ตอนที่ 244 จี้มั่วจื่อหยวน
“ข้า…”
จี้มั่วอิ้นเหรินกำลังจะแสร้งทำเป็นลมเพื่อให้ผ่านตอนนี้ไป แต่จวินมั่วหรันกลับก้าวเข้ามาหาเขาก่อน
จวินมั่วหรันยื่นจดหมายลับมาด้านหน้าจี้มั่วอิ้นเหริน ก่อนพูดเสียงเรียบ “หลักฐานในช่วงสามปีที่ผ่านมาของเหล่าขุนนาง ชื่อเจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารที่ติดสินบน ล้วนอยู่ในจดหมายลับฉบับนี้ ฝ่าบาทรู้ใช่หรือไม่ว่าควรทำเยี่ยงไร”
ก่อนที่จี้มั่วอิ้นเหรินจะเอ่ยปากพูด เหล่าขุนนางชั้นสูงที่พากันคัดค้านต่อข้อเสนอที่ร้องขอให้เฟิงอู๋โยวรับตำแหน่งแม่ทัพผู้บัญชาการสูงสุดก็กลับคำพูดของตัวเองขึ้นมา
เริ่มด้วยซ่างชูจากกรมขุนนางที่รีบพูด “ถือว่าเฟิงอู๋โยวเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์หายาก ชนิดที่ว่ามีเพียงหนึ่งคนในรอบร้อยปี พอคิดๆ ดูแล้วกระหม่อมคิดว่าเขาก็คู่ควรกับตำแหน่งแม่ทัพผู้บัญชาการสูงสุด”
“สิ่งที่ซ่างชูจากกรมขุนนางพูดล้วนมีเหตุผล” ขุนนางหรงชินยิ้มเจื่อนๆ ด้วยสีหน้าอ่อนน้อมถ่อมตน
“เฟิงอู๋โยวได้สร้างคุณูปการมากมาย ดังนั้นจึงคู่ควรกับตำแหน่งดังกล่าว”
…
จี้มั่วอิ้นเหรินแอบยกนิ้วให้จวินมั่วหรัน
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จี้มั่วอิ้นเหรินก็ปั้นสีหน้าจริงจังและพูดขึ้นเสียงขรึม “ในเมื่อทุกคนไม่มีข้อคัดค้าน ดังนั้นเรื่องนี้ก็เป็นไปตามนี้แล้วกัน”
เหล่าขุนนางต่างพากันกล่าวชื่นชม “ฮ่องเต้จงเจริญ”
แบบนี้สามารถเรียกว่า ‘หลังพิงต้นไม้ใหญ่อาศัยความร่มเย็น[1]’ ได้หรือไม่
เฟิงอู๋โยวรู้สึกหมดคำพูด เจ้าไม่คิดไม่ฝันว่าสถานะทางสังคมของเจ้าจะได้มาอย่างราบรื่นเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม เจ้ามีความสามารถด้านการปรับตัวสูงมาก
ในชั่วพริบตา เจ้ายิ้มทักทายเหล่าขุนนางและเจ้าหน้าที่รอบๆ “ตอนนี้ พวกเราทุกคนเป็นเพื่อนร่วมงานกันแล้ว หวังว่าพวกเราจะมีโอกาสดื่มด้วยกันในอนาคต”
“ขอแสดงความยินดี แม่ทัพเฟิงด้วย”
เฟิงอู๋โยวยิ้มอย่างมีความสุข “การที่แคว้นตงหลินมอบตำแหน่งแม่ทัพผู้บัญชาการสูงสุดให้ข้าเช่นนี้ นับว่าเป็นบุญของทุกคนในแคว้นจริงๆ…นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีๆ สำหรับแคว้นตงหลินเสียจริง”
จี้มั่วอิ้นเหรินขมวดคิ้วพลางบ่นพึมพำ “ไฉนแม่ทัพเฟิงถึงหนังหน้าหนาเช่นนี้”
จวินมั่วหรันตอบอย่างเฉยเมยว่า “แต่ข้ากลับไม่รู้สึกเช่นนั้น”
ในสายตาของเขา ผิวของเฟิงอู๋โยวนั้นบางราวกับปีกของจั๊กจั่น และผิวของเจ้าก็แทรกไปด้วยชั้นไขมันนุ่มนิ่ม มันช่างเย้ายวนใจและน่าดึงดูดยามได้มองยิ่งนัก
จี้มั่วอิ้นเหรินส่ายหัวอย่างหมดทางสู้ แต่ก็อย่างที่เฟิงอู๋โยวพูดจริงๆ เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องน่ายินดี และทั้งหมดทั้งมวลต้องยกให้จวินมั่วหรันที่สามารถจัดการกับข้อคัดค้านของเจ้าหน้าที่พลเรือนและขุนนางชั้นสูงได้อย่างอยู่หมัดในคราวเดียว
นอกจากนี้ การได้เห็นเฟิงอู๋โยวในการว่าราชกิจทุกครั้ง มันก็มากพอที่จะเป็นให้เขามีแรงจูงใจอยากตื่นแต่เช้ามาว่าราชกิจ
ฟู่เย่เฉินเดินไปที่ด้านข้าง เฟิงอู๋โยวก่อนกระซิบข้างหูของเจ้า “แม่ทัพเฟิงอยากดื่มอะไรสักแก้วสองแก้วหรือไม่ เดี๋ยวข้าเลี้ยงเอง”
ขณะที่เฟิงอู๋โยวกำลังจะปฏิเสธ จวินมั่วหรันได้เข้ามารวบเอวเจ้าจากด้านหลัง แล้วพาก้าวออกจากท้องพระโรงวังหลวง ราวกับว่าไม่มีใครอยู่ที่นี่ก็ไม่ปาน
เขาไม่สนใจเสียงซุบซิบนิททาข้างหลังแม้แต่น้อย
ซึ่งโดยปกติก็ก็ไม่สนใจกับเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว
เขาหรี่ตาลงอย่างกะทันหัน ในดวงตาผุดแววไม่พอใจ “เเฟิงอู๋โยว เจ้ากล้าดีเยี่ยงไรถึงขยิบตาให้ฟู่เย่เฉิน”
“ท่านใต้เท้า กระหม่อมได้เป็นแม่ทัพทั้งที ไฉนท่านจึงไม่ไว้หน้ากระหม่อมบ้าง” เฟิงอู๋โยวพึมพำอย่างไม่พอใจเช่นกัน
จวินมั่วหรันเอ่ยเสียงเย็นชา “เจ้าคิดจะข้ามแม่น้ำ ทำลายสะพานกระนั้นหรือ! ไหนลองบอกข้ามาว่าเจ้าวางแผนที่จะตอบแทนข้าเยี่ยงไร”
“เพียงคำขอบใจจากใจจริงก็เหลือเฟือ”
จวินมั่วหรันบีบเอวของเขาอย่างไม่พอใจ “เจ้ามีสองทางเลือก จงเลือกเอง ข้อหนึ่ง จงตอบแทนด้วยร่างกายของเจ้า ข้อสอง จากนี้ไป เจ้าจงคอยปรนนิบัติข้ายามอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า”
“ท่านใต้เท้าปรารถนาให้กระหม่อมปรนนิบัติขนาดนั้นเชียวหรือ”
“ใช่”
“ก็ได้ แต่บอกไว้ก่อน กระหม่อมจะไม่มอบร่างกายให้ท่านเด็ดขาด”
“แล้วถ้าข้ามอบให้เจ้าล่ะ”“ จวินมั่วหรันยิ้มอย่างนึกสนุก เหตุผลที่เขายืนกรานให้เจ้ารับใช้เขาอย่างใกล้ชิดก็เพราะให้เจ้าได้คุ้นเคยกับร่างกายของเขา
หลังจากที่เจ้าคุ้นเคยแล้ว ก็คงจะไม่ปฏิเสธหัวแข็งเท่านี้
“เซ่อเจิ้งหวาง ข้าขอพูดคุยด้วยหน่อยได้หรือไม่”
ทันใดนั้น จี้มั่วจื่อหยวนก็เดินเข้ามาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ความสวยงามอย่างเป็นธรรมชาติของเจ้านั้นยากที่จะลืมเลือน
เดิมทีเฟิงอู๋โยวคิดว่าจวินมั่วหรันจะปฏิเสธจี้มั่วจื่อหยวนทันที แต่ไม่คิดว่าเขาทิ้งเจ้าไว้และเดินไปที่สวนจักรพรรดิพร้อมกับจี้มั่วจื่อหยวน
ก่อนจากไป จวินมั่วหรันหันกลับมากำชับกับจี้มั่วจื่อเฉินที่ตามมา “ไปส่งเขาที่แพทย์พยากรณ์ด้วย และอย่าปล่อยให้เขาดื่มเด็ดขาด”
เฟิงอู๋โยวไม่พอใจมาก เจ้าเอียงศีรษะไปถามจี้มั่วจื่อเฉิน “นางคือใคร”
จี้มั่วจื่อเฉินตอบกลับ “องค์หญิงคนโตนามว่าจี้มั่วจื่อหยวน”
“นางเป็นพี่สาวโตของเสี่ยวอิ้นอิ้นกระนั้นหรือ”
จี้มั่วจื่อเฉินพยักหน้าก่อนพูดเสริม “สำหรับอาหรันแล้ว จื่อหยวนก็เป็นอีกคนที่ค่อนข้างพิเศษ”
“พิเศษอย่างไร”
“จื่อหยวนกับอาหรันเป็นคู่รักกันในวัยเด็ก แต่น่าเสียดาย หลังจากผู้นำตระกูลจวินสิ้นชีวิตลง อาหรันก็ไม่สนใจเรื่องแต่งงานมากนักและเพิกเฉยต่อคนรักในวัยเด็กของเขา มีเพียงจื่อหยวนที่ยังคงเฝ้ารอเขามาตลอดหลายปีที่ผ่านมา”
“บุปผาโปรยร่วงด้วยมีใจ สายนทีไหลผ่านไร้ไมตรี[2]?”
จี้มั่วจื่อเฉินลดเสียงของเขาลง “อาหรันมีภาระมากมายบนบ่า บางทีเขาอาจกลัวว่าศัตรูจะโจมตีจี้มั่วจื่อหยวนก็เป็นได้ ดังนั้นเขาจึงจงใจทำตัวเหินห่างจากนาง เจ้ารู้หรือว่ามีคนนับไม่ถ้วนที่ต้องการเอาชีวิตของเขา”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฟิงอู๋โยวก็แผ่รังสีเยือกเย็นออกมาทันที
สิ่งที่จี้มั่วจื่อเฉินพูดไม่ใช่เรื่องไร้เหตุผล บางทีจวินมั่วหรันอาจทำตัวห่างเหินเพื่อปกป้องจี้มั่วจื่อหยวนอยู่ก็เป็นได้
แต่ในทำนองเดียว จวินมั่วหรันคิดอย่างไรกับตัวเจ้ากันแน่
ในฐานะแพะรับบาปของจี้มั่วจื่อหยวน?
เมื่อเห็นสีหน้าของเฟิงอู๋โยวมืดมนลง จี้มั่วจื่อเฉินถึงถามอย่างกังวล “อู๋โยว มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า”
“ไม่มี”
แม้ว่าเฟิงอู๋โยวจะรู้สึกไม่ค่อยดีกับสิ่งที่ได้ยิน แต่เขาก็ยังไม่ปักใจเชื่อเรื่องของจวินมั่วหรันที่ออกมาจากปากจี้มั่วจื่อเฉิน
เขาอยากรู้ว่าจี้มั่วจื่อหยวนมาหาเขาเรื่องอะไร ขณะกำลังจะตามไปข้างหลังเพื่อหาคำตอบ แต่กลับถูกไป่หลี่เหอเจ๋อเข้ามาขวางไว้
จี้มั่วจื่อเฉินที่ยืนอยู่หน้าเฟิงอู่โยว จ้องมองใบหน้าซีดเซียวของไป๋หลี่เหอเจ๋ออย่างเมินเฉย “พักฟื้นอยู่เรือนแพทย์หลวงดีๆ ไม่ชอบ แต่กลับชอบเดินไปเดินมาอวดใบหน้าขาวซีด เจ้าไม่กลัวคนอื่นเห็นหรือ”
ผมสีดำของไป๋หลี่เหอเจ๋อปลิวไสวไปข้างหลังตามสายลม
รูปร่างหน้าตาของเขาเหมือนภาพวาด ดวงตาของเขาเหมือนสายน้ำที่สดใส เคลือบคลุมด้วยความเศร้าหมองจางๆ อาการอิดโรยไม่ส่งผลต่อความงามของเขาเลยแม้แต่น้อย
เขามองไปที่เฟิงอู๋โยวอย่างแน่วแน่โดยไม่พูดอะไรสักคำ
เฟิงอู่โยวกลับพูดด้วยความโกรธ “เจ้ากำลังคิดจะทำอะไร”
อยู่ๆ ไป่ลี่เหอเจ๋อก็ตระหนักว่า…ไม่ว่าสิ่ง ใดที่เขาคิดหรือจะคิด ทั้งหมดล้วนถูกเฟิงอู่โยว ตีความไปในแง่ร้ายแล้วทั้งนั้น
ในใจของเจ้า เขามีดีไม่เท่าผู้หลงใหลในราคะอย่างจี้มั่วจื่อเฉินแม้แต่น้อย
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดเขาก็ปริปากพูดช้าๆ “เฟิงอู่โยว ถ้าข้าไม่ได้เป็นที่รักของเจ้า จวินมั่วหรันก็ไม่ได้เป็นเช่นกัน”
“ไป๋หลี่เหอเจ๋อ เจ้าเป็นคนเลวและอมนุษย์”
เฟิงอู๋โยวพูดเสียงเรียบ แม้ว่าเขาไม่พูดออกมา แต่เขาก็มีใจให้กับจวินมั่วหรันจริงๆ
ไป๋ลี่เหอเจ๋อหัวเราะเบาๆ “แล้ววันหนึ่งเจ้าจะรู้ตัวว่าในโลกนี้ไม่มีใครสามารถเชื่อถือได้ คนเดียวที่จะช่วยเจ้าได้คือข้า ไม่ว่าข้าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ร้าย ตราบชั่วชีวิต เจ้าก็ไม่มีทางหนีไปจากข้าได้”
“ไป๋ลี่เหอเจ๋อ เจ้าอยากถูกเล่นงานอีกหรืออย่างไร” จี้มั่วจื่อเฉินเลิกคิ้วพลางผลักเขาด้วยความโกรธ
ร่างของเขาโซเซไปด้านหลังเล็กน้อย ตามเสื้อผ้าสีขาวล้วนมีรอยเลือดซึมออกมาเป็นดวงๆ
เฟิงอู๋โยวไม่สนใจไป๋หลี่เหอเจ๋อแม้แต่น้อย นางเดินผ่านเขาไปและรีบไปที่สวนจักรพรรดิ
แทนที่จะเสียพลังงานไปกับคนพรรค์นี้ สู้ทำในสิ่งที่นางอยากทำดีกว่า
จี้มั่วจื่อเฉินตามมา “อู๋โยว หากไม่มีตราสาร ต่อให้เป็นพวกขุนนางชั้นสูงในราชสำนักก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เดินเตร็ดเตร่ในวังหลวง มานี่ รีบออกไปกับข้าเสีย”
เฟิงอู๋โยวทำเป็นหูหนวก นางยืนอยู่ด้านหลังหินประดับ สายตาจ้องมองจวินมั่วหรันกับจี้มั่วจื่อหยวนที่นั่งอยู่ในศาลาโดยหันหน้าเข้าหากัน
ในศาลา จี้มั่วจื่อหยวนรินชาให้จวินมั่วหรัน “เซ่อเจิ้งหวาง ถ้าข้ามีทางเลือกอื่น ข้าคงไม่รบกวนเจ้าโดยพลการแบบนี้”
“เรื่องอะไร”
“การเดินทางมาที่นี่ของรัชทายาทแห่งแคว้นหยุนฉินดูเหมือนจะมีความตั้งใจอยากแต่งงาน” จี้มั่วจื่อหยวนแสดงความลังเลที่จะพูด
จวินมั่วหรันถือถ้วยชามรกตไว้ในมือข้างหนึ่ง เขาไม่ตอบ เพียงแค่กระดกจิบพลางครุ่นคิด
อยู่ๆ จี้มั่วจื่อหยวน ก็คว้ามือของจวินมั่วหรันมาจับและพูดอย่างจริงใจ “เจ้ารู้หรือไม่ ในชีวิตนี้ ข้าคงไม่สามารถแต่งงานกับคนอื่นได้อีกแล้ว”
จวินมั่วหรันดึงมือออกอย่างใจเย็นและพูดอย่างเย็นชา “นี่คือเรื่องของเจ้า มันเกี่ยวอะไรกับข้า”
“เซ่อเจิ้งหวาง ในฐานะที่พวกเรารู้จักกันมาก่อน ช่วยข้าสักระยะหนึ่งได้หรือไม่”
รู้จักกันมาก่อน?
เฟิงอู๋โยวยืนยันได้ในทันทีว่าสิ่งที่จี้มั่วจื่อเฉินพูดนั้นเป็นความจริง
ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างจวินมั่วหรันกับจี้มั่วจื่อหยวนนั้นไม่ธรรมดาจริงๆ
สีหน้าของจวินมั่วหรันดูเฉยเมยยิ่งกว่าเดิม เขาลุกขึ้นยืนทันที “ข้าช่วยไม่ได้”
“เซ่อเจิ้งหวาง ได้โปรด! รัชทายาทแห่งแคว้นหยุนฉินเป็นพวกหัวรุนแรงป่าเถื่อน ถ้าข้าแต่งงานกับรัชทายาทแห่งแคว้นหยุนฉินจริงๆ ข้าไม่มีทางมีชีวิตเป็นของตัวเองแน่นอน”
จี้มั่วจื่อหยวนคุกเข่าลงต่อหน้าจวินมั่วหรัน ก่อนเงยหน้าขึ้นพูดวิงวอน “เจ้าต้องแต่งงานกับข้าเท่านั้น ต่อให้เป็นนางบำเรอ ข้าก็จะไม่บ่นสักคำ แล้วถ้ารัชทายาทแห่งแคว้นหยุนฉินกลับแคว้นไป แล้วถ้าเจ้าต้องการไล่ข้าออกจากตำหนัก ข้าก็จะไม่บ่นสักคำเช่นกัน”
“ข้าไม่รับนางบำเรอเข้าเรือน”
จวินมั่วหรันมองจี้มั่วจื่อหยวนและพูดเน้นทีละคำ
เฟิงอู๋โยวที่อยู่ด้านหลังหินประดับเริ่มสนใจภาพที่เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ “ข้าก็คิดว่าอาหรันสนใจในตัวเจ้าจริงๆ เสียอีก ที่แท้ดวงจันทร์ดวงใจของเขาก็ยังคงเป็นจื่อหยวน”
“หมายความว่าอะไร”
“ยังไม่ชัดเจนอีกหรือ เขาหมายความว่าจะแต่งจี้มั่วจื่อหยวนเข้าเรือนเร็วๆ หลังจากนั้น เขาจะได้ปกป้องจื่อหยวนให้เหมือนกับหยกและกลายเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว”
แม้จี้มั่วจื่อเฉินจะพูดแบบนี้ แต่ภายในใจเขากลับรู้สึกมีความสุข
ในตอนแรก เขาไม่กล้าสารภาพความรู้สึกของตัวเองกับเฟิงอู๋โยว เพียงเพราะติดที่จวินมั่วหรัน
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจวินมั่วหรันจะใช้เฟิงอู๋โยวเป็นเกราะกำบังดวงจันทร์ดวงใจเขาอย่างจี้มั่วจื่อหยวน
แม้ว่าสิ่งที่จี้มั่วจื่อเฉินพูดนั้นจะดูสมเหตุสมผล แต่เฟิงอู๋โยวก็ยังไม่เต็มใจเชื่อว่าจวินมั่วหรันจะแต่งงานกับจี้มั่วจื่อหยวน
แต่แล้วทันใดนั้น ภาพที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนก็ปรากฏขึ้นเสี้ยวพริบตา จวินมั่วหรันก้มลงสวมกอดจี้มั่วจื่อหยวนไว้ในอ้อมแขนของเขาอย่างอ่อนโยน
[1]หลังพิงต้นไม้ใหญ่อาศัยความร่มเย็น หมายถึงเมื่อสามารถใช้อำนาจและบารมีของคนใหญ่คนโตได้ ก็เท่ากับครอบครองทรัพย์สินอันมหาศาลที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
[2]บุปผาโปรยร่วงด้วยมีใจ สายนทีไหลผ่านไร้ไมตรี หมายความว่าหลงรักเขาข้างเดียว