ตอนที่ 229 เป็นโจรครั้งแรก / ตอนที่ 230 ขายหน้า
ตอนที่ 229 เป็นโจรครั้งแรก
แม้ว่าจวินมั่วหรันจะอยากลิ้มลองเรือนร่างของนางมาเพียงใด แต่เขาก็ไม่คิดจะไปถึงขั้นนั้นในเวลาแบบนี้
หลังจากที่หนานกู่เฟิงออกไป จวินมั่วหรันก็วางนางไว้บนเตียงอย่างระมัดระวัง และปล่อยให้นางพิงแขนของเขา มือข้างหนึ่งของเขาวางทาบลงบนท้องเย็นๆ ของนางเบาๆ ก่อนโคจรกำลังภายในเพื่อถ่ายโอนพลังปราณไปที่หน้าท้องของนาง
ตราบใดที่เขาหลับตา ในห้วงสมองของเขากลับเต็มไปด้วยภาพของนาง
ยังจำได้ว่านางก้าวขึ้นไปบนเวทีและทำการแสดงอันตื่นตา
ยังจำได้ว่าตอนที่นางเมาจนเผลอลวนลามและกระซิบชื่นชมรูปร่างของเขาด้วยน้ำเสียงไพเราะ
ฉันยังจำได้ว่านางใช้หมึกวาดกล้ามหน้าท้องเป็นร้อยมัดและพูดโอ้อวดว่าจะเปรียบเทียบขนาดกับเขา
เห้อ…
ไม่รู้จริงๆ ว่านางไปเอาความกล้าที่ไหนมาโม้เกี่ยวกับสิ่งที่นางไม่มีด้วยซ้ำ จนทำให้ใครๆ ก็พากันอิจฉานาง
แต่เมื่อเขานึกถึงสภาพน้ำตาคลอของนางในเหตุการณ์ที่ศาลว่าการและท่าทางดิ้นทุรนทุรายเมื่อเขาโยนนางที่กลัวน้ำลงไปในถังสุรา
ความรู้สึกผิดก็ครอบงำเขาในทันที
“เฟิงอู๋โยว ข้าคนนี้จะชดใช้หนี้ที่ข้าทำกับเจ้าเยี่ยงไรดี”
ตอนนี้จวินมั่วหรันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเผชิญหน้ากับนางอย่างไร
เมื่อเทียบกับเฟิงจือหลิน เป่ยถางหลงถิง หรือไป๋หลี่เหอเจ๋อ อันที่จริงเขาก็ดูเหมือนจะไม่ต่างจากคนพวกนี้เท่าไร
เฟิงอู๋โยวรู้สึกฝ่ามือที่กว้างและอบอุ่นทาบอยู่บนหน้าท้องของนาง ความเจ็บปวดพลันเริ่มบรรเทาลงอย่างมาก
นางยกมือขึ้นโอบรอบเอวของจวินมั่วหรันและกระซิบขึ้น “น้ำป่าไหลหลาก”
“…”
จวินมั่วหรันแน่นิ่งไปครู่หนึ่ง แต่แล้วเข้าใจว่าเฟิงอู๋โยวหมายถึงอะไรเมื่อเขาได้กลิ่นคาวเลือดที่แรงขึ้นเรื่อยๆ
เขาลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากห่มผ้าให้เฟิงอู๋โยวเสร็จ เขาก็เข้าไปในห้องชิงหลวนทันที เพื่อมองหาบางของใช้สำหรับประจำเดือน
แต่ทันทีที่เข้าก้าวเข้ามาในห้องนอนของชิงหลวน จุยเฟิงก็เดินเข้ามาอย่างเงียบๆ
ความรู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นหัวขโมยจับขึ้นในใจของจวินมั่วหรันทันที ครั้นแล้วจะกระโดดไปซ่อนตัวอยู่ด้านหลังผนังกั้นกันลม
จุยเฟิงไม่ได้สังเกตเห็นร่องรอยของจวินมั่วหรันแต่อย่างใด เมื่อเขาเห็นว่าไม่ใครอยู่รอบๆ เขาก็หยิบชุดชั้นในที่ชิงหลวนสวมใส่ขึ้นมาสูดกลิ่นเบาๆ “โอ้ นี่คือกลิ่นหอมอ่อนๆ อย่างหญิงสาวสินะ”
เมื่อเร็วๆ นี้ ท่าทางของเขาดูเหมือนไม่ค่อยสนใจผู้หญิง ทำให้เขารู้สึกกังวลกับสุขภาพทางเพศของตัวเองขึ้นมาและกลัวว่าจะมีบางอย่างผิดปกติกับเขา
โชคดีที่เขายังมีความรู้สึกบางอย่างต่อชิงหลวน
เขาไม่เพียงแต่มีความรู้สึกต่อนางเท่านั้น เขายังรู้สึกต่อเสื้อผ้าที่นางสวมใส่อีกด้วย
มุมปากของจวินมั่วหรันถึงกับเกร็งกระตุก เขาไม่คิดว่าจุยเฟิงจะมีด้านนี้กับเขาด้วย
ในขณะนี้ ชิงหลวนที่กอดอาหวงพลางร้องไห้สะอื้นก็ก้าวเข้าไปในห้องทันที “อาหวง ช่วงนี้ท่านชายไม่สบาย เจ้าอย่าได้รบกวนเขา เข้าใจหรือไม่”
“ง่อว…”
อาหวงขานรับราวกับมนุษย์ มันรู้ว่าสุขภาพของเฟิงอู๋โยวไม่ค่อยดีเท่าไร มันก้มหัวอยู่ในอ้อมแขนของชิงหลวนอย่างเศร้าสร้อย ช่วงนี้มันไม่คิดจะกลั่นแกล้งทู่ทู่ที่อยู่ห้องถัดไปเลยแม้แต่น้อย
จุยเฟิงไม่คิดว่าชิงหลวนจะกลับเข้ามาในเวลานี้ ครั้นแล้วจึงรีบกระโดดไปซ่อนด้านหลังผนังกันลม
ทว่าเขากลับเจอกับจวินมั่วหรันที่ซ่อนตัวอยู่ก่อนหน้านี้เข้าให้
สายตาของพวกเขาประสานกัน และทั้งคู่ก็หน้าแดงขึ้นมา แววความลำบากใจฉายขึ้นเด่นชัด
“ท่านใต้เท้ามาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไร”
“หลงทาง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น จุยเฟิงก็ยิ้มขึ้นมาอย่างเคอะเขิน “หรือว่าเป็นเพราะกลิ่นยาในห้องโถงเรือนแพทย์ฉุนเกินไปหรือไม่ กระหม่อมก็เลยก้าวเท้าหลงทางมาที่นี่ ไม่รู้ว่านี่เป็นห้องนอนของใครกัน”
จวินมั่วหรันรู้ว่าจุยเฟิงเป็นคนอย่างว่าเช่นกัน แต่เขาชอบรักษาภาพลักษณ์ตัวเอง และจวินมั่วหรันก็ไม่เคยสนใจเรื่องส่วนตัวของจุยเฟิงเท่าไรนัก
แต่จุยเฟิงกล้าทำเช่นนี้กับคนรอบๆ ของเฟิงอู๋โยวดังนั้นเขาจึงต้องเตือนเขาสักรอบ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ จวินมั่วหรันก็พูดด้วยเสียงขรึม “ถ้าเจ้ากล้าแตะต้องข้าวของของชิงหลวนอีก เจ้าได้เจอดีแน่”
“หะ?”
จุยเฟิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จวินมั่วหรันไม่เคยสนใจเรื่องเล็กน้อยของชิงหลวนมาก่อน ทำไมวันนี้อยู่ๆ เกิดสนใจขึ้นมา
เขาคิดว่าจวินมั่วหรันเริ่มสนใจชิงหลวนขึ้นมาแล้ว แต่เขาไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร
อย่างที่รู้กัน นิสัยของจวินมั่วหรันเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว
ในตอนแรก เขาเพียงต้องการมอบความรักทั้งหมดให้กับเฟิงอู๋โยวเท่านั้น
แต่หลังจากพบว่านางเป็นผู้หญิง เขาหวังว่าทุกคนจะปฏิบัติต่อนางอย่างอ่อนโยนไม่ต่างอะไรไปจากเขา
ชิงหลวนคือคนที่เฟิงอู๋โยวไว้วางใจมากที่สุด ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถทนเห็นจุยเฟิงที่ไม่อาจสงบอารมณ์ของตัวเองลงได้ จนอาจเผลอทำร้ายชิงหลวนเข้า
ในเวลานี้ อยู่ๆ ชิงหลวนก็เปิดผนังกันลมเข้ามา สายตาจ้องไปที่จุยเฟิงและจวินมั่วหรันที่ต่างคนต่างถือกางเกงชั้นในของนางอยู่ “ไฉนพวกท่านทั้งสองถึงมีชุดชั้นในของชิงหลวน ของแบบนี้เอาไปก็ไม่สามารถขับไล่วิญญาณร้ายได้หรอก”
ตอนที่ 230 ขายหน้า
จุยเฟิงเกาหัวอย่างเคอะเขินและได้แต่ยิ้มแห้งๆ
เมื่อเห็นเช่นนั้น สีหน้าชิงหลวนก็มืดมนลงทันที แววโกรธฉายชัดในดวงตาที่เคลือบน้ำตาของนาง “ท่านชายเคยบอกว่าผู้ชายที่ขโมยชุดชั้นในสต รีมักมีอารมณ์ทางเพศสูงเกินปกติ หรือไม่ก็เป็นพวกลามก ดังนั้นการที่พวกท่านทั้งสองมาอยู่ที่นี่ตอนนี้ พวกท่านมาเพื่อขโมยชุดชั้นในไปปัดเป่าวิญญาณชั่วร้ายหรือสนองตัณหาของตัวเองกันแน่”
จุยเฟิงไม่เคยเห็นท่าทางดุร้ายในร่างที่บอบบางของชิงหลวนมาก่อน เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่ง ก่อนพูดตะกุกตะกัก “ปัด…ปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย”
“ในเมื่อเอาไปปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย ไฉนถึงไม่เอามันแขวนไว้เหนือศีรษะล่ะ”
ชิงหลวนคิดว่าการกระทำของจุยเฟิงกับจวินมั่วหรันแปลกๆ ชอบกล ครั้นแล้วจึงอาศัยจังหวะนี้กลั่นแกล้งเล่นตลกกับพวกเขา
ถ้าเป็นเวลาปกติ จวินมั่วหรันคงหักคอชิงหลวนไปนานแล้ว
แต่ตอนนี้ เป็นเพราะความรู้สึกที่เขามีต่อเฟิงอู๋โยวนั้นลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม ทำให้เขาเอ็นดูผู้คนที่ดีต่อเฟิงอู๋โยวอย่างชิงหลวนมากขึ้นตามไปด้วย
ตอนนี้เขาไม่ได้มองชิงหลวนเป็นคู่แข่งในเรื่องความรักอีกต่อไป
นอกจากนี้ เขายังรู้สึกขอบคุณชิงหลวนที่คอยเฝ้าติดตามรับใช้และดูแลอยู่เป็นเพื่อนเฟิงอู๋โยวช่วงหลายปีที่ผ่านมา
จุยเฟิงเห็นว่าชิงหลวนนับวันเริ่มไม่เกรงใจขึ้นเรื่อยๆ นางไปเอาความกล้ามาจากไหนถึงได้พูดแบบนี้ต่อหน้าจวินมั่วหรัน จึงพยายามขยิบตาให้นางอย่างลนลาน กลัวว่าหากนางไม่ทันระวังทำให้จวินมั่วหรันขุ่นเคือง
ชิงหลวนยกมือขึ้นแล้วแตะดวงตาของจุยเฟิงเบาๆ “ท่านเจ็บตาตั้งแต่เมื่อไหร่”
จวินมั่วหรันไม่คิดจะเสียเวลากับพวกเขาไปมากกว่านี้ เขาต้องการถามชิงหลวนว่าม้าขี่ม้าบ้างหรือไม่ แต่เขากลับไม่กล้าพูดคำว่า ‘ผ้าขี่ม้า’ ออกมา
หลังจากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว เขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากเดินออกจากเรือนแพทย์พยากรณ์อย่างลำบากและอึดอัดใจ
ชิงหลวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นางมองแผ่นหลังของจวินมั่วหรันอย่างใจเย็น ก่อนพึมพำกับตัวเอง “ไฉนวันนี้เซ่อเจิ้งหวางถึงดูแปลกๆ ไป”
จุยเฟิงยังจ้องมองแผ่นหลังของจวินมั่วหรันอยู่เป็นเวลานานเช่นกัน แต่เขาไม่เห็นความผิดปกติใดๆ “มีอะไรหรือ”
“ก่อนหน้านี้ ชิงหลวนมักจะรู้สึกว่ามีแววตาอาฆาตในดวงตาของเซ่อเจิ้งหวางอยู่ตลอด แต่วันนี้ ตอนที่ดวงตาของเซ่อเจิ้งหวางมองมาทางข้ากลับดูอ่อนโยนขึ้นมาก แววปรปักษ์ในดวงตาก็หายไป ราวกับว่าเป็นความรู้สึกขอบคุณ” ชิงหลวนพูดขึ้นอย่างจริงจัง
จุยเฟิงก็พูดขึ้นอย่างไม่คิดอะไร “ข้าไม่คิดเช่นนั้น โดยปกติแล้ว ดวงตาของท่านใต้เท้าจะเจือแววเสน่หาเมื่อมองแม่ทัพเฟิงเท่านั้น แต่สายตาที่มองคนอื่นของเขามักเจือแววปกปักษ์อยู่เสมอ”
“ก็จริง”
ชิงหลวนพยักหน้าเห็นด้วย เดิมทีนางคิดจะทำแกงตุ๋นบำรุงร่างกายให้เฟิงอู๋โยว แต่ดวงตาเจือแววอ่อนโยนของจวินมั่วหรันกลับทำเอานางลืมไปเสียสนิท
เดิมทีจวินมั่วหรันจะไปที่สำนักหนึ่งอนันต์เพื่อถามอู๋ฉิง
แต่คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจใส่หน้ากากจิ้งจอกสีเงินปกปิดใบหน้าทั้งหมด และมุ่งหน้าไปหาซื้อผ้าขี่ม้าให้เฟิงอู๋โยว
แต่ทันทีที่เขาออกไปก็ตระหนักได้ถึงปัญหาใหญ่เรื่องหนึ่ง
จะหาซื้อผ้าขี่ม้าได้ที่ไหน
จวินมั่วหรันยืนทื่ออยู่ใต้ร่มไม้ สายตาสังเกตผู้คนที่เดินผ่านไปมาอย่างระมัดระวัง
เขาครุ่นคิดอยู่ในใจ…บางทีผู้ชายที่มีครอบครัวแล้วน่าจะเจอปัญหาเดียวกับเขาในตอนนี้ บางทีพวกเขาอาจจะรู้ว่ามีผ้าขี่ม้าขายอยู่ที่ไหน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาจึงรีบพุ่งเข้าหาชายวัยกลางคนและถามด้วยเสียงทุ้ม “หาซื้อผ้าขี่ม้าได้ที่ไหน”
ชายวัยกลางคนทำหน้างง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสับสน เขามองจวินมั่วหรันอยู่พักหนึ่ง เมื่อเห็นรูปร่างสูงใหญ่ภายใต้หน้ากากปิดหน้า อยู่ๆ ก็สบถออกมายกใหญ่ “ไอ้โรคจิต! ของสกปรกแบบนี้เก็บไปให้โคตรเง่าของแกเองเถิด!”
“…”
จวินมั่วหรันโกรธมาก เขารู้สึกว่าชายวัยกลางคนปฏิบัติต่อเขาเหมือนคนโง่ ไม่ใช่แค่คำพูดและยังเป็นสายตาที่ดูถูกเหยียดหยามเขาอีก
ครู่หนึ่ง เส้นเลือดก็ปูดโปนขึ้นมาบนหน้าผากของเขา มือกำหมัดแน่น ก่อนเหวี่ยงซัดเข้าหน้าชายวัยกลางคนอย่างจัง
ชายวัยกลางคนได้แต่ร้องขอความเมตตาซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ได้โปรดไว้ชีวิตข้าเถิด! ร้านที่ขายสีเครื่องหอมประทินผิวข้างน่าจะมีผ้าขี่ม้าขายอยู่”
จวินมั่วหรันปล่อยมือออกและมุ่งหน้าไปตามทิศทางที่ชายวัยกลางคนชี้
แต่เมื่อมาถึงร้านดังกล่าว เขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร
ภายในร้าน เถ้าแก่สาวเจ้าของร้านนอนเอนกายอยู่บนเก้าอี้พิง นางมองจวินมั่วหรันด้วยรอยยิ้มและถามอย่างเป็นมิตร “ท่านชาย ต้องการซื้ออะไรเจ้าคะ”
จวินมั่วหรันกัดฟันพูดขึ้นอย่างเขินอาย “ผู้หญิงที่บ้านข้าไม่สบาย ข้าจึงมาที่นี่เพื่อซื้อ…ผ้าชนิดพิเศษ”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
เจ้าของร้านยิ้มไม่หุบ “ทุกวันนี้มันหายากจริงๆ นะเจ้าคะ ผู้ชายที่เอาใจใส่ภรรยาตัวเองเหมือนท่านชาย แต่ก่อนหน้านี้หนึ่งเดือน ชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งบุ่มบ่ามเข้ามาและโวยวายว่าไข่แตกอะไรสักอย่าง อ้างว่ามีเพียงผ้าขี่ม้าเท่านั้นที่สามารถห้ามเลือดตรงนั้นได้ แต่ข้าคิดว่าเขาต้องซื้อให้ภรรยาของเขา เพียงแต่เขาอายเกินกว่าจะบอกความจริง”
มุมปากจวินมั่วหรันเกร็งกระตุกทันที
คนที่พูดจาแบบนี้ได้ ไม่มีใครอื่นนอกจากเฟิงอู๋โยวแน่นอน
ไม่นานนัก เจ้าของร้านก็เดินออกมาจากหลังม่านพร้อมกับห่อผ้าขี่ม้าสำหรับประจำเดือน “ท่านชาย ขอโทษที่ให้รอนานนะเจ้าคะ”
ริมฝีปากบางของจวินมั่วหรันเม้มแน่น เขารู้สึกถึงสายตาแปลกๆ ที่จ้องมองมาเป็นระยะๆ ทำเอาใบหน้าของเขาร้อนผ่าวขึ้นมาเพราะเขินอาย
หลังจากเจ้าของร้านวางผ้าขี่ม้าแบบต่างๆ ลงต่อหน้าจวินมั่วหรันก็เริ่มอธิบายให้เขาฟังอย่างละเอียด “สีผ้าสีทองนี้ค่อนข้างเป็นมิตรกับจุดซ่อนเร้นของผู้หญิง ซึมซับดีแม้วันมามาก ส่วนสีชมพูนี้ระบายอากาศได้ดีกว่าอันนั้น ใส่แล้วดูมีเสน่ห์ แล้วก็ตัวนี้…”
จวินมั่วหรันไม่รู้เกี่ยวกับสิ่งนี้เลยแม้แต่น้อย
ไม่ว่าเจ้าของร้านจะอธิบายมากเพียงใด ก็เหมือนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
เมื่อเขาเห็นว่าเจ้าของร้านกำลังจะสอนวิธีสวมใส่ เขาก็โยนเงินตำลึงทองออกมาและรีบคว้าเอาห่อผ้าขี่ม้าทั้งหมดจากไปอย่างรวดเร็ว
แต่ก่อนที่เขาจะก้าวพ้นขอบประตูร้าน องค์หญิงจี้มั่วจือหยวนแห่งแคว้นตงหลินกับองค์หญิงเย่เชี่ยวแห่งแคว้นซีเยว่ได้เดินเข้ามาที่ร้านแห่งนี้ด้วยกัน
“น้องเย่เชี่ยว ข้าได้ยินมาว่าเจ้ามีคนที่ชอบแล้ว”
“อืม”
เย่เชี่ยวพยักหน้าก่อนเอ่ย “น่าเสียดายที่หัวใจของเขามีเจ้าของแล้ว”
จี้มั่วจื่อหยวนตบหลังมือของเย่เชี่ยวด้วยความเข้าใจ ก่อนพูดปลุกกำลังใจของเย่เชี่ยวขึ้นมา “ไฉนเจ้าไม่ลองสู้เพื่อคนที่ชอบอีกสักครั้งดู งานเลี้ยงบัณฑิตห้าแคว้นใกล้เข้ามาแล้ว และครั้งนี้ทางแคว้นตงหลินเองก็เป็นเจ้าภาพ ดังนั้นในปีนี้จึงพิเศษกว่าปีไหนๆ เพราะไม่ว่าจะเป็นสตรีชนชั้นสูง ชนชั้นสามัญชนทั่วไป หรือแม้แต่หญิงสาวจากหอนางโลมล้วนมีโอกาสแสดงมนต์เสน่ห์และความงามเฉพาะตนของตนบนเวทีงานเลี้ยงบัณฑิตห้าแคว้น”
“จริงหรือ”
เย่เชี่ยวดูกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที นางคว้าแขนของจี้มั่วจือหยวนและถามอย่างตื่นเต้น “เซ่อเจิ้งหวางจะเข้าร่วมงานเลี้ยงด้วยหรือไม่”
จี้มั่วจื่อหยวนพยักหน้า “โดยปกติก็เข้าร่วมตลอด”
“เยี่ยมมาก! ท่านพี่จื่อหยวน ข้าชื่อชอบเซ่อเจิ้งหวางเอามากๆ! ขอแค่มีโอกาสแต่งงานกับเขา ต่อให้เป็นนางบำเรอก็ยอม”
“คนที่เจ้าชอบคือเซ่อเจิ้งหวางกระนั้นหรือ” สีหน้าของจี้มั่วจื่อหยวนมืดมนลง ถ้านางรู้ว่าคนที่เย่เชี่ยวชื่นชอบคือจวินมั่วหรันตั้งแต่แรก นางไม่มีทางแนะนำเรื่องเวทีการแสดงเมื่อครู่นี้แน่นอน
น่าเสียดายที่สายน้ำย่อมไม่ไหลย้อนกลับ
จวินมั่วหรันชำเลืองมองเย่เชี่ยวอย่างไร้อารมณ์ใดๆ บนใบหน้าของเขา
เขาคิดในใจ หากเฟิงอู๋โยวมีสถานะและชีวิตเหมือนเย่เชี่ยว ชีวิตของเฟิงอู๋โยวคงจะดีไม่น้อย
ลืมมันไปเถิด สักวันหนึ่งเขาจะทำให้เฟิงอู๋โยวยอมแต่งงานกับตัวเองให้ได้ โดยที่ไม่ต้องสนใจเรื่องสถานะใดๆ ทั้งสิ้น
ขณะที่เขากำลังจะเลี่ยงการเผชิญหน้ากับ จี้มั่วจื่อหยวนและเย่เชี่ยวก็สังเกตเห็นจวินมั่วหรันเข้าให้ และที่สำคัญ พวกนางจำเขาได้ด้วย
“เซ่อเจิ้งหวางมาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไร”
ใบหน้าของเย่เชี่ยวแดงเรื่อขึ้นมาทันที เมื่อคิดว่าจวินมั่วหรันอาจได้ยินคำสารภาพของนางจากก้นบึ้งของหัวใจ นางก็รู้สึกทั้งดีใจและเสียใจปนกัน
จี้มั่วจื่อหยวนชำเลืองมองห่อผ้าที่จวินมั่วหรันถืออยู่ในมือ เมื่อเห็นว่ามีสีแดง เขียวและสีอื่นๆ อีกสองสามสีก็รู้สึกประหลาดใจเป็นพิเศษ “ท่านใต้เท้าซื้อผ้าขี่ม้าไปทำอะไรเจ้าคะ”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า”
จวินมั่วหรันพูดอย่างเย็นชา เขามองจี้มั่วจื่อหยวนอย่างไม่พอใจ ก่อนเดินออกไปพร้อมกับห่อผ้าขี่ม้าทันที
เย่เชี่ยวขยี้ตาและจ้องมองแผ่นหลังของจวินมั่วหรันอย่างไม่อยากเชื่อเป็นเวลานาน แต่ไม่นานก็ตั้งสติกลับมาได้ “เซ่อเจิ้งหวางมาซื้อผ้าขี่ม้าด้วยตัวเอง! หรือว่าบางส่วนบนตัวเองเขา…จะเหมือนกันกับของท่านพี่และข้า”
แม้ผู้คนที่แคว้นตงหลินจะค่อนข้างเปิดกว้าง แต่ผู้คนจากแคว้นซีเยว่นั้นเปิดกว้างในความคิดที่หลากหลายมากกว่า อีกทั้งนิสัยของเย่เชี่ยวเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมาโดยไม่ผ่านการกลั่นกรองอะไรมาก
จี้มั่วจื่อหยวนทนฟังสิ่งที่เย่เชี่ยวพูดถึงจวินมั่วหรันไม่ได้ ดังนั้นนางจึงกึ่งพูดกึ่งดุ “หยุดพูดไร้สาระ เซ่อเจิ้งหวางอาจซื้อผ้าขี่ม้าพวกนี้ไปให้จวินฝูน้องสาวของเขาก็เป็นได้”
“น่าอิจฉาจวินฝูจริงๆ”
ดวงตาของเย่เชี่ยวฉายแววอิจฉารำไร นางคิดว่าต่อให้ตัวเองไม่ได้แต่งงานกับจวินมั่วหรันก็ไม่เป็นไร ขอแค่จวินมั่วหรันมองนางว่าเป็นน้องสาวของเขาอีกคนก็คงไม่เลว