ตอนที่ 212 ฉู่สือซื่อ
“ได้โปรดเมตตา!”
ในช่วงหน้าเสียวหน้าขวานนั้นเอง ฟู่เย่เฉินก็รีบพุ่งเข้ามาขว้างด้านหน้าไป๋หลี่เหอเจ๋อ
ด้านหลังปั่วเย่เฉินตามมาด้วยขุนนางยู่ชินและคนอื่นๆ เป็นขโยง
ปั่วเย่เฉินมองไปที่เฟิงอู๋โยวที่ถูกปกป้องโดยจวินมั่วหรันเป็นคนแรก ก่อนถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่านางไม่ได้รับบาดเจ็บ
แต่เมื่อเขามองไปที่ไป๋หลี่เหอเจ๋อที่มีเลือดไหลออกมาก็ตื่นตระหนกขึ้นมาทันที “แพทย์หลวง ท่านราชครูเสียเลือดมาก รีบห้ามเลือดเร็วเข้า!”
เมื่อเห็นเช่นนี้ เหล่าขุนนางที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพากันเกลี้ยกล่อมให้จวินมั่วหรันเก็บกระบี่ลง
“ท่านใต้เท้า ท่านราชครูเป็นผู้ที่สวรรค์กำหนดมา ดังนั้นจะฆ่าเขาไม่ได้ขอรับ”
“เรือนจื่อหยางก็ถูกทำลายแล้ว หากเกิดอะไรขึ้นกับท่านราชครูขึ้นมาอีก ชะตากรรมของแคว้นตงหลินอาจจะ…”
เฟิงอู๋โยวตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ได้เช่นกัน นางจึงดึงกระบี่สะบั้นมังกรจากมือของจวินมั่วหรันออกมา “ท่านใต้เท้า กระหม่อมไม่เป็นไร จงอย่าทำให้ประชาชนแคว้นตงหลินหมดความศรัทธาในตัวท่านเพียงเพราะการกระทำเพื่อปกป้องกระหม่อม”
“ข้าไม่สนใจชื่อเสียงจอมปลอมพวกนี้”
“แต่กระหม่อมสน” เฟิงอู๋โยวเถียงกลับทันที “ท่านต่อสู้พยายามเพื่อแคว้นตงหลินมามากมายและเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด ท่านใต้เท้าคงไม่อยากลงเอยในสภาพน่าอนาจหรอกกระมังขอรับ”
เมื่อเห็นท่าทางอันเด็ดเดี่ยวของเฟิงอู๋โยว จวินมั่วหรันจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปล่อยให้นางดึงกระบี่สะบั้นมังกรไปจากมือ
ไป๋หลี่เหอเจ๋อที่ถูกแพทย์หลวงสองคนพยุงขึ้นมา เอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ “ท่านใต้เท้า ถ้าข้าเป็นอะไรไปขึ้นมา คานอำนาจของแคว้นตงหลินเสียสมดุลแน่นอน ถึงคราวนั้น ท่านเตรียมตัวถูกสาปให้กลายเป็นคนบาปชั่วนิรันดร์แล้วกัน”
ได้ยินคำพูดเช่นนั้น เฟิงอู๋โยวพลันโมโหขึ้นมาทันที ทันใดนั้นนางจึงจิกเล็บเข้าเนื้อตัวเองเพื่อหวังต้องการควบคุมหนอนโลหิตในร่างของชาวบ้านจากหมู่บ้านหลิวเจีย
ต่อมา ชาวบ้านจากหมู่บ้านหลิวเจียต่างพากันคุกเข่าลง ยกมือไหว้ไป๋หลี่เหอเจ๋ออย่างพร้อมเพรียงกัน “ขอท่านราชครูมอบยาให้พวกเราด้วยเถิด! พวกเราสาบานว่าจะสั่งท่านแต่เพียงผู้เดียว จะพยายามลดทอนความน่าเชื่อถือของเซ่อเจิ้งหวางอย่างสุดความสามารถ ทำให้เขากลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของประชาชน แต่ขอแค่ท่านราชครู มอบยาให้พวกเราเถิด!”
ผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างตกตะลึงกับสิ่งที่ชาวบ้านจากหมู่บ้านหลิวเจียพูด
ฟังจากที่พวกเขาพูดมา ดูเหมือนผู้ร้ายตัวจริงของเรื่องทั้งหมดจะเป็นไป๋หลี่เหอเจ๋อ
ขณะที่บรรยากาศเงียบงัน ทุกคนต่างไม่รู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก
แม้แต่เหล่าขุนนางที่เพิ่งตามมาถึงก็ยังไม่กล้าเอ่ยปากพูดเกลี้ยกล่อมจวินมั่วหรันแต่อย่างใด เพราะกลัวว่าหากไป๋หลี่เหอเจ๋อเป็นต้นเหตุขึ้นมาจริงๆ พวกเขาจะพลอยติดร่างแหไปด้วย
ปั่วเย่เฉินเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก จึงต้องเข้ามายืนขว้างด้านหน้าไป๋หลี่เหอเจ๋อและตำหนิชาวบ้านจากหมู่บ้านหลิวเจียด้วยน้ำเสียงเย็นชา “อย่าพูดเรื่องไร้สาระ ท่านราชครูเป็นถึงนักพรตผู้อุปถัมภ์แคว้นตงหลินของพวกเรา เขาไม่มีทางเป็นเหมือนที่พวกเจ้าพูดแน่นอน!”
เฟิงอู๋โยวที่ได้ยินเช่นนั้นจึงถามกลับ “เป็นจริงอย่างที่ชาวบ้านพูดหรือไม่ ภายในใจท่านมือชันสูตรน่าจะรู้ดีไม่ใช่หรือ ไม่ทราบว่ากล้ากล้าสาบานต่อเหล่าขุนนางชั้นสูงและฟ้าดินหรือไม่ว่าโรคระบาดที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านหลิวเจียไม่ได้เกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์”
ปั่วเย่เฉินไม่ต้องการเผชิญหน้ากับเฟิงอู๋โยว แต่ถ้าเขาไม่เคลื่อนไหวไป๋หลี่เหอเจ๋ออาจต้องแบกรับเผชิญหน้ากับเรื่องที่จะตามมาด้วยตัวเขาคนเดียวอย่างยากลำบาก
ขืนเขาไม่ทำอะไรสักอย่าง แผนการแก้แค้นของไป๋หลี่เหอเจ๋อจะพังลงในที่สุด
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ปั่วเย่เฉินก็ขยิบตาให้เฟิงอู๋โยวและพูดออกไปอย่างอ่อนโยน “อย่าเพิ่งรีบร้อน อาจมีความเข้าใจผิดในเรื่องนี้ก็เป็นได้”
จวินมั่วหรันเหลือบมองปั่วเย่เฉินที่ขยิบตาใส่เฟิงอู๋โยวอย่างไม่พอใจ จากนั้นก็เข้ามายืนขวางหน้านางเพื่อปิดกั้นสายตาของปั่วเย่เฉิน “ซือมิ่งจงเผยหลักฐานที่หามา”
เมื่อได้ยินคำสั่งเช่นนี้ ซือมิ่งก็ยื่นจดหมายหลายฉบับให้พวกขุนนางยู่ชิน “จดหมายเหล่านี้ถูกส่งมาอย่างลับๆ จาก แคว้นหนานเจียงไปยังเรือนจื่อหยางก่อนหน้านี้ แต่ถูกขัดขวางได้โดยบังเอิญโดยทหารเฝ้ายามที่ตรวจตราเมืองเมื่อไม่นานมานี้”
ขุนนางยู่ชินลูบเครายาวด้วยมือข้างหนึ่งก่อนพูดด้วยเสียงทุ้ม “อ่าน”
“นายน้อย ข้าได้ส่งหรูอี้ไปที่แคว้นที่แคว้นตงหลินอย่างลับๆ แล้ว ด้วยวิชาหนอนโลหิตของหรูอี้จะต้องช่วยนายน้อยได้อย่างแน่นอน”
เมื่อซือมิ่งอ่านจบ ทุกคนในที่แห่งนั้นต่างตกตะลึงเป็นที่สุด
พวกเขาไม่คิดว่าไป๋หลี่เหอเจ๋อที่ดูเหมือนจะไม่สนใจโลกทั้งใบ แท้จริงแล้วกลับกำลังสื่อสารกับกลุ่มโจรจากแคว้นเจียงหนานอย่างลับๆ !
ในเวลาเดียวกัน ชาวเมืองที่สาบานว่าจะสนับสนุนไป๋หลี่เหอเจ๋อในเวลานี้กลับตระหนักได้แล้วว่าพวกเขาทำผิดต่อจวินมั่วหรันและเรื่องนี้ก็ทำให้พวกเขารู้สึกเสียใจเป็นยิ่งนัก
พวกเขาลากสารร่างที่บาดเจ็บของตัวเองจากฝ่ามือสะบั้นวายุมาก้มหัวต่อหน้าจวินมั่วหรัน”เป็นเพราะพวกกระหม่อมสายตาตื้นเขินมองคนไม่ทะลุปรุโปร่ง ขอท่านใต้เท้าโปรดให้อภัย”
จวินมั่วหรันแค่นเสียงหึในลำคอ
คนพวกนี้ดูถูกเฟิงอู๋โยว หากเฟิงอู๋โยวไม่เข้ามาขวางเขาเอาไว้ ป่านนี้คนพวกนี้ถูกเขาหักคอตายไปแล้ว!
เมื่อเห็นสภาพจนมุมของไป๋หลี่เหอเจ๋อใบหน้าของจี้มั่วจื่อเฉินก็ฉายแววดีใจขึ้นมา “ไป๋หลี่เหอเจ๋อ เรื่องมันถึงขนาดนี้แล้ว เจ้ายังไม่ยอมรับผิดอีกหรือ”
ไป๋หลี่เหอเจ๋อรู้ดีว่าภาพลักษณ์ของเขาในสายตาของประชาชนชาวตงหลินไม่มีทางสลายหายไปในชั่วข้ามคืนอย่างแน่นอน
ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธความผิดออกไปอย่างมั่นใจ “ในเมื่อไม่ได้ทำอะไรผิด ไฉนต้องยอมรับผิด”
เฟิงอู๋โยวไม่คิดไม่ฝันว่าไป๋หลี่เหอเจ๋อที่ดูสุขุมราวกับเทพบุตรนั้น จะหน้าไม่อายขนาดนี้
นางเดินไปที่ฝูงชน ก่อนชี้ไปที่ชาวบ้านหน้าซีดขาวจากหมู่บ้านหลิวเจียที่กำลังทำหน้างุนงง จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างจริงจัง “มันไม่ใช่เรื่องที่จะสืบหาเบาะแสว่าโรคระบาดในหมู่บ้านหลิวเจียเป็นภัยพิบัติที่มนุษย์สร้างขึ้นจริงหรือไม่ หากในตัวของพวกเขามีหนอนโลหิตอยู่จริงๆ ขอแต่หาตำแหน่งมันเจอ ก็สามารถเอามันออกมาได้และอาการป่วยของโรคก็จะหายไป”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนก็มองหน้ากันอย่างตกตะลึง
เวลาต่อมา นางแทงปลายนิ้วของนางอีกครั้งและพึมพำออกคำสั่งให้หนอนโลหิตในร่างกายชาวบ้านจากหมู่บ้านหลิวเจียปรากฏขึ้นด้วยตัวเอง
“แฮ่กๆๆ”
ทันใดนั้น ชาวบ้านจากหมู่บ้านหลิวเจียเอามือกำลำคอของพวกเขาแน่น ขณะเดียวกันส่งเสียง ‘ครืดคราด’ จากลำคอของพวกเขาเป็นระยะ
หลังจากนั้นไม่นาน หนอนโลหิตขนาดเท่ากำปั้นก็คลานออกมาจากปากของพวกเขา
หนอนโลหิตเหล่านี้มีลักษณอ้วนท้วน พวกมันขยับตัวด้วยความยากลำบาก
และเมื่อพวกมันร่วงตกลงพื้น ร่างของพวกเขาก็แตกออกราวกับประทัด ทำเอาเลือดสีแดงฉานสาดกระจาย
แพทย์หลวงที่ประคองไป๋หลี่เหอเจ๋ออยู่อย่างระมัดระวังก่อนหน้านี้ ถลึงตาเบิกกว้าง จ้องมองเลือดที่กระจายอยู่บนพื้น “เป็นหนอนโลหิตจริงๆ ด้วย!”
มุมปากของเฟิงอู๋โยวรั้งขึ้นเล็กน้อย จากนั้นนางพูดด้วยเสียงทุ้ม “ไป๋หลี่เหอเจ๋อ หลักฐานแน่นหนาเช่นนี้ ไฉนยังลังเลอยู่!”
“เรื่องของหนอนโลหิตไม่เกี่ยวอะไรกับข้าทั้งนั้น” ไป๋หลี่เหอเจ๋อหลับตาแน่นและยังคงปฏิเสธเหมือนเดิม
ทันใดนั้น ฉู่ชีก็อุ้มฉู่สือซื่อที่กำลังร้องไห้อย่างนักเข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
เมื่อเห็นว่าไป๋หลี่เหอเจ๋อได้รับบาดเจ็บสาหัส ฉู่ชีก็รู้สึกปวดใจขึ้นมา “นายท่าน ข้าผิดเองที่ละเลยหน้าที่”
“เรื่องอะไร”
ฉู่ชีชี้ไปที่ฉู่สือซื่อและพูดขึ้นอย่างจริงจัง “นายท่านเจ้าคะ ข้าตรวจสอบสอบแล้วว่าฉู่สือซื่อไม่ใช่เด็กสาวกำพร้าในแถบชานเมือง แต่ตัวตนที่แท้จริงของนางคือเด็กกำพร้าจากแคว้นหนานเฉียงเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ไป๋หลี่เหอเจ๋อก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ดวงตาสีเข้มของเขาจ้องไปที่ฉู่สือซื่อที่ตื่นตระหนก ก่อนถามขึ้น “สือซื่อ หนอนโลหิตที่ฝังอยู่ในร่างกายของชาวบ้านในหมู่บ้านหลิวเจียเป็นฝีมือของเจ้ากระนั้นหรือ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ” ฉู่สือซื่อที่อายุยังไม่ถึงเจ็ดขวบพยักหน้าตอบพร้อมน้ำตา