เย้ารักท่านอ๋องเผด็จการ – ตอนที่ 157 ปล่อยโคมลอย

เย้ารักท่านอ๋องเผด็จการ

ตอนที่ 157 ปล่อยโคมลอย

“ไม่ได้”

เฟิงอู๋โยวยังไม่ทันตอบ จวินมั่วหรันก็ปฏิเสธแทนนางไปแล้ว

จี้มั่วอิ้นเหรินเม้มริมฝีปาก แววเศร้าซึมปรากฏขึ้นบนใบหน้าอันอ่อนเยาว์ เขาขอร้องจวินมั่วหรันด้วยเสียงเล็กเสียงน้อย “เซ่อเจิ้งหวาง ข้าแค่ต้องการจะจุดโคมลอยให้พระมารดาของข้า”

“ไม่ได้”

เสียงของจวินมั่วหรันเยือกเย็นเจือความห่างเหิน คลุ้มคลั่งและความเด็ดขาดห้ามโต้แย้ง

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ดวงตาสีเข้มของจี้มั่วอิ้นเหรินก็หรี่ลง เขาก้มศีรษะลงช้าๆ และบิดมือเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว “เซ่อเจิ้งหวาง ข้าแค่รู้สึกเหงามาก”

เมื่อเห็นหัวกลมๆ เล็กๆ ของจี้มั่วอิ้นเหรินห้อยลงมาคอตก คล้ายมีน้ำตาคลอเบ้า เฟิงอู๋โยวก็ทนไม่ได้

นางดึงแขนของจวินมั่วหรันเบาๆ อย่างคะยั้นคะยอ พลางกระซิบเบาๆ “ท่านใต้เท้า ใช้เวลาแค่หนึ่งชั่วยามเอง แค่ปล่อยโคมลอย ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรขอรับ”

“เจ้าอยากไป?”

จวินมั่วหรันหันหน้าไปถามเฟิงอู๋โยวเสียงขรึม

เฟิงอู๋โยวพยักหน้า นางเป็นคนชอบความสนุกครึกครื้น เบียดเสียดท่ามกลางฝูงชนดีกว่าต้องมาเผชิญหน้ากับใบหน้าที่ดุร้ายของจวินมั่วหรัน

“เช่นนั้นไปกัน”

ทันใดนั้น จวินมั่วหรันก็พูดขึ้นพลางเดินนำหน้าไป

จี้มั่วอิ้นเหรินกะพริบตาปริบๆ ก่อนแอบยกนิ้วให้เฟิงอู๋โยว จากนั้นก็กระโดดขึ้นลงอย่างดีใจข้างๆ จวินมั่วหรัน เขากระตุกเสื้อคลุมของจวินมั่วหรันอย่างระมัดระวัง “เซ่อเจิ้งหวางใจดีที่สุดในโลกเล้ย!”

เฟิงอู๋โยวส่ายหน้าอย่างจนปัญญาให้ฮ่องเต้องค์น้อยผู้ไร้อำนาจ ที่ทำได้เพียงประจบสอพลอเซ่อเจิ้งหวางไปวันๆ

แต่กระนั้น เฟิงอู๋โยวผู้ที่ซึ่งชอบอ้างตนว่าแข็งแกร่งไม่ยอมใคร ก็ต้องยอมเชื่อฟังเมื่อตกอยู่ภายใต้ดวงตาแววสังหารของจวินมั่วหรันเช่นกัน

นางเรียกชิงหลวนมาด้วย จากนั้นก็เลียนแบบท่าทางของจี้มั่วอิ้นเหริน โดยการเดินเข้าไปจับมือจวินมั่วหรันอย่างเป็นธรรมชาติ “ท่านใต้เท้าช่างเป็นคนที่หล่อเหลาและใจดีสุดในโลกจริงๆ เลยขอรับ”

“เฟิงอู๋โยว เจ้ากำลังเลียนแบบข้าอยู่!”

“แต่เลียนแบบนิดๆ หน่อยจะเป็นอะไรไป ท่านใต้เท้าไม่ใช่ของเจ้าคนเดียวสักหน่อย”

เฟิงอู๋โยวเถียงกลับ ก่อนหันหน้าไปถามจวินมั่วหรันอย่างประจบ “ใช่หรือไม่ท่านใต้เท้า”

จวินมั่วหรันเหล่มองนางด้วยแววตาลุ่มลึก ก่อนสะบัดจี้มั่วอิ้นเหรินออกไปอย่างไร้เยื่อใย “เป็นถึงฮ่องเต้ แต่ฉุดๆ ดึงๆ แบบนี้มันดูมีราศีนักอย่างนั้นหรือ”

จี้มั่วอิ้นเหรินมองเฟิงอู๋โยวที่เกาะติดจวินมั่วหรันด้วยสายตาน่าสงสาร ก่อนพูดขึ้นอย่างน้อยใจ “ท่านลำเอียง!”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า”

ริมฝีปากบางๆ ปริเอ่ย ความเย้ายวนชวนลุ่มหลงยังคงแฝงอยู่ในน้ำเสียงเช่นเดิม

จี้มั่วอิ้นเหรินตกใจสะอึกจนหน้าเขียว อ้ำอึงพูดอะไรไม่ออก เขาจึงได้แต่กระทืบเท้าอย่างหงุดหงิด “พวกท่านสมรู้ร่วมคิดกันแกล้งข้า!”

ชิงหลวนชูนิ้วชี้ป้องปากก่อนกระซิบ “ฝ่าบาทเจ้าคะ พวกเขาไม่เพียงสมรู้ร่วมคิดกันเท่านั้น แต่ยังวางแผนที่จะพลอดรักในคืนเดือนเหงาลมแรง ดังคำกล่าวที่ว่า ถล่มอารามสิบหลัง ยังบาปไม่เท่าทำลายงานวิวาห์หนึ่งงาน ถ้าพวกเราเข้าไปขัดขวางความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสอง พวกเราจะบาปหนาขนาดไหนเจ้าคะ”

“พลอดรักกัน! เจ้ากำลังจะบอกว่าเซ่อเจิ้งหวางอยากมีลูกกับเฟิงอู๋โยวอย่างนั้นหรือ” จี้มั่วอิ้นเหรินตกใจจนตาเบิกกว้างพร้อมกับยกมือเนื้อแน่นๆ ขึ้นมาปิดปาก

“ฝ่าบาทเป็นถึงฮ่องเต้ พูดอะไรก็ถูกหมดเจ้าค่ะ”

ชิงหลวนคิดว่าฝ่ายที่ต้องตั้งครรภ์มีลูกคือนายหญิงของตัวเองมากกว่า แต่เวลายังไม่สุกงอม เฟิงอู๋โยวจึงไม่กล้าเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง

แสงโคมลอยสว่างไสวท่ามกลางราตรีอันยาวนานไร้สิ้นสุด

สองข้างทาง ดนตรีบรรเลงขับขาน เคล้าระคนบรรยากาศยามราตรี

แสงจันทร์นวลผ่องสาดส่อง ฉายเงาร่างสองริ้วทาบลงบนพื้นเคลื่อนคล้อยติดตามกัน

เฟิงอู๋โยวเงยหน้าขึ้น ดวงตาใสวาวของนางจ้องตรงไปที่ใบหน้าด้านข้างของจวินมั่วหรันพลางกระซิบเสียงแผ่ว “การที่กระหม่อมเดินจับมือถือแขนอยู่ข้างๆ แบบนี้ มันทำให้ท่านใต้เท้าตื่นเต้นดีใจหรือไม่ขอรับ”

“…” ต่อให้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสุข แต่เขาจะไม่มีวันเอ่ยปากยอมรับเด็ดขาด

“หากท่านรู้สึกเช่นนั้น ท่านพอจะมอบรางวัลให้กระหม่อมสักเล็กน้อยได้หรือไม่”

จวินมั่วหรันชำเลืองมองเฟิงอู๋โยวที่กำลังยิ้มแย้มด้วยสายตาสับสน “เจ้าเป็นหนี้อีกแล้วหรือ”

“สักหนึ่งร้อยตำลึงเงินคงไม่มากไปกระมัง”

“จำไว้ จากนี้ไปเจ้าใช้เงินของข้าแต่เพียงผู้เดียว ส่วนเงินทั้งหมดที่คนอื่นให้ ข้าจะเผาให้หมด”

จวินมั่วหรันโยนจี้แหวนที่เหน็บอยู่ที่เอวให้เฟิงอู๋โยว ก่อนค่อยๆ พูดขึ้น “ทั่วใต้หล้านี้มีแค่วงเดียวเท่านั้น หากทำมันหาย ข้าจะตามราวีเจ้าไม่เลิก”

เฟิงอู๋โยวหยิบจี้แหวนมรกตที่ยังคงกลิ่นหอมจางๆ พลางพูดขึ้นเสียงเล็กเสียงน้อย “กระหม่อมคิดว่าจี้แหวนชิ้นนี้ไม่ใช่จี้แหวน แต่เป็นเผือกร้อน[1] มากกว่า”

จวินมั่วหรันยื่นมือไปบีบหน้านางอย่างแรง “เจ้าบังอาจไม่ชอบของที่ข้ามอบให้เจ้าอย่างนั้นหรือ”

“ไม่กล้าขอรับ”

นางตอบกลับ ก่อนเก็บจี้แหวนที่ยังอุ่นผ่าวลงไปทันที

จี้มั่วอิ้นเหรินที่เดินตามอยู่ข้างหลังรู้สึกประหลาดใจ

เขาถามชิงหลวนอย่างไม่อยากเชื่อ “นี่ข้าไม่ได้ฝันไปจริงๆ ใช่หรือไม่”

“หากในความฝันของฝ่าบาทยังมีเงาร่างของสาวใช้อย่างข้าเดินอยู่ข้างๆ อยู่แบบนี้ เกรงว่าคงเป็นเรื่องตลกน่าดูเจ้าค่ะ”

ชิงหลวนพูดล้อเล่นขึ้น แต่ทันทีที่พูดออกมาก็นึกขึ้นได้ว่าไม่ควร ทำเอานางลิ้นชาหน้าแดงในบัดดล

แต่ว่าจี้มั่วอิ้นเหรินไม่ได้ฟังสิ่งที่ชิงหลวนพูดเลยสักนิด เขาพึมพำกับตัวเอง “นั่นเป็นจี้แหวนบรรพบุรุษตระกูลจวิน ตั้งแต่บรรพบุรุษตระกูลจวินสิ้นชีพในศึกกลางทะเลทรายเมื่อแปดปีก่อน เซ่อเจิ้งหวางก็เก็บมันไว้ติดตัวตลอดไม่เคยห่าง”

เฟิงอู๋โยวได้ยินที่จี้มั่วอิ้นเหรินพูด นางอยากจะเชื่อว่าจวินมั่วหรันจะมอบจี้แหวนที่สำคัญเช่นนี้ให้แก่นาง

นางทำตัวไม่ถูกในทันที

“ท่านใต้เท้าขอรับ หากท่านไม่สามารถมอบเงินเป็นรางวัลให้กระหม่อมได้ เช่นนั้นก็เขียนใบติดหนี้ก็ได้นะขอรับ จี้แหวนนี้ล้ำค่าเกินไป กระหม่อมไม่กล้ารับมันไว้ขอรับ”

จวินมั่วหรันทำเป็นไม่ได้ยิน เขาหยุดยืนอยู่ริมคูน้ำ ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงโคมลอยระยิบระยับส่องสะท้อนลงบนผิวแม่น้ำกลายเป็นผืนเดียว ภาพเหล่านี้ได้สะท้อนอยู่บนดวงตาดำสนิทใสวาวของเขาอีกที

เฟิงอู๋โยวยืนเคียงข้างเขา สายตาจ้องมองไปยังทิวทัศน์ยามกลางคืนที่จอแจของเมืองหลวงแห่งแคว้นตงหลิน

โคมลอยจำนวนนับไม่ถ้วนลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าส่องแสงไสวเหนือดวงดาว

จี้มั่วอิ้นเหรินรู้สึกหดหู่ใจ ดวงตาของเขาแดงขึ้นเล็กน้อย ก่อนหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนคำว่า “แด่คุณความรักของข้า” ลงบนโคมลอย

เฟิงอู๋โยวจ้องมองโคมลอยในมืออย่างว่างเปล่า ครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดก็เขียนคำว่า “เฟิงอู๋โยว” ลงไปบนโคมลอย

“บ้าไปแล้วหรือ โคมลอยบนท้องฟ้าใช้เพื่อแสดงความโศกเศร้าแก่ผู้ที่ล่วงลับ เจ้ายังมีชีวิตอยู่ แต่ดันเขียนชื่อตัวเองลงบนโคมลอยแบบนี้มันอัปมงคลนะ!” จี้มั่วอิ้นเหรินพูดอย่างไม่เข้าใจ

เมื่อได้ยินเช่นนี้ จวินมั่วหรันก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและอยากจะฉีกโคมลอยในมือของเฟิงอู๋โยวเป็นชิ้นๆ

“ท่านเป็นอะไรไปอีก”

เฟิงอู๋โยวมองจวินมั่วหรันอย่างไม่เข้าใจ นางเปลี่ยนโคมลอยใหม่ ขณะกำลังจะเขียนคำลงไป แต่เขากลับห้ามเอาไว่ก่อน

“คนแก่อย่างท่านนี่เชื่อเรื่องงมงายเอาเสียจริง!”

เดิมทีนางต้องการจะปล่อยโคมลอยให้กับเจ้าของร่างเดิม แต่ดูเหมือนว่าจวินมั่วหรันจะใส่ใจกับการเขียนชื่อลงบนโคมลอยยิ่งนัก ดังนั้นนางจึงได้ล้มเลิกความคิดไป

หลังจากนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เฟิงอู๋โยวก็ไม่มีทางเลือกอื่น นางจุดโคมลอยไร้คำขึ้นสู่ท้องฟ้า

นางเบนหน้าเล็กน้อย เห็นจวินมั่วหรันกำลังจ้องมองฉากท้องฟ้ากลางคืนข้างคูเมืองที่เต็มไปด้วยแสงไฟสว่างไสวอยู่อย่างเงียบ ๆ “ท่านใต้เท้าไม่ปล่อยโคมลอยหรือขอรับ”

“น่าเบื่อ”

ริมฝีปากเรียวบางของเขาเอ่ยพูด เขาคิดว่าการจุดโคมลอยนั้นช่างไร้ความหมาย

คนจากไป ชาก็เย็น[2]

เมื่อคนหนึ่งตายจาก การกระทำใดๆ ล้วนแต่ไร้ความหมาย

“ปากแข็งชะมัด”

เฟิงอู๋โยวพึมพำเสียงแผ่ว ก่อนหันกลับมาและถือโคมลอยดวงใหม่ที่ยังไม่จุด จากนั้นก็ตั้งใจเขียนลงบนโคมลอยว่า “อธิษฐานขอให้ดวงวิญญาณของวีรบุรุษมีอายุยืนยาวดั่งสายนที”

หลังจากเส้นขีดสุดท้ายตวัดเขียนเสร็จสิ้น เฟิงอู๋โยวก็มอบโคมลอยให้จวินมั่วหรัน

เมื่อแปดปีที่แล้ว เหล่าองครักษ์ของพระราชวังได้ต่อสู้เพื่อแลกกับชีวิตอันริบหรี่ของจวินมั่วหรันและจวินฝู

แม้เฟิงอู๋โยวอาจไม่เข้าใจทั้งหมด แต่นางก็เข้าใจอารมณ์ของจวินมั่วหรันในสภาพนั้นได้

บนฝั่งคูเมืองอันสว่างไสว ระหว่างพวกเขาสองคนมีเพียงโคมลอยที่กั้นอยู่ ระยะห่างระหว่างหัวใจทั้งสองดวงขยับเข้าใกล้ชิดกันมากขึ้น

มือของจวินมั่วหรันวางบนหลังของเฟิงอู๋โยวเบาๆ ประหนึ่งมีต้นกล้าอ่อนแห่งความอบอุ่นงอกออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจเขา

นางพาเขาทำในสิ่งที่เขาอยากทำมาโดยตลอด

ปล่อยโคมลอยเพื่อวิญญาณวีรชนและบุพการีผู้ล่วงลับ

ในเวลาเดียวกัน ณ ชั้นบนสุดของร้านอาหารฉางเฟิง ฟู่เย่เฉินกับไป๋หลี่เหอเจ๋อกำลังดื่มด้วยกันภายใต้แสงจันทร์สว่างไสว

ฟู่เย่เฉินในชุดสีแดงฉาน ดวงตาเฉี่ยวเรียวกึ่งยิ้มของเขาฉายแววเมามาย “อาเจ๋อ ครั้งนี้เจ้าคาดการณ์ถูกต้องจริงๆ ข้าเชื่อแล้วว่าอีกไม่นาน เฟิงอู๋โยวจะกลายเป็นจุดอ่อนของจวินมั่วหรัน เมื่อถึงเวลานั้น พวกเราจะใช้จุดอ่อนนี้บีบคั้นเขาให้ยอมจำนน”

ไป๋หลี่เหอเจ๋อเงยหน้ากระดกดื่มเหล้าในจอกจนหมดเกลี้ยง

บนฝั่งคูน้ำ แสงไฟสว่างไสว เงาร่างของคนสองคนที่ใกล้ชิดกันอยู่ดูกลมกลืนเข้ากันเป็นยิ่งนัก

แต่ภาพนั้นกลับดูขัดตาไป๋หลี่เหอเจ๋อ

เห็นได้ชัดว่าทุกอย่างราบรื่นตามแผนของเขา แต่เขากลับรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเรื่อยๆ

ฟู่เย่เฉินลุกพรวด ก่อนโบกพัดด้วยมือข้างหนึ่ง เขาในชุดสีแดงฉานดูเจ้าเล่ห์ราวกับปีศาจในโลกโลกีย์ที่โผล่มายังโลกมนุษย์ แล้วรังสีแห่งความชั่วร้ายรั่วไหลออกมาจากดวงตาของเขา

“ฤกษ์งามยามดีมาถึงแล้ว”

“เฉิน หากเป็นไปได้ ห้ามทำร้ายเฟิงอู๋โยว”

ไป๋หลี่เหอเจ๋อลุกขึ้นตามหลังเขา ผมสีดำสยายปลิวไสวไปตามสายลม

รอยยิ้มของฟู่เย่เฉินเริ่มจมดิ่งลง “อาเจ๋อ ในเมื่อเจ้าเป็นคนผลักเขาเข้าไปในอ้อมแขนของจวินมั่วหรันด้วยตัวเอง เจ้าก็ควรเตรียมใจที่จะทำร้ายเขา”

ไป๋หลี่เหอเจ๋อถึงกับนิ่งเงียบ

ราวกับเขาตกอยู่ท่ามกลางสายหมอกพร่ามัว เสื้อคลุมยาวสีพื้นโบกสะบัดไปตามสายลมบนอาหารฉางเฟิงอย่างสง่างาม

เหล่าผู้คนที่เห็นภาพนั้นต่างก็คิดว่าเป็นเทพบุตรมาจุติยังโลกมนุษย์ พวกเขาต่างพากันชื่นชมอยู่ในใจ

แต่หารู้ไม่ว่าขณะที่ผู้คนต่างหลงใหลในภาพลักษณ์อันขาวสะอาดราวกับเมฆพิสุทธิ์เหนือฟ้า แต่อดีตที่ผ่านมาของเขาน่าเวทนาขนาดไหน

[1] เผือกร้อน หมายถึงปัญหาหรือเรื่องยุ่งยากที่ไม่มีใครอยากรับไว้แก้ไข

[2] คนจากไป ชาก็เย็น หมายถึงเมื่อคนๆ หนึ่งจากคนๆ หนึ่งหรือสถานที่หนึ่งไป เมื่อเวลาผ่านไปคนและสถานที่นั้นก็จะค่อยๆ ถูกลืม

เย้ารักท่านอ๋องเผด็จการ

เย้ารักท่านอ๋องเผด็จการ

Status: Ongoing
เพราะ ‘สัมพันธ์ชั่วข้ามคืน’ ทำให้ท่านอ๋องเย็นชาจอมเผด็จการแทบพลิกแผ่นดินตามหาตัวนาง เพื่อ…สังหาร!นิยายโรแมนติก-คอเมดี้ พระเอกสุดโหด นางเอกสุดแซ่บ!เมื่อ เฟิงอู๋โยว หัวหน้าทหารรับจ้างสุดก๋ากั่นทะลุมิติมายังโลกยุคโบราณทั้งยังโดนวางยาปลุกกำหนัดเข้าทางรอดเร่งด่วนเพียงอย่างเดียวก็คือใช้บุรุษช่วยถอนพิษ!ชายหนุ่มมากมายหลายแสนนางไม่เลือกกลับไปพัวพันเข้ากับ จวินมั่วหรัน ท่านอ๋องแคว้นศัตรู ผู้ขึ้นชื่อเรื่องเกลียดสตรีและดุดันเหี้ยมโหดเกินใครแม้จะรอดตัวมาได้เพราะร่างนี้อยู่ในฐานะ ‘บุรุษ’ แต่ด้วยสถานะทหารแคว้นศัตรูทำให้นางต้องกลับมาวนเวียนอยู่ข้างกายเขาอีกครั้งตราบใดที่นางไม่พูด เขาคงไม่รู้กระมังว่านางคือคนในคืนนั้น?เอาเถอะ อย่างนั้นคงต้องลองเสี่ยงดูสักตั้ง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท