ตอนที่ 226 มีพิรุธ
ในความเป็นจริง ตั้งแต่มาถึงแคว้นตงหลินและได้พบกับเฟิงอู๋โยวอีกครั้ง ชิงหลวนสังเกตเห็นแล้วว่าเฟิงอู๋โยวแตกต่างไปจากเมื่อก่อนอย่างมาก
ชิงหลวนเกิดมาพร้อมกับสัมผัสพิเศษ นางมักจะสามารถรับรู้ได้ถึงรายละเอียดที่คนธรรมดาทั่วไปสังเกตไม่เห็น
ดังนั้นในวันเทศกาลโคมลอยกลางฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมา นางจึงแอบปล่อยโคมลอยที่มีเขียนตัวอักษร ‘อู๋’ ให้นายหญิงคนเดิมเพียงลำพัง เพื่อเป็นการอำลานายหญิงอย่างเป็น ทางการ
จากวันนั้นเป็นต้นมา นางจึงสาบานว่าจะรับใช้และติดตามดวงวิญญาณที่เขาสิงร่างของเฟิงอู๋โยวคนเดิมไปตลอดชีวิตและมองว่าเป็นนายหญิงของนางนับจากนี้ต่อไป
แน่นอนว่านางจะไม่มีวันบอกความลับนี้กับคนอื่น
ดวงตาแหลมคมดุจใบมีดของเฟิงจือหลิน จ้องใบหน้าของชิงหลวน เขารู้สึกว่าการแสดงออกของชิงหลวนดูทะแม่งๆ ชอบกล
ปากบอกว่าต้องการปกป้องเจ้านายของตน แต่ดวงตากับดูเหมือนกับพร้อมจะสละเพื่อแก้แค้นให้กับญาติผู้ล่วงลับก็ไม่ปาน
“เจ้าเด็กเหลือขอ ช่างกล้าดี!”
ใบหน้าของเฟิงจือหลินซีดเซียว ดวงตาที่โกรธเกรี้ยวเบิกกว้าง ทั่วทั้งตัวราวกับมีมวลความโกรธแผ่ซ่านออกมาจนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ไหล่กว้างๆ ของเขาสั่นอย่างรุนแรง น้ำเสียงพลันเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
เขาไม่คิดว่าชิงหลวนกล้าดีถึงขนาดนี้ หลังจากอยู่กับเฟิงอู๋โยวมาเป็นเวลานาน ดูเหมือนว่านางจะยิ่งกล้าดูหมิ่นองค์หญิงหลีอินมากขึ้นกว่าเดิม
“ใครก็ได้ ออกมาตบหน้าเจ้านี่ที”
มวลความหงุดหงิดรอบตัวจวินมั่วหรันเข้มข้นขึ้น น้ำเสียงเคร่งขรึมลงเล็กน้อย แววความเกียจคร้านและเป็นกันเองในน้ำเสียงเหือดหาย
ทำตัวอวดเบ่งในพื้นที่ของเขาแบบนี้ เฟิงจือหลินช่างไม่กลัวความตายจริงๆ
ทันทีที่จวินมั่วหรันพูดจบ หน้าไม้หลายสิบคันก็ปรากฏขึ้นรอบๆ เรือนแพทย์พยากรณ์
หน้าไม้นับไม่ถ้วนโผล่ออกมาตามหลังคากระเบื้อง ซอกมุมทั้งระยะใกล้และไกล ตอนนี้พวกเฟิงจือหลินและคนอื่นๆ ถูกล้อมเอาไว้แล้ว
เมื่อเห็นสภาพการณ์เช่นนี้ เป่ยหลีหลงถิงก็ตึงเครียดขึ้นมาทัน
แม้ว่าจวินมั่วหรันจะยังไม่ได้ออกคำสั่งสังหารเขา แต่การออกคำสั่งให้ใครสักคนตบหน้าแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นเป่ยหลีต่อหน้าเขาแบบนี้ มันช่างเป็นการเหยียดหยามกันสิ้นดี
ในเวลานั้น เป่ยหลีหลงถิงขยิบตาให้เฟิงจือหลิน
แววสุดจะทนฉายขึ้นในดวงตาของเฟิงจือหลินแวบหนึ่ง เพียงครู่เดียว เขาและเป่ยหลีหลงถิงเข้าใจตรงกัน จากนั้นพวกเขาทั้งสองก็พุ่งเข้าโจมตีเฟิงอู๋โยวที่ขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของจวินมั่วหรันอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้น เป่ยหลีหลงถิงและเฟิงจือหลินต่างเค้นกำลังภายในอันน่าสะพรึงกลัวเข้าด้วยกันจนควบแน่นกลายเป็นพายุที่มีเปลวเพลิงลุกโหม จากนั้นก็ขว้างออกไปใส่เฟิงอู๋โยวด้วยเจตนาที่ต้องการบดขยี้ให้สิ้นซาก
จวินมั่วหรันกระชับกอดเฟิงอู๋โยวไว้แน่น ก่อนกระโดดหลบหลีกจนรอดจากการจู่โจมที่เร็วปานสายฟ้าฟาดอย่างหวุดหวิด
แม้จะช้าหน่อย แต่ก็ได้เวลาแล้ว
อาหวงเล็งโอกาสแบบนี้มานานพอสมควร ครั้นแรงส่งถูกเค้นไปที่ขาหลัง ทันใดนั้นมันก็พุ่งเข้าไปกัดเป่ยถางหลีอินในสภาพอิดโรยอย่างดุดัน
“อ๊าย”
มันกัดแขนของเป่ยถางหลีอินอย่างเมามัน แต่เมื่ออ๋าวเช่อตั้งสติกลับมาได้ จึงพุ่งเข้ามาฟาดมันด้วยฝ่ามือจนอาหวงลอยกระเด็นไปด้านหลังจวินมั่วหรัน มันแลบลิ้นออกมาและมองไปทางเฟิงอู๋โยวอย่างโล่งใจ
ถือเป็นโอกาสที่ดีในการชดใช้ความผิดที่มันเคยทำต่อเฟิงอู๋โยวในชาติที่แล้ว
เป็นเพราะมันลุ่มหลงในกามราคะจนเป็นเหตุเฟิงอู๋โยวถึงแก่ความตาย
“กลับ!”
เป่ยหลีหลงถิงกอดเป่ยถางหลีอินที่ร้องไห้สะอื้นและรีบพาหนีไปอย่างรวดเร็ว
อ๋าวเช่อขมวดคิ้วชำเลืองมองเฟิงจือหลินที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส
แต่ถึงกระนั้น เขาก็เข้าไปพยุงเฟิงจือหลินตามหลังเป่ยถังหลงถิงไปติดๆ ก่อนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
“เห้อ…”
เฟิงอู๋โยวมองไปยังทิศทางที่เฟิงจือหลินหลบหนีอย่างอาฆาต ดวงตาฉายแววเย็น มุมปากรั้งขึ้นเป็นเส้นโค้งเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าการคาดการณ์ล่วงหน้าของนางจะเป็นจริง
เสือตัวนี้กินได้แม้กระทั่งลูกของมันเอง
เฟิงจือหลินร่วมมือกับเป่ยหลีหลงถิงเพื่อพยายามฆ่านาง!
ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา เฟิงจือหลินไม่เคยทำหน้าตาเป็นมิตรกับนางเลยสักครั้ง จนบางทีนางเริ่มสงสัยว่าตัวนางไม่ใช่เลือดเนื้อของเฟิงจือหลินจริงๆ
บางที นางอาจเป็นผลผลิตจากความสำส่อนของชิวหรูสุ่ยก็เป็นได้
หรือแม่ผู้ให้กำเนิดของนางอาจไม่ใช่ชิวหรูสุ่ยผู้เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัว
“อย่าเศร้าไป ข้าคนนี้จะดูแลเจ้าให้ดีที่สุดเอง”
จวินมั่วหรันคิดว่าเฟิงอู๋โยวถูกทำร้ายจิตใจโดยเฟิงจือหลิน ดังนั้นเขาจึงปลอบนางด้วยเสียงอ่อนโยน
กู่หนานเฟิงมองจวินมั่วหรันอยู่ครู่หนึ่งก่อนส่ายหัวอยู่คนเดียว “ท่านใต้เท้าโง่ รีบพาเขาเข้าไปที่ห้องด้านในเร็วเข้า!”
จวินมั่วหรันตั้งสติกลับมาได้ว่าเฟิงอู๋โยวได้รับบาดเจ็บจากกระบวนท่ากำลังภายในของเป่ยหลีหลงถิง
ครั้นแล้วจึงรีบอุ้มเฟิงอู๋โยวเข้าไปในห้องข้างในและพยายามปลดเสื้อผ้าของนางออกทันที
“อย่าแตะต้องกระหม่อม!”
ในเมื่อผ้ารัดหน้าอกภายใต้เสื้อคลุมของเฟิงอู๋โยวขาดเพราะการโจมตีของเป่ยหลีหลงถิงเมื่อครู่ แล้วนางจะกล้าปล่อยให้จวินมั่วหรันเข้าใกล้ได้อย่างไร
แต่ในเมื่อหลังคารั่ว ในเรือนย่อมเจิ่งนอง[1]
จวินมั่วหรันได้แต่มองนางอย่างเข้าใจ กู่หนานเฟิงที่เดินตามเข้ามาติดๆ พูดเสียงจริงจัง
“เฟิงอู๋โยว ยื่นมือออกมา”
กู่หนานเฟิงนั่งลงบนขอบเตียง จากนั้นก็ผลักจวินมั่วหรันออกไปอย่างไม่รู้ตัว
เฟิงอู๋โยวรีบดึงมือกลับเข้าไปในผ้าห่มและพูดอย่างไม่สบายใจ “ข้าไม่เป็นไร ข้าอยากนอน”
“พูดบ้าอะไรอยู่! ถ้าวันนี้ข้าไม่วินิจฉัยและทำการรักษาให้เจ้า ดีไม่ดีพรุ่งนี้จะมีใครเรียกข้าว่ากู่เวยเหมิ่งอีก” กู่หนานเฟิงถลกแขนเสื้อขึ้นและทำท่าทางจะเลิกผ้านวมออก
“กู่หนานเฟิง อย่าทำให้เขาตกใจ”
เมื่อเห็นหน้าผากของเฟิงอู๋โยวเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อเย็น จวินมั่วหรันจึงยื่นมือออกแตะไหล่กู่หนานเฟิง
กู่หนานเฟิงพูดขึ้นอย่างจริงจัง “การตบของเป่ยหลีหลงถิงเมื่อครู่ไม่ใช่เรื่องตลก หากไม่ตรวจให้ละเอียด มันอาจทำให้อาการของเขาแย่ลงก็เป็นได้”
เสียงเตือนของกู่หนานเฟิงราวกับระฆังเรียกสติที่ดึงจวินมั่วหรันกลับมาอยู่กับความเป็นจริงที่ว่า ในร่างกายของเฟิงอู๋โยวมียาพิษแฝงอยู่
เขาก้มหน้าลงโดยไม่พูดอะไร ก่อนค่อยๆ หันไปหาเฟิงอู๋โยว “อย่ากลัวเลย เขาแค่ดูที่บาดแผลของเจ้าก็เท่านั้น”
“ไม่จำเป็น”
เฟิงอู๋โยวนอนลงบนเตียงอย่างเมินเฉย นางแอบซูดปากเล็กน้อย เพราะทั่วทั้งร่างของนางตอนนี้เจ็บปวดราวกับกำลังจะแตกสลาย แค่ขยับเพียงเล็กน้อยก็ร้าวระทมจนเหงื่อเย็นแตกพลั่ก
กู่หนานเฟิงมองจวินมั่วหรันด้วยสายตาเหยียดหยาม “เมื่อครู่ท่านช่างกล้าหาญ แต่ไฉนตอนนี้กลับหัวหด”
จวินมั่วหรันจนปัญญา คำพูดคำจาของกู่หนานเฟิงมันช่างแดกดันไม่เคยแผ่ว แต่ว่าเขากลัวเฟิงอู๋โยวอาจเข้าใจเขาผิด ครั้นจึงรีบอธิบายว่า “ข้าไม่คิดคิดจะแตะต้องใครนอกจากเจ้า”
เขาพูดแบบนี้เพียงเพราะต้องการให้เฟิงอู๋โยวรู้ว่าเขามีเจตนาที่บริสุทธิ์
แต่ในหูของเฟิงอู๋โยวกลับกลายเป็นคำขู่ “ไหนท่านบอกว่าจะไม่ล้ำเส้น! ไฉนตอนนี้ท่านถึงจะจับกระหม่อมแก้ผ้า”
จวินมั่วหรันลำบากใจเป็นที่สุด เขาค่อยๆ จับผ้านวมผืนบางๆ ที่คลุมร่างของนาง จากนั้นก็วางฝ่ามืออุ่นๆ ลงบนหลังของนางและถามเบาๆ “ข้าแค่ต้องการดูบาดแผลของเจ้าก็เท่านั้น”
กู่หนานเฟิงเริ่มหงุดหงิด ภาพที่ภาพอยู่ด้านหน้ามันน่ารำคาญยิ่งนัก
“เฟิงอู๋โยว ในเมื่อเจ้ามีความกล้าเที่ยวอ้างไปทั่วว่าตัวเองขนาดใหญ่อย่างนั้นอย่างนี้ ไฉนเจ้าถึงไม่กล้าเผยความยิ่งใหญ่ของตนเองออกมา”
“กู่เวยเหมิ่ง ทำอย่างกับเจ้ากล้า?” เฟิงอู๋โยวสวนกลับ
ในขณะที่เถียงกันอยู่นั้น จวินมั่วหรันก็ตัดสินใจจับกู่หนานเฟิงโยนออกไปนอกหน้าต่าง
จากนั้นก็ปิดประตูใส่กลอนอย่างมิดชิด เดินตรงไปที่เตียงและฉีกเสื้อผ้าด้านหลังของเฟิงอู๋โยวออกอย่างระมัดระวัง
เฟิงอู๋โยวกระวนกระวายใจเป็นที่สุด แต่จวินมั่วหรันเป็นพวกแยกความแตกต่างระหว่างชายกับหญิงไม่ค่อยออกเท่าไร ดังนั้นแค่แผ่นหลังคงไม่ได้เผยพิรุธอะไรให้เข้าเห็น เพียงแต่สายตาที่จ้องมองแผ่นหลังของนางช่างทำเอาหัวใจนางเต้นเร็วขึ้นและแรงขึ้นจนแทบจะเป็นลม
แคว่ก!
เสียงผ้าขาดดังขึ้น เฟิงอู๋โยวเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันที
ทันใดนั้น ผิวเรียบเนียนขาวสะอาดดุจหิมะก็เผยออกมาสู่สายตาของจวินมั่วหรัน
ดวงตาสีดำของเขาเลื่อนลงไปมองเอวเล็กบางแสนเย้ายวนของนาง อยู่ๆ ก็คิดขึ้นมาในใจว่าผู้ชายที่ไหนมีเอวที่เล็กคอดมีเสน่ห์ได้เช่นนี้!
“ท่านใต้เท้า ท่านกำลังดูอะไรอยู่”
เฟิงอู๋โยวกำหมัดใต้ผ้าห่ม อยู่ๆ ก็กลัวว่าเขาจะยับยั้งความปรารถนาในใจตัวเองไม่ได้
จวินมั่วหรันพยายามเรียกสติกลับคืนมาอีกครั้ง ปลายนิ้วมือแตะรอยช้ำขนาดใหญ่บนหลังของนางอย่างเบามือ “ไม่เป็นไร มันเป็นแค่บาดแผลนิดหน่อย แต่ว่าเจ้าจงอย่าได้อดอาหาร หรือคิดเรื่องลดน้ำหนักอีก จงกินตามใจปากที่เจ้าอยากกินเถิด”
แค่บาดเจ็บ?
เฟิงอู๋โยวสงสัยว่าจวินมั่วหรันกำลังแกล้งนางอยู่อย่างนั้นหรือ
ชาติที่แล้วนางเป็นถึงหัวหน้าทหารรับจ้างและยังควบตำแหน่งเป็นแพทย์มาเป็นเวลานาน
ถ้ามีคนไข้ที่เข้ารับเข้ามารักษาอาการบาดเจ็บสาหัสหรือโรคที่รักษาไม่หาย นางมักจะใช้คำพูดแบบเดียวกับจวินมั่วหรัน พูดในตอนนี้
ไหนจะวิธีที่เขายอมพูดถึงรายละเอียดใดๆ ของบาดแผล แต่กลับพูดกับคนไข้อย่างเห็นอกเห็นใจทำนองว่า “ไม่เป็นไร ไม่ใช่เรื่องใหญ่ หลังจากนี้จะกินอะไรก็กินตามใจอยากเถิด” วิธีคิดวิธีพูดแบบนี้มันช่างเหมือนนางไม่มีผิด
แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้เฟิงอู๋โยวจะคิดมากเกินไปจริงๆ
จวินมั่วหรันบอกให้นางกินเยอะๆ ก็เพราะว่ารูปร่างของเฟิงอู๋โยวบางเกินไป
“ท่านใต้เท้า บอกกระหม่อมมาตามตรง บาดแผลของกระหม่อมมันดูแย่ขนาดนั้นเชียวหรือ” เฟิงอู๋โยวกลั้นใจถาม
เพิ่งกลับมาใช้ชีวิตเพียงหนึ่งเดือนกว่าๆ แต่นางกำลังจะถูกราชาแห่งยมโลกพาตัวกลับไปอีกครั้งแล้วหรือ!
น่าเสียดายที่นางยังไม่ได้บรรลุเป้าหมายใหญ่ในชีวิต
“ไร้สาระ”
จวินมั่วหรันทายาอย่างเงอะงะลงบนรอยฟกช้ำ “ถ้าเป่ยหลีหลงถิงออกแรงมากกว่านี้ หลังของเจ้าจะต้องแหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างแน่นอน”
“ท่านใต้เท้า กระหม่อมจะรอดใช่หรือไม่ ไฉนกระหม่อมถึงรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว และเริ่มปวดท้องเหมือนเป็นตะคริว”
เฟิงอู๋โยวพยายามยกมือขึ้นกำเสื้อคลุมของจวินมั่วหรันเบาๆ
“ปวดท้องเหมือนจุกเสียดหรือเปล่า”
เมื่อจวินมั่วหรันพูดจบ เขาก็รีบคว้านางหันกลับมาอย่างรวดเร็วชนิดที่นางไม่ทันตั้งตัว
[1]หลังคารั่ว ในเรือนย่อมเจิ่งนอง หมายถึงเคราะห์ซ้ำกรรมซัด