็นลูกมือเฟิงอู๋โยวแบบนี้ แสดงว่าเฟิงอู๋โยวกลายเป็นคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งของจวินมั่วหรันแล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ซือมิ่งจึงพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง “ท่านใต้เท้าขอรับ ฟู่เย่เฉินได้วาดภาพมือสังหารที่ลงมือก่อเหตุคดีฆาตกรรมที่ศาลเจ้าหงเย่แล้วขอรับ”
“โจรตะโกนจับโจร แน่ใจว่าคนที่เขาวาดคือมือสังหารตัวจริง?”
ซือมิ่งครุ่นคิดก่อนตอบกลับด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เหมือนว่ารูปพรรณสัณฐานที่ฟู่เย่เฉินวาดออกมา มีเค้าเหมือนแม่ทัพเฟิงยิ่งนักขอรับ”
จวินมั่วหรันได้ยินเช่นนั้นก็ลุกขึ้นพรวด “ส่งคนไปเฝ้าระวังที่เรือนแพทย์พยากรณ์ หากมีความเคลื่อนไหวน่าสงสัยเพียงเล็กน้อย ให้รีบรายงานทันที”
“ขอรับ”
“ช้าก่อน ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายตัว ช่วยพาข้าไปส่งที่เรือนแพทย์พยากรณ์ด้วย”
จวินมั่วหรันพูดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติเหมือนเป็นเรื่องปกติ
เมื่อคำพูดเช่นนี้ของเขาถูกเปล่งออกมา ซือมิ่งกับจุยเฟิงก็ถึงกลับตื่นตระหนก
“ท่านใต้เท้าขอรับ ดูเหมือนว่าแม่ทัพเฟิงจะรักษาเฉพาะโรคติดต่อใน ‘เพศชาย’ นะขอรับ ท่านใต้เท้าให้แพทย์หลวงซูตรวจให้ไม่ดีกว่าหรือ”
“ท่านใต้เท้าควรพักผ่อนก่อนนะขอรับ ส่วนเรื่องของแม่ทัพเฟิงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกกระหม่อมเองขอรับ”
จวินมั่วหรันทำเหมือนไม่ได้ยิน เขารีบออกจากเรือนฟางฮว๋าไปทันที
เมื่อเห็นสีหน้าแววตากระปรี้กระเปร่าของจวินมั่วหรัน จุยเฟิงก็รีบกระตุกแขนเสื้อของซือมิ่ง “อย่าได้ตื่นตระหนกไปเลย ท่านใต้เท้าก็แค่หาข้ออ้างไปเจอหน้าแม่ทัพเฟิงก็เท่านั้น”
“ที่พี่จุยเฟิงพูดก็มีเหตุผล”
ซือมิ่งพยักหน้าคล้อยตามจุยเฟิง น้ำตาแห่งความปลาบปลื้มเอ่อคลอรอบดวงตา เขามีสภาพเหมือนจุยเฟิงขึ้นทุกวัน
ไม่คิดไม่ฝันว่าจวินมั่วหรันผู้ที่ไม่เคยกระวนกระวายใจ จะว้าวุ่นใจเพียงเพราะเฟิงอู๋โยว
ช่างน่าปลาบปลื้มยินดี!
ช่างน่าเฝ้ารออย่างมีหวัง!
ภายในเรือนแพทย์พยากรณ์ เฟิงอู๋โยวที่กำลังเตรียมวาดภาพอยู่บนโต๊ะทำท่าจะจามอยู่หลายที
“เจ้าจวินมั่วหรันกำลังด่าข้าอยู่แน่ๆ!”
เฟิงอู๋โยวบ่นพึมพำ จากนั้นมือขวาก็เลื่อนไปหยิบพู่กันจุ่มหมึกและเริ่มวาดภาพ
ชิงหลวนอมยิ้ม “นายหญิงยังไม่หลงชอบท่านใต้เท้าใช่หรือไม่ แค่จะจาม ทำไมนายหญิงต้องนึกถึงเขาด้วย”
“ไม่มีทาง”
มือที่จับพู่กันของเฟิงอู๋โยวหยุดชะงัก ก่อนบ่นพึมพำกับตัวเอง “ข้ากับเขาคุยกันคนละภาษา ไฟกับน้ำย่อมเข้ากันไม่ได้ ยิ่งเกลียดยิ่งเจอ”
ชิงหลวนส่ายหน้าพูดเสียงแผ่ว “ชิงหลวนรู้สึกว่านายหญิงกับเซ่อเจิ้งหวางช่างเหมาะสมกันเหลือเกิน ยิ่งไปกว่านั้นพวกท่านทั้งสองก็สูญเสียครอบครัวไปเหมือนกัน ทำไมนายหญิงไม่ให้โอกาสเขาหน่อยหรือเจ้าคะ”
“ให้โอกาสเขาทารุณข้าอย่างนั้นหรือ”
แม้ปากของเฟิงอู๋โยวจะพูดออกไปแบบนี้ แต่หัวใจกลับเต้นแรง
แล้วถ้าหากนางยอมเปิดใจให้เขา แล้วตัวเขาจะสามารถยอมรับความจริงเรื่องที่นางใช้ร่างกายเขาถอนพิษยากำหนัดได้หรือ
ช่างเถอะ ไม่ต้องพูดก็พอจะรู้คำตอบ
ปล่อยให้ความลับเป็นความลับต่อไปเสียดีกว่า ไม่เช่นนั้นจุดจบของนาง มีหวังกลายเป็นศพที่ถูกน้ำย่อยสลายกัดกร่อนตอนที่อยู่ศาลาว่าการเป็นแน่
การที่นางได้พบกับเขาเป็นความคิดผิดพลาดตั้งแต่แรก
หากมัวแต่คิดเรื่องคนที่ไม่มีวันจะได้มาแบบนี้ สู้เอาเวลาไปคิดเรื่องที่มีหมายความหมายดีกว่า อย่างเช่นเรื่องหาเงินเลี้ยงปากท้อง
เฟิงอู๋โยวยกมือขึ้นเกาคาง นางกำลังจะวาดภาพต่อแต่กลับเห็นฝุ่นลอยฟุ้งอยู่นอกประตูเรือนแพทย์
นางตกใจเล็กน้อยและถามชิงหลวนด้วยความสับสน “หมากัดกันอยู่ที่ประตูหรือ”
ยังพูดไม่ทันจบ อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงกระดิ่งดังลอยมา
หลังจากเสียงกระดิ่งหยุดลง องครักษ์สี่คนยืนล้อมรอบสี่มุมของราชรถหยกที่หยุดนิ่งอยู่ที่หน้าประตูเรือนแพทย์
เฟิงอู๋โยวหมดคำจะพูด “ยังวาดไม่ทันเสร็จ แล้วจะรีบมาทำไม”
ชิงหลวนอมยิ้ม “ห่างหายหนึ่งเค่อ จิตใจว้าวุ่น”
ขณะที่พูด จวินมั่วหรันก็ลงจากราชรถหยกและก้าวเข้ามาในเรือนแพทย์พยากรณ์
เขาสวมชุดคลุมสีดำ โดยมีเสื้อคลุมสีขาวนวลจากใยผ้าไหม บนศีรษะสวมใส่เครื่องหัวสีทองประดับพู่สีแดง แลดูสง่างามเป็นที่สุด
ดวงตาของเฟิงอู๋โยวจับจ้องที่ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาเพียงชั่วครู่ จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาเริ่มวาดภาพอย่างจริงจังอีกครั้ง
จวินมั่วหรันเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกเหมือนตัวเองถูกเมินใส่
เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว วางมือหนาใหญ่ลงบนโต๊ะและมองเฟิงอู๋โยวที่กำลังจดจ่อกับการวาดภาพ “เจ้าวาดอะไรอยู่ บอกข้ามาเดี๋ยวนี้”
หลังจากเฟิงอู๋โยวตวัดวาดเส้นสุดท้ายลงบนม้วนกระดาษ นางก็ยื่นรูปเสหมือนตัวเองให้จวินมั่วหรันด้วยความเคารพ “ขอท่านใต้เท้าโปรดตรวจดู”
“ไม่เลว”
จวินมั่วหรันชำเลืองมองที่ม้วนกระดาษ เดิมทีคิดว่าเฟิงอู๋โยวคงวาดภาพไม่เป็น แต่ทักษะการวาดภาพของนางกลับไม่เลวเลยทีเดียว เพราะสามารถวาดภาพเสมือนตัวเองที่สะท้อนกลิ่นไอและมนต์เสน่ห์ของนางเองออกมาได้
เพียงแต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงวาดภาพใบหน้าสะสวยที่เปี่ยมด้วยอารมณ์ ทว่าตั้งแต่ช่วงคอลงไปกลับทำเครื่องหมายสี่เหลี่ยมหนาทึบอยู่เต็มไปหมด
“หากท่านใต้เท้าพึงพอใจกับใบหน้าของกระหม่อมแล้วยังอยากเห็นส่วนอื่นๆ เพิ่มอีก ท่านจะต้องจ่ายเงินเพิ่มอีกหนึ่งหมื่นตำลึงเงิน”
ดวงตาของเฟิงอู๋โยวแฝงความเจ้าเล่ห์ ดวงตาที่ยิ้มของนางคดเคี้ยวแลดูมีเสน่ห์น่าหลงใหลเป็นที่สุด
จวินมั่วหรันได้ยินเช่นนั้น ก็ควักเงินกระดาษปึกหนึ่งออกจากแขนเสื้อ “วาดต่อ”
“ท่วงท่าควักเงินกระดาษของท่านช่างสง่างามจริงๆ”
เฟิงอู๋โยวยัดเงินกระดาษที่จวินมั่วหรันควักออกมาวางบนโต๊ะใส่ลงในกระเป๋าทันที จากนั้นก็นำภาพวาดแผ่นที่สองออกมาทันที”
จวินมั่วหรันชำเลืองมองและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าคิดจะทำอะไร”
“ท่านใต้เท้าลองดูให้ดี! ภาพวาดแผ่นที่สองนี้มีแขนเพิ่มขึ้นมาอีกสองข้าง”
เฟิงอู๋โยวพูดอย่างตรงไปตรงมา “หากท่านต้องการเห็นส่วนอื่นเพิ่มอีก กระหม่อมจะให้ส่วนลด จ่ายเพิ่มอีกแค่แปดพันตำลึงเงินก็พอ”
จวินมั่วหรันรู้สึกปวดขมับ แต่กระนั้นก็ควักเงินออกมาอีกปึกหนึ่ง จากนั้นก็ดึงภาพวาดมาจากมือของเฟิงอู๋โยวทันที
ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าตัวเองคงไม่ค่อยสนใจเรือนร่างของเฟิงอู๋โยวมากนักเพราะเป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่ตอนนี้เขาอยากจะทำลายเครื่องหมายเหลี่ยมที่ยั้วเยี้ยบนม้วนกระดาษทิ้งเสีย
เฟิงอู๋โยวรีบนับเงิน จากนั้นก็ตะโกนเรียกคนงานของเรือนแพทย์พยากรณ์ “ราชันย์สวรรค์ทั้งสี่ ยังไม่รีบออกมาต้อนรับแขกผู้ทรงเกียรติอีก!”
“มาแล้วขอรับ”
คนงานทั้งสี่ที่มีฉายาว่า ราชาสวรรค์ พยัคฆ์พิภพ เจดีย์พุทธะและปีศาจนที ยืนประกบด้านข้างจวินมั่วหรันก่อนพูดขึ้นอย่างเคารพ “ท่านแขกผู้ทรงเกียรติ ทางเรือนแพทย์พยากรณ์มีบริการโกนขน ชำระล้างร่างกาย รักษาโรคและบำรุงผิวพรรณ ไม่ทราบว่าท่านต้องการรับบริการด้านใดขอรับ”
มุมปากของจวินมั่วหรันเกร็งกระตุก ก่อนพูดขึ้นเสียงขรึม “ออกไป”
อาจเป็นเพราะรังสีน่าเกรงขามเยี่ยงราชาแผ่ซ่านออกมารอบๆ ตัวจวินมั่วหรัน ทำให้เหล่าคนงานทั้งสี่รีบหดหัวถอยกลับไปอย่างเงียบๆ ทันที
เขานั่งลงช้าๆ ก่อนพลิกดูภาพวาดเสมือนอย่างสบายใจ
ในภาพวาดแผ่นที่สาม ใต้กระดูกไหปลาร้าลงไปมีขาสองข้างโผล่มา และส่วนที่เหลือเหลืออื่นๆ ยังคงมีเครื่องหมายสี่เหลี่ยมเต็มไปหมดเหมือนเดิม
…
เมื่อพลิกดูภาพวาดเสมือนแผ่นอื่นๆ ด้านหลัง จนเหลือแต่ภาพที่มีเพียงหน้าอกและบั้นท้ายเท่านั้นที่มีเครื่องหมายสี่เหลี่ยมอยู่ ตอนนี้ทำเอาหัวใจของเขาเต้นแรงเป็นยิ่งนัก
แต่เมื่อเขาพลิกดูภาพต่อไป จวินมั่วหรันก็ถึงกับเลือดแทบพุ่ง
เพราะในภาพเป็นรูปหน้าอกขนาดใหญ่นูนออกมา
ชนิดที่ว่าใหญ่อลังกาลยิ่งนัก!
จวินมั่วหรันวางภาพวาดลงต่อหน้าเฟิงอู๋โยวและถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้ามีสิ่งนี้หรือ”
เฟิงอู๋โยวพึมพำเสียงแผ่ว “ไม่ขอรับ แต่ถ้าท่านใต้เท้าชอบ กระหม่อมสามารถออกกำลังกายเพิ่มกล้ามเนื้อได้ เพราะร่างกายของกระหม่อมยังไม่หยุดเติบโต บางทีในปีหน้า กระหม่อมอาจเป็นเหมือนคนในภาพวาดก็ได้ขอรับ”
“หน้าไม่อาย”
แม้จวินมั่วหรันจะพูดเช่นนั้น แต่ก็ดึงภาพนั้นกับมาดูอีกรอบ
จะว่าไปแล้ว ใบหน้าสะสวยของเฟิงอู๋โยวค่อนข้างสมมาตรกับสัดส่วนร่างกายที่นางวาดขึ้นเป็นยิ่งนัก
เมื่อเห็นดวงตาของจวินมั่วหรันจ้องมองภาพวาดอย่างไม่ละสาย เฟิงอู๋โยวก็เสนอขึ้น “หากท่านใต้เท้าชอบภาพที่กระหม่อมวาด กระหม่อมจะวาดให้อีกสองสามรูปเพื่อให้ท่านใต้เท้าเลือกขนาดของหน้าอกได้”
จวินมั่วหรันละสายตาออกไปอย่างเคอะเขิน จากนั้นก็พลิกดูภาพวาดแผ่นสุดท้าย
เขากลั้นหายใจ ดวงตาสีดำแวววาวของเขาจ้องมองไม่ขยับราวกับกำลังคาดหวังอะไรบางอย่างอยู่ในใจ
แต่เมื่อเขาเห็นสิ่งที่วาดอยู่บนกระดาษ ใบหน้าของเขาก็อึมครึมลงทันที
เขาลุกขึ้นพรวด เสียงทุ้มต่ำทรงเสน่ห์เจือแววโกรธรำไร “เจ้าเห็นตัวเองเป็นเครื่องบรรณาการอย่างนั้นหรือ”
เฟิงอู๋โยวคลี่ยิ้ม “ฝีมือการวาดของกระหม่อมยอดเยี่ยมเช่นนี้ ย่อมสามารถถ่ายทอดความ ‘ยิ่งใหญ่’ ของตัวกระหม่อมได้สมจริงขอรับ”
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่จวินมั่วหรันอยากจะสบถคำหยาบออกมา เขาเสียไปหลายล้านตำลึงเงินเพื่ออะไรกัน!
เมื่อเห็นสีหน้าของเขา เฟิงอู๋โยวก็ยกมือกุมศีรษะแล้วถอยไปสองสามก้าวอย่างไม่รู้ตัว “ในเมื่อท่านใต้เท้าได้เห็นแล้ว แต่ถ้าท่านไม่พอใจก็อย่าเอาเรื่องกระหม่อมเลยนะขอรับ”
จวินมั่วหรันมองนางเป็นเหมือนลูกนกตกใจ จึงถอยห่างออกไปเล็กน้อย เพราะกลัวจะทำให้นางหวาดกลัว จากนั้นก็นั่งลงช้าๆ อีกครั้งก่อนพูดเสียงทุ้ม “มานี่ ตรวจอาการป่วยให้ข้าหน่อย”
“หะ?”
เฟิงอู๋โยวกระพริบตาจ้องมองเขาอยู่นาน “กระหม่อมไม่อาจรักษาอาการป่วยทางจิตของท่านใต้เท้าได้ขอรับ”
ทันทีที่นางพูดออกไป นางก็ตระหนักได้ว่าคำพูดของตัวเองฟังดูไม่เป็นมิตรเท่าไร ครั้นแล้วจึงต้องจำใจเดินหน้าเข้าใกล้สองสามก้าว กระแอมปรับน้ำเสียงก่อนถามอย่างเคร่งขรึม “ท่านใต้เท้ารู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือขอรับ”
“ข้าอาจติดโรคมาจากองค์ชายเฉิน รู้สึกว่าร่างกายไม่ค่อยสบาย”
“เป็นไปไม่ได้ขอรับ โรคดอกหลิวเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ไม่สามารถติดต่อกันได้ทางสายตานะขอรับ หรือว่าช่วงที่ผ่านมาท่านใต้เท้ามีความสัมผัสแนบเนื้อกับองค์ชายเฉิน”
จวินมั่วหรันทำหน้าไม่ถูก แต่ก็พูดออกไปอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าแค่ตรวจอาการให้ข้าก็พอ!”
“ขอรับ”
เฟิงอู๋โยวมองจวินมั่วหรันที่เขินอายจนทำตัวไม่ถูก จากนั้นก็วางผ้าเช็ดหน้าผ้าบางๆ ลงที่ข้อมือของเขา ก่อนแตะนิ้วตรวจชีพจรของเขาผ่านผ้าเช็ดหน้าผ้า
“ชีพจรของท่านใต้เท้าเต้นเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ ราวกับท่านวิ่งรอบเมืองหลวงหลายรอบ” เฟิงอู๋โยวขมวดคิ้วอย่างเป็นกังวล
นางคิดว่าจวินมั่วหรันร่างกายแข็งแรง ยกเว้นแต่อาการป่วยทางจิตโรคหลายบุคลิก
นึกไม่ถึงว่าชีพจรของเขาจะเต้นแรงขนาดนี้!
หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป อาจเป็นอัมพาตครึ่งซีกหรือมีโอกาสภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันก็เป็นได้
“ข้าขอให้เจ้ารักษาอาการป่วยแอบแฝง แค่จับชีพจรจะได้ผลหรือ”
จวินมั่วหรันหงุดหงิดขึ้นมาทันใด เขารู้อยู่แก่ใจว่าทำไมหัวใจตัวเองถึงเต้นเร็วขนาดนี้!
ดูเหมือนว่าทุกครั้งที่เขาเห็นนาง จังหวะเต้นของหัวใจของเขาจะผิดปกติอย่างอธิบายถูก มันเต้นเร็วจนควบคุมไม่ได้
เฟิงอู๋โยวบ่นในใจ…เจ้าจวินมั่วหรันนี่เอาใจยากจริงๆ แต่ว่าคนที่เข้าประตูมาคือลูกค้าเสมอ ดังนั้นห้ามปฏิเสธลูกค้า
อีกอย่าง นางไม่กล้าไล่จวินมั่วหรันออกไป
หายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก เฟิงอู๋โยวก็พูดด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “แล้วท่านใต้เท้าคิดว่าวิธีการตรวจโรคที่ดีที่สุดคือแบบไหนหรือขอรับ”
จวินมั่วหรันไม่เคยคิดคำถามนี้มาก่อน ตอนแรกเขารู้สึกหงุดหงิดที่เฟิงอู๋โยวตรวจรักษาโรคให้จี้มั่วจื่อเฉินอย่างใกล้ชิด
ดังนั้น เขาจึงหาข้ออ้างอยากมาตรวจร่างกายกับนาง
แต่เขาไม่เคยเป็นโรคดอกหลิวมาก่อนและไม่รู้วิธีการตรวจรักษาโรคนี้ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็พูดขึ้นช้าๆ “เจ้าไม่ต้องการตรวจดูจุดกำเนิดโรคหรอกหรือ”
“นี่ท่านกำลังปั่นหัวกระหม่อมอยู่ใช่หรือไม่” เฟิงอู๋โยวโต้กลับไปอย่างหงุดหงิด