ตอนที่ 206 ผีร้ายดูดเลือด
เมื่อเห็นสภาพการณ์เช่นนี้ เฟิงอู๋โยวก็เบิกตากว้างและวิ่งหนีไป
อันที่จริงเจ้าคนเดียวก็สามารถจัดการชาวบ้านเหล่านี้ได้แล้ว
แต่ปัญหาคือ ชาวบ้านเหล่านี้ยังมีลมหายใจอยู่ เจ้าไม่ต้องการเป็นเหมือนฟู่เย่เฉินที่ใช้วิธีการรวบรัดอย่างไม่สนใจชีวิตมนุษย์
“แฮ่กๆๆ”
แต่โชคไม่ดีที่ชาวบ้านที่ติดเชื้ออีกหลายสิบคนกระโดดออกมาเพิ่มจากพุ่มไม้ตามคันนาอันมืดมิด
พวกเขาพุ่งเข้ามาล้อมรอบเฟิงอู๋โยว และปิดทางหนีทุกทางของเจ้า
เฟิงอู๋โยวขมวดคิ้วเล็กน้อย เจ้ารู้สึกการโจมตีของชาวบ้านข้างหน้าเจ้าดูเหมือนสะเปะสะปะแต่ก็ยังคงแบบแผน
“เลือด ข้าต้องการดื่มเลือด!”
ชาวบ้านยืดคอ เมื่อสูดกลิ่นความเป็นมนุษย์ของเฟิงอู๋โยวเข้าลึกๆ มุมปากของพวกเขาพลันมีน้ำลายไหลยืดออกมาทันที
“ดูเหมือนว่าจะถูกสิ่งชั่วร้ายเข้าครอบงำ…”
เฟิงอู๋โยวกระโดดขึ้นไปในอากาศ เหยียบไหล่ของชาวบ้านที่ใกล้ที่สุด และฝ่าวงล้อมอย่างง่ายดาย จากนั้นก็กระโดดไปที่สันทุ่งแล้วหนีไป
บนสันเขาไม่ไกล ฟู่เย่เฉินจ้องมองร่างอันพลิ้วไหวของเฟิงอู๋โยว พลางส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ “กลับกันเถิด”
“นายท่าน แต่โรคระบาดกำลังลุกลามในหมู่บ้านหลิวเจีย นายท่านต้องการให้ข้าจุดไฟเผาหมู่บ้านหรือไม่” ข้ารับใช้ถือคบเพลิงไว้ในมือและพูดอย่างหน้าตาเฉย
“ถ้าเจ้าเผลอเผาเฟิงอู๋โยวไปด้วย เจ้าจะจ่ายไหวกระนั้นหรือ”
ฟู่เย่เฉินไม่พอใจกับคำถามข้ารับใช้ที่อยู่ข้างๆ
ก่อนที่เฟิงอู๋โยวจะมาที่นี่ เขาวางแผนจะจุดไฟเผาหมู่บ้านหลิวเจียทิ้งเพื่อทำลายหลักฐาน
แต่ทันทีที่เห็นเฟิงอู๋โยว ความคิดของฟู่เย่เฉินก็เปลี่ยนไป
ความงดงามที่มีชีวิตชีวาและสดใสเช่นนี้ จะถูกจุดไฟเผาทั้งเป็นได้อย่างไร
หลังจากเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดเฟิงอู๋โยวก็สลัดพวกชาวบ้านกระหายเลือดจนพ้น
นางยืนสังเกตการณ์อยู่ข้างลำธารที่คดเคี้ยวผ่านหมู่บ้านหลิวเจีย
ตอนแรก นางคิดว่าชาวบ้านติดโรคระบาดตามธรรมชาติจริงๆ แต่พอคิดไปคิดมา เหตุการณ์ที่ดูเหมือนจะเป็นโรคระบาดนี้น่าจะเกิดจากฝีมือมนุษย์
หากปรุงยาพิษขึ้นมา วิธีที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้แผ่กระจายอย่างรวดเร็วคือการทำให้แหล่งน้ำเป็นพิษ
แต่ปัญหาคือ จุดเริ่มต้นของลำธารที่ไหลผ่านหมู่บ้านหลิวเจียไม่ได้อยู่ที่นี่
ด้วยวิธีนี้ หากปล่อยพิษลงแม่น้ำจริงๆ ผู้คนที่ได้รับผลกระทบต้องมากกว่าชาวบ้านหมู่บ้านหลิวเจียแค่ห้าหรือหกร้อยคนแน่นอน
แต่จากสถานการณ์ปัจจุบัน หมู่บ้านต้นน้ำและปลายน้ำของลำธารนี้ล้วนปลอดภัย มีเพียงหมู่บ้านหลิวเจียเท่านั้นที่เกิดการระบาด ความจริงข้อนี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วแหล่งที่มาเชื้อในหมู่บ้านหลิวเจียไม่ได้มาจากแหล่งน้ำ
ดวงอาทิตย์แดงฉานกำลังขึ้น แสงของดวงอาทิตย์เรืองรองสาดทะลุผ่านม่านหมอกรำไร
เมื่อเฟิงอู๋โยวคิดว่าตัวเองเสียเวลามาเกือบทั้งวันแต่ก็ยังไม่ได้อะไรเลย ภายในใจก็พลันห่อเหี่ยวขึ้นมาทันที
แม้ว่าจะไม่เต็มใจจากไป แต่นางเข้าใจดีว่าหากมีคนจับได้ว่านางเข้าๆ ออกๆ หมู่บ้านหลิวเจียที่กำลังมีโรคระบาดอยู่แบบนี้ มันจะนำปัญหามาสู่ตัวนางและจวินมั่วหรันอย่างแน่นอน
เพราะไป๋หลี่เห๋อเจอเป็นคนที่ชักนำความเชื่องมงายของผู้คนในแคว้นตงหลินอยู่เบื้องหลัง
เมื่อเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น โรคระบาดและความอดอยาก ผู้คนจะฝากความหวังไว้ที่ไป๋หลี่เห๋อเจอทันที เพราะเชื่อว่าตำแหน่งราชครูเป็นตำแหน่งที่สวรรค์กำหนดให้เป็นผู้ควบคุมการไหลเวียนของกระแสโชคแห่งแคว้นตงหลิน
ในเวลานี้ ต่อให้ไป๋หลี่เห๋อเจอจะผายลม แต่ก็ยังหอมสำหรับชาวบ้านกันอยู่ดี
สิ่งที่เขาพูดล้วนถูกหมดในเวลานี้
“วันนี้พอแค่นี้ก่อนแล้วกัน”
หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว เฟิงอู๋โยวก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากออกจากหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว
สิ่งที่น่าแปลกก็คือ หลังจากพระอาทิตย์ขึ้น ชาวบ้านของหมู่บ้านหลิวเจียกลับมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป
บางคนวิ่งวุ่นไปมาบนทางแคบๆ และพากันยกแขนเสื้อขึ้นมาบังแสงตะวันยามเช้า
พวกเขาดูตื่นตระหนก ราวกับว่าแสงอาทิตย์เป็นหายนะสำหรับพวกเขาก็ไม่ปาน
สิ่งที่น่าสับสนยิ่งกว่าก็คือ ในขณะนี้ จิตใจของพวกเขาดูเหมือนจะฟื้นตัวกลับมา นอกผิวที่ยังคงซีดเซียว พวกเขากลับดูไม่เหมือนคนป่วยแม้แต่น้อย
ทันใดนั้น ชาวบ้านกลุ่มเล็กๆ อีกกลุ่มหนึ่งทยอยเดินออกมาจากที่หลบซ่อนในหมู่บ้าน
พวกเขาจ้องมองเฟิงอู๋โยวอย่างหวาดระแวงและพากันหลีกทางให้
“คนนี้เป็นใคร หรือว่าเขามาจุดไฟเผาหมู่บ้านพวกเรา”
“อย่ากังวลไปเลย! นักบวชหญิงกำลังต้มข้าวต้มอยู่ที่ทางเข้าหมู่บ้าน พวกเราไปขออาหารจากนางกันเถิด”
“ใช่ๆ เติมท้องให้อิ่มก่อนแล้วค่อยว่ากัน ต่อให้ตายไป จะได้เป็นผีท้องอิ่ม”
…
นักบวชหญิง?
ดวงตาของเฟิงอู๋โยวเป็นประกายทันที จากนั้นนางเดินตามหลังชาวบ้านของหมู่บ้านหลิวเจียไปติดๆ
ส่วนใหญ่เวลาเกิดโรคระบาดในหมู่บ้าน คงไม่มีคนสติดีที่ไหนมาต้มข้าวต้ม เคี่ยวโจ๊กแจกหรอก
ดังนั้น ผู้ที่มา ถ้าไม่ใช่นักบวชที่เปี่ยมด้วยเมตตา ก็มีแนวโน้มที่จะเป็นคนที่ชั่วร้ายมากๆ
“พี่ชาย สีหน้าเจ้าดูไม่ดีเลย แต่เป็นโรคอะไรร้ายแรงหรือไม่” เฟิงอู๋โยวซ่อนตัวปะปนอยู่อย่างเงียบๆ จุดเด่นของพวกเขาอย่างหนึ่งคือถือยกผ้ากระสอบเหนือศีรษะอยู่ตลอดเวลา
“จะ เจ้าเป็นใคร”
ดวงตาของชาวบ้านเบิกกว้างอย่างตกใจ เดิมทีเขาต้องการผลักเฟิงอู๋โยวออกไป แต่เมื่อเห็นนางสวมเสื้อคลุมดูมีราคา เขาก็ไม่กล้าแตะต้องนาง
“พี่ชาย อย่ากลัวไปเลย ตัวข้านั้นเป็นหมอวิเศษผู้สามารถช่วยเหลือหมู่บ้านพวกเจ้าได้ ข้ามาที่หมู่บ้านหลิวเจียเพื่อตรวจสอบโรคระบาดที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันครั้งนี้”
“หมอวิเศษ?”
“ใช่แล้ว ถ้าข้ากลัวโรคระบาด แล้วข้าจะกล้าวิ่งเข้าไปในหมู่บ้านหลิวเจียเพียงลำพังในช่วงเวลาแบบนี้ได้อย่างไร” เฟิงอู๋โยวพูดขึ้น
“เช่นนั้นพวกเราพอจะมีวิธีรักษาหรือไม่”
“ย่อมมีอยู่แล้ว แต่ข้าต้องรักษาตามอาการไปก่อน ถ้าจะให้หายขาด ข้าจำเป็นต้องได้ข้อมูลเพิ่ม พอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้าป่วยตั้งแต่เมื่อไหร่”
ชาวบ้านหรี่ตาลงและพูดอย่างตะกุกตะกัก “เมื่อคืนนี้ หลังจากที่เรือนจื่อหยางถูกเผา อยู่ๆ หญิงหม้ายคนหนึ่งในหมู่บ้านก็คุ้มคลั่ง เส้นเลือดในร่างของนางปริแตกออกมา จากนั้นใบหน้าของนางก็ซีดลงราวกับผี นางไล่กัดในหมู่บ้าน และคนที่นางกัดก็ป่วยติดเชื้อในแบบที่นางเป็น”
เฟิงอู๋โยวตระหนักได้ทันทีว่า ‘โรคระบาด’ ในหมู่บ้านหลิวเจียที่เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน เป็นเพราะการกัดกินเนื้อกันเองของชาวบ้านเหล่านี้
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ผู้วางยาพิษต้องการเพียงวางยาพิษแก่หญิงหม้ายที่ป่วยในตอนแรกเพียงคนเดียว เพื่อหวังใช้นางเป็นพาหะแพร่กระจายพิษในช่วงเวลาสั้นๆ
“เจ้ากลัวแสงแดดด้วยหรือ” เฟิงอู๋โยวเอียงคอถามชาวบ้านอีกครั้ง
ชาวบ้านพยักหน้า “จุดชีพจรมังกรของแคว้นถูกทำลาย หมู่บ้านของเราบังเอิญตั้งอยู่ที่ปลายสุดของจุดชีพจรมังกรนี้ นับว่าเป็นได้”
เฟิงอู๋โยวคิดในใจ อาการของชาวบ้านในหมู่บ้านหลิวเจียคล้ายกับตำนานผีดูดเลือดมาก ทั้งกลัวแสงแดดและกระหายเลือด
นางไม่คิดว่าผู้คนเหล่านี้จะกลายเป็นผีร้ายดูดเลือดอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุแบบนี้
ครั้นแล้วจึงถามชาวบ้านขึ้นอีกครั้งว่า “แล้วนักบวชหญิงที่ว่า มาอยู่ที่นี่นานเท่าใดแล้ว”
เมื่อเอ่ยถึงนักบวชหญิง ดวงตาของชาวบ้านก็ฉายแสงแวววาวขึ้นมา “เมื่อวานที่เกิดโรคระบาด นักบวชหญิงท่านนี้ก็ลงมาจากฟ้า”
“เพิ่งมาที่นี่เมื่อวานนี้…”
เฟิงอู๋โยวทวนคำตอบ จากนั้นปมต่างๆ ภายในใจก็ค่อยๆ ปะติดปะต่อเป็นภาพรวม
จากข้อสันนิษฐานของนาง นักบวชหญิงที่ทำโจ๊ะแจกที่ทางเข้าหมู่บ้านน่าจะเป็นเบี้ยในมือไป๋หลี่เหอเจ๋อ
ว่าแต่คนนั้นเป็นใครกัน
ฉู่อีอี?
ไม่ ไม่ใช่นางแน่ๆ เพราะเจ้านายที่แท้จริงของฉู่อีอีไม่ใช่ไป๋หลี่เหอเจ๋อ นางไม่มีแรงจูงใจที่จะทำแบบนี้หลังจากแสร้งทำเป็นตาย
แต่นอกเหนือจากฉู่อีอีแล้ว ยังมีผู้หญิงที่ใช้วิชาหนอนพิษเป็นลูกสมุนของไป๋หลี่เหอเจ๋อหรือไม่
หรืออีกความเป็นไปได้หนึ่งก็คือ นักบวชหญิงที่ปากทางเข้าหมู่บ้านเป็นเพียงหมากล่อหรือไม่ก็ตัวประกอบ…
ขณะที่ครุ่นคิดอยู่นั้น เฟิงอู๋โยวก็มาถึงทางเข้าหมู่บ้าน
“หมอวิเศษ ดูนั่น! นักบวชหญิงอยู่ที่นั่น! นางใจดีจริงๆ” ชาวบ้านพากันส่งเสียง ก่อนรีบวิ่งเข้าไปและทิ้งเฟิงอู๋โยวไว้ข้างหลัง
นักบวชหญิงที่กำลังต้มโจ๊กอยู่แต่งตัวเรียบๆ ไม่ได้แต่งหน้าใดๆ แต่ท่าทางแช่มช้อย แลดูบริสุทธิ์และเปี่ยมด้วยความเมตตา
เฟิงอู๋โยวชำเลืองมองนักบวชหญิงอย่างพินิจ แต่แล้วสายตาก็ไปหยุดที่บาดแผลฟกช้ำ ทำให้ดวงตาของเฟิงอู๋โยวก็ค่อยๆ ลุ่มลึกขึ้น”ท่านนักบวชหญิง เกิดอะไรขึ้นกับมือของท่านกระนั้นหรือ” เฟิงอู๋โยวก้าวไปข้างหน้า พลางขมวดคิ้วเป็นกังวลเล็กน้อย
นักบวชหญิงคลี่ยิ้มอ่อนหวาน “ไม่มีอะไรหรอก เมื่อวานตอนผ่าฟืน ข้าไม่ทันระวังจนได้รับบาดเจ็บ”
“ถูกขวานผ่าฟืนบาดแบบนี้ มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย ท่านไปนั่งพักที่ชายทุ่งก่อนแล้วกัน ข้าจะต้มโจ๊กแทนเจ้าเอง”
“นี่มัน…”
เฟิงอู๋โยวไม่ให้เวลานางได้คิด พูดแล้วก็ถือวิสาสะผลักและลากนางไปที่ชายทุ่งตรงทางเข้าหมู่บ้าน จากนั้นก็หยิบผ้ากระสอบจากชาวบ้านมาบังแดดให้นาง
เมื่อเห็นเฟิงอู๋โยวเอาใจใส่นักบวชหญิง ทุกคนก็คิดว่าเฟิงอู๋โยวคงหลงใหลในรูปลักษณ์ความสวยงามของนักบวชหญิง ครั้นแล้วจึงไล่ตามนางไป
แม้แต่นักบวชหญิงยังคิดว่าเฟิงอู๋โยวสนใจนาง
หลังจากไปส่งนักบวชหญิงเสร็จ เฟิงอู๋โยวก็กลับมาที่หม้อต้มโจ๊ก
ก่อนที่ทุกคนจะสังเกตเห็น นางใช้เข็มสีเงินกรีดลงบนแขนของนางอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้า
“ตายแล้ว! สร้อยข้อมือหยกที่ปู่ซื้อให้ตกลงไปในหม้อโจ๊ก แต่ข้าหาไม่เจอ”
เฟิงอู๋โยวพึมพำ จากนั้นก็จุ่มแขนของนางลงไปในหม้อโจ๊กอย่างไม่ใส่ใจ กวนไปมาหลายรอบและปล่อยให้เลือดในมือของนางผสมลงไปในโจ๊กอย่างทั่วถึง
ชาวบ้านเห็นดังนั้นก็กระวนกระวายใจขึ้นมา
“ทำไมเจ้าถึงทำแบบนี้”
“ใช่! เอาแขนจุ่มลงไปในหม้อโจ๊กแบบนี้ได้อย่างไร”
“หมู่บ้านหลิวเจียของพวกเราน่าสังเวชมากพอแล้ว! นี่เจ้าคิดจะซ้ำเติมพวกเราอีกหรือ”
…
เฟิงอู๋โยวพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าขอโทษ ข้าไม่รู้ว่าเอาสร้อยข้อมือหยกไปทิ้งไว้ที่ไหน เอาไว้ข้าจะกลับมาใหม่ ขอตัวไปหาก่อน”
ก่อนจากไป นางไม่ลืมที่จะขยิบตาให้นักบวชหญิงที่นั่งอยู่บนคันนา “ท่านนักบวชหญิง เจอกันพรุ่งนี้เวลาเดิม”
“รีบๆ ไปเสียเถิด พวกเราไม่ต้อนรับเจ้าอีกแล้ว”
ชาวบ้านมองดูหม้อโจ๊กที่เฟิงอู๋โยวจุ่มมือลงไป แต่คนทั้งหมู่บ้านป่วยและแทบไม่มีอาหารกิน ดังนั้นตอนนี้พวกเขาจึงไม่มีทางเลือก
เฟิงอู๋โยวมองย้อนกลับไปมองนักบวชหญิงที่นั่งอยู่บนคันนา จนกระทั่งทู่ทู่วิ่งเข้ามาด้านหน้า นางถึงตั้งสติกลับมาได้
“ทู่ทู่ กลับเมืองกันเถิด”
นางกระโดดขึ้นไปนั่งบนหลังม้าอย่างมั่นคง โดยไม่สนใจแขนที่เริ่มพุพอง
“เฟิงอู๋โยว เจ้าช่างกล้าหาญมาก!”
ในเวลานั้น จวินมั่วหรันนั่งอยู่ในราชรถม้าหยกจ้องมองเฟิงอู๋โยวบนหลังม้าอย่างโกรธเคือง
ทันทีที่เขากลับไปถึงตำหนัก เถี่ยโส่วก็รีบวิ่งมารายงานว่าเฟิงอู๋โยวทำให้จุยเฟิงหมดสติก่อนหายตัวไป
จวินมั่วหรันกลัวเหตุการณ์แบบนี้มา
เขากลัวว่าเฟิงอู๋โยวจะถูกแย่งชิงอีกครั้ง กลัวว่าอาจมีบางอย่างเกิดขึ้นกับนาง กลัวว่านางจะพาสาวใช้ตัวน้อยของนางหนีไป