ตอนที่ 239 ทุบตี
ระหว่างทาง เฟิงอู๋โยวกำสาบเสื้อคลุมด้านหน้าของฟู่เย่เฉินแน่น ภายในใจเป็นกังวลสุดขีด
เพราะนางรู้จักนิสัยใจคอของจวินมั่วหรันเป็นอย่างดี
หากเขารู้ว่านางกับฟู่เย่เฉิน ‘สนิทสนม’ มาเกือบทั้งวัน เขาคงโกรธจนเลือดขึ้นหน้า
ดังนั้นเมื่อฟู่เย่เฉินมาส่งที่ประตูเรือนแพทย์พยากรณ์ นางจึงไล่เขากลับไปอย่างไร้ความปราณี “เรือนแพทย์พยากรณ์ปิดแล้ว ดังนั้นไม่สามารถให้อยู่พักแรมได้จริงๆ”
มุมปากฟู่เย่เฉินเกร็งกระตุก เขาคิดว่าเฟิงอู๋โยวกำลังข้ามแม่น้ำ ทำลายสะพานอยู่
เขาใช้วิชาตัวเบาและเหาะอย่างเร็วที่สุดเพื่อมาส่งนาง
แต่ทันทีที่กลับมาถึงเรือนแพทย์พยากรณ์อย่างปลอดภัย นางกลับไล่เขากลับราวกับไม่รู้จักกันมาก่อน
“เรือนแพทย์พยากรณ์หลังใหญ่ขนาดนี้ ค้างแรมอีกแค่คนเดียวจะเป็นอะไรไป”
“ฟู่เย่เฉิน เจ้าไม่คิดว่าความพยายามของตัวเองมันไร้ประโยชน์หรอกหรือ” เฟิงอู๋โยวลดเสียงพลางกัดฟันพูด
ฟู่เย่เฉินถูจมูกอย่างเคอะเขิน เขาอยากจะต่อปากต่อคำกับนางให้แพ้กันไปข้าง แต่เขาก็ไม่อยากบีบคั้นนาง หลังจากจนมุม ในที่สุดเขาก็เลือกที่จะประนีประนอม “ในเมื่ออู๋โยวไม่ต้องการเก็บข้าไว้ ข้าคงต้องกลับ แล้วข้าจะกลับมาพบเจ้าใหม่วันพรุ่งนี้ จำไว้ ผู้ชายก็เหมือนสายน้ำหลากห รือไม่ก็สัตว์ป่าดุร้าย ยิ่งเจ้าพยายามขวางกั้นมาเท่าไหร่ พวกมันก็ยิ่งพยศขับสู้มากเท่านั้น”
เสียงของเขายังไม่ทันสิ้นสุดลง เฟิงอู๋โยวก็หันกลับไปข้างใน จากนั้นก็พุ่งไปที่ด้านหน้าของประตูสีแดงสดราวกับกำลังสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวบางอย่างอยู่
เมื่อเห็นเช่นนี้ ฟู่เย่เฉินจึงดึงผ้าไหมคาดเอวออก แล้วแขวนไว้บนปิ่นปักผมหยกของนาง
“เจ้าจะทำอะไร” เฟิงอู๋โยวมองค้อนใส่ฟู่เย่เฉินทันที
“ไม่ได้ทำอะไร”
“ยังไม่รีบไปอีก”
“อู๋โยว จงระวัง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับจวินมั่วหรันเจ้าต้องรักษาอารมณ์ให้คงที่” ฟู่เย่เฉินเตือนเฟิงอู๋โยวอย่างไม่สบายใจ
น่าเสียดายที่เขาตามหลังจวินมั่วหรันอยู่หลายก้าว
ในฐานะผู้มาทีหลัง เขาต้องพยายามมากขึ้นเพื่อเอาชนะใจเฟิงอู๋โยว
หลังจากฟู่เย่เฉินก้าวออกไป เฟิงอู๋โยวก็รวบรวมความกล้าและผลักประตูเรือนแพทย์เข้าไปอย่างระมัดระวัง
ทันทีที่ก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา นางถึงกลับผงะตกใจเพราะเสียงตวาดราวกับสิงโตคำรามของจวินมั่วหรัน
“เฟิงอู๋โยว เจ้ากล้าดีมาก!”
จวินมั่วหรันตบโต๊ะด้วยความโกรธ ลุกขึ้นพรวดและเดินเข้ามาหานางทันที
เฟิงอู๋โยวน้ำลายแห้งผากก่อนเอ่ยเสียงแผ่ว “อย่าทำให้กระหม่อมตกใจได้หรือไม่”
จวินมั่วหรันยืนอยู่ข้างหน้าและเหล่ตามองนาง “เจ้าไปไหนมา”
“เดินเล่น”
“ข้าอนุญาตให้เจ้าออกไปหรือ” เขาดึงนางเข้ามาใกล้และพูดใส่หน้าทีละคำ
“ท่านใต้เท้าโปรดลดเสียงลงหน่อยได้หรือไม่ คนกำลังมองอยู่” เฟิงอู๋โยวพูดด้วยความลำบากใจ เพราะนางสัมผัสได้ถึงสายตาจากคนที่เดินผ่านไปมา
จวินมั่วหรันปล่อยมือออก ก่อนคว้าผ้าคาดเอวสีแดงฉานที่แขวนอยู่บนปิ่นปักผมหยกของเฟิงอู๋โยวมาดู ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็ร้อนฉ่าขึ้นมาเพราะความโกรธจัด “เฟิงอู๋โยว ยังมีหน้ามาบอกให้ข้าลดเสียงลงอีก ถ้าข้าไม่สั่งสอนเจ้าวันนี้ เกรงว่าพรุ่งนี้ศีรษะของข้าคงไม่ถูกเจ้าสวมหมวกเขียว[1]ไปแล้วหรือ”
เฟิงอู๋โยวเม้มริมฝีปาก เมื่อจินตนาการสภาพของจวินมั่วหรันตอนสวมหมวกเขียว นางก็อดขำคิกคักขึ้นมาไม่ได้
“เจ้ายังกล้าหัวเราะอีกหรือ อยากลองดีนักหรือ” จวินมั่วหรันระเบิดความโกรธออกมา จากนั้นก็ฉีกผ้าคาดเอวสีแดงจนละเอียด
“ท่านใต้เท้าช่วยขู่ข้าด้วยวิธีอื่นได้หรือไม่”
เฟิงอู๋โยวเริ่มกลัวจวินมั่วหรันขึ้นมาจริงๆ กลัวว่าเขาจะโกรธจนเผลอฉีกเสื้อผ้าของนางจนละเอียดเหมือนผ้าคาดเอวสีแดงเมื่อครู่
เมื่อเห็นเฟิงอู๋โยวร้องขอความเมตตา อยู่ๆ จวินมั่วหรันก็ตระหนักว่านางเป็นผู้หญิงที่ไม่ทนทานต่อการถูกทุบตี
เขาข่มความโกรธไว้ในอกก่อนคว้านางเข้ามากอด “นี่เป็นวิธีเดียวที่อ่อนโยนที่สุด มันสามารถบรรเทาความโกรธในใจของข้าได้ และมันจะไม่ทำให้เจ้าเจ็บปวด”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ชิงหลวนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งใจ “ไม่คาดคิดว่าเซ่อเจิ้งหวางจะมีด้านที่อ่อนโยนเช่นนี้”
จุยเฟิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ยิ้มอ่อน “ถ้าชิงหลวนชอบผู้ชายอ่อนโยน เจ้าก็น่าจะพิจารณาข้าด้วยนะ”
ชิงหลวนหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที นางรีบเดินกระทืบเท้าเข้าไปในห้องอย่างเขินระทวย
เฟิงอี้และหลิงเทียนฉีที่พักอยู่เรือนแพทย์พยากรณ์เห็นจวินมั่วหรันกอดเฟิงอู๋โยวต่อหน้าทุกคนแบบนี้ ในใจของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
เด็กรับใช้ในห้องโถงเรือนแพทย์ต่างก็จ้องมองภาพที่เห็นด้วยความนิ่งอึ้ง
พวกเขาคาดหวังอยากจวินมั่วหรันกระทำกับเฟิงอู๋โยวมากกว่านี้ ยิ่งบรรเลงเพลงรักได้ยิ่งดี
เฟิงอู๋โยวเอาแต่ส่ายหัว “ไม่! ท่านใต้เท้า ไหนท่านบอกว่าจะไม่มีวันล้ำเส้นไปมากกว่านี้”
“เจ้าสัญญากับข้าแล้วเหมือนกันว่าจะไม่ใกล้ชิดชายอื่น”
จวินมั่วหรันจับคางนางเชิดขึ้นเพื่อสบสายตาที่ร้อนแรงของเขา “เฟิงอู๋โยว ความอดทนของข้ามีจำกัด เมื่อมันหมดลง เจ้าก็รู้ว่าผลที่ตามมาจะเป็นเยี่ยงไร”
“ข้าแค่คุยกับฟู่เย่เฉินเพียงสองสามคำ ระหว่างพวกเราไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น”
“แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นขึ้นมา คิดว่าข้าจะปล่อยเขาไปง่ายๆ กระนั้นหรือ”
จวินมั่วหรันเอ่ยเสียงเรียบ เขายังคงจับคางของเฟิงอู๋โยวและพูดทีละคำ “ข้าอิจฉามาก เจ้าไม่ควรเข้าใกล้ผู้ชายคนอื่นมากเกินไป”
เฟิงอู๋โย ขมวดคิ้วเล็กน้อยและถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเช่นกัน “ท่านใต้เท้าดูออกหรือว่าระหว่างกระหม่อมกับฟู่เย่เฉินเป็นอะไรกัน”
“แน่นอน”
“ในเมื่อท่านรู้อยู่แล้ว ท่านยังขู่กระหม่อมให้กลัวอีก” เฟิงอู๋โยวโกรธจัด และทุบหน้าอกของจวินมั่วหรันไปหนึ่งที
“…”
จวินมั่วหรันไม่คิดว่าเฟิงอู๋โยวจะกล้าทุบตีเขา ทำเอาเขานิ่งอึ้งอยู่เป็นเวลานานกว่าจะตั้งสติกลับมาได้
“ทำให้ข้ากลัวมันสนุกมากนักหรือ”
เฟิงอู๋โยวโกรธมาก นางถลกแขนเสื้อขึ้นและเหวี่ยงหมัดใส่จวินมั่วหรันที่ยืนนิ่งอยู่ข้างหน้า “นี่แหนะ เจ้าหมาบ้า เจ้าไม่คิดว่าตัวเองทำเกินไปบ้างหรือกระไร มันมากเกินไปแล้ว ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าข้ากับฟู่เย่เฉินไม่ได้มีอะไร ไฉนท่านต้องขู่ให้ข้าตกใจด้วย ท่านทำข้ากลัวเจ้ามากจนแทบจะร้องไห้เลยนะ”
จวินมั่วหรันรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย ที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครกล้าทุบตีเขาแบบนี้มาก่อน
เดิมทีเขาอยากจะจับนางเหวี่ยงลงพื้น แต่เมื่อเห็นมือที่ทุบตีจนเริ่มแดงของนาง เขาจึงถอดใจ “ข้ายอมแล้ว พอได้หรือยัง”
[1]ถูกสวมหมวกเขียว หมายถึงถูกหลอก ตรงกับสำนวนไทยว่า ถูกสวมเขา