ตอนที่ 287 กินผิดสําแดง
“ไม่ใช่”
ใบหน้าของจี้มั่วอิ้นเหรินแดงก่ำ ช่วงไม่กี่วันมานี้ เขาถูกขันทีในพระราชวังหลวงบังคับให้อ่านตำราจำนวนมาก ดังนั้นจึงพอเข้าใจ
“หรือว่า…ฝ่าบาทไม่ไหว…”
“เฟิงอู๋โยว เจ้าจริงจังกว่านี้ได้หรือไม่” จี้มั่วอิ้นเหรินละอายใจมาก ใบหน้าซาลาเปาอันอ่อนเยาว์ของเขาเจือสีดอกกุหลาบ แลดูน่าดึงดูดยิ่งขึ้น
“กระหม่อมกำลังวางแผนให้ฝ่าบาทอยู่”
จี้มั่วอิ้นเหรินลังเลอยู่พักใหญ่ในที่สุดก็บอกความจริง “ข้าแค่ไม่อยากนอนกับสตรี คราวที่แล้วสาวใช้คนนั้นไม่ยอมห่มผ้าให้ ซ้ำยังไม่ให้ข้าห่มผ้าอีก เจ้าคิดว่านางตั้งใจจะทำให้ข้าเป็นหวัดใช่หรือไม่! ข้าไม่ชอบสตรีที่มีพิษสง เจ้าพอจะมีโอสถวิเศษที่ทำให้ข้าดูเหมือนพวกหัวหน้าขันทีหรือไม่”
“พรวด!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฟิงอู๋โยวก็แทบจะสำลักน้ำลายตัวเอง
จี้มั่วอิ้นเหรินแตกต่างจากบุรุษคนอื่นจริงๆ ไม่ใช่แค่บริสุทธิ์ แต่ยังแปลกอีกด้วย
“เฟิงอู๋โยว เจ้ากำลังหัวเราะเยาะข้า!” จี้มั่วอิ้นเหรินกระทืบเท้าอย่างโมโห
เป็นจังหวะที่ราชรถหยกมาถึงประตูเรือนแพทย์พยากรณ์ทันที
เฟิงอู๋โยวสวมผ้าคลุมให้เขาอีกครั้ง แล้วพาเขาเข้าไปในเรือนแพทย์พยากรณ์
“เฟิงอู๋โยว ยังหัวเราะอยู่อีก”
จี้มั่วอิ้นเหรินกำลังจะสะบัดมือออก แต่แรงของเขาสู้นางไม่ได้
“เปล่าขอรับ กระหม่อมแค่ชื่นชอบฝ่าบาทที่รู้จักเอาตัวรอดเท่านั้นขอรับ”
เฟิงอู๋โยวตอบกลับพร้อมกับยัดขวดเล็กๆ ใส่อ้อมแขนของจี้มั่วอิ้นเหริน “นี่คือโอสถลมบูรพา[1]ไร้ฤทธิ์ ใช้มันยามจำเป็น ออกฤทธิ์ภายในหนึ่งเค่อ[2]”
จี้มั่วอิ้นเหรินหยิบขวดอย่างงุ่มง่าม เขาต้องการบอกเฟิงอู๋โยวว่าเขาไม่ชอบสตรี เขาชอบแค่นางเท่านั้น
แต่เฟิงอู๋โยวอายุมากกว่าเขาสามปีและยังเป็นบุรุษ ให้ตายพระพันปีหลวงเห่อเหลียนก็ไม่มีทางยินยอมให้เขาแต่งงานกับบุรุษแน่นอน
นอกจากนี้ นางเป็นคนโปรดของจวินมั่วหรัน ต่อให้จี้มั่วอิ้นเหรินจะมีความกล้าเต็มร้อย เขาก็ไม่กล้าที่แข่งกับจวินมั่วหรันอยู่ดี
เมื่อเห็นท่าทางหนักอกหนักใจของเขา เฟิงอู๋โยวยกมือขึ้นลูบผมนุ่มของเขา “ทรงอย่ากังวล โอสถลมบูรพาไร้ฤทธิ์จะออกฤทธิ์รุนแรง ได้ผลแน่นอน”
จี้มั่วอิ้นเหรินพยักหน้า แต่ไม่อาจแสดงความดีใจภายในใจออกไปได้
เฟิงอู๋โยวยื่นลูกกวาดน้ำผึ้งให้เขา “ลูกกวาดสามารถเยียวยาสารพัดทุกข์ได้”
จี้มั่วอิ้นเหรินไม่อยากกินมัน เขากลัวว่าเฟิงอู๋โยวจะเหมือนกับลูกกวาดน้ำผึ้งในมือ หวานชื่นเพียงชั่วคราวและหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เขาเติบโตในพระราชวังหลวงตั้งแต่ยังเด็ก ไม่เคยต้องกังวลเรื่องอาหารเสื้อผ้าเครื่องใช้ แต่เขาไม่มีเพื่อนที่เขาสามารถเล่าสู่กันฟังได้
ตอนนี้ ในที่สุดเขาก็สามารถเล่าเรื่องส่วนตัวให้เฟิงอู๋โยวฟังได้ ดังนั้นเขาจึงหวังว่านางจะอยู่เคียงข้างเขาไปนานๆ
“เฟิงอู๋โยว เจ้าเคยเทียบขนาดเล็กใหญ่กับเซ่อเจิ้งหวางมาก่อนหรือไม่”
จี้มั่วอิ้นเหรินต้องการถามนางว่านางเคยทำเรื่องแปลกๆ กับจวินมั่วหรัน หรือไม่ แต่เขาเป็นคนหน้าบาง จึงต้องถามนางทางอ้อมในแบบของตัวเอง
“จำเป็นต้องเปรียบเทียบด้วยหรือ ของกระหม่อมยิ่งใหญ่อลังการไร้ผู้ใดในใต้หล้าจะเทียบได้” เฟิงอู๋โยวตอบอย่างไม่ใส่ใจ
เมื่อจุยเฟิงที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดเห็นเช่นนี้ก็มองเห็นความคิดของจี้มั่วอิ้นเหรินออกทันที
เพื่อกำจัดจี้มั่วอิ้นเหรินที่มีโอกาสเป็นศัตรูหัวใจของจวินมั่วหรัน จุยเฟิงจึงเข้าไปพาเขากลับพระราชวังหลวงอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง
“จุยเฟิง ให้ข้าอยู่ต่ออีกสักพักได้หรือไม่” จี้มั่วอิ้นเหรินขอร้องจุยเฟิงเสียงแผ่วเบา
“อีกครึ่งครึ่งชั่วยาม ท่านใต้เท้าจะกลับมาทานอาหารเย็นกับแม่ทัพเฟิง ถึงเวลา หากท่านใต้เท้ารู้ว่าฝ่าบาทอยู่ที่นี่…”
ทันทีที่น้ำเสียงของจุยเฟิงสิ้นสุดลง จี้มั่วอิ้นเหรินก็มุดเข้าไปในราชรถหยกและไม่กล้าพูดอะไรอีก
ไม่นานหลังจากนั้น ขณะราชรถหยกกำลังจะเคลื่อนเข้าสู่ประตูพระราชวังหลวง จวินมั่วหรันก็กระโดดขึ้นมาบนนราชรถหยกด้วยสีหน้าอำมหิต กระบี่สะบั้นมังกรที่เหน็บบริเวณเอวพลันวาดตวัด
เขาคิดว่าเฟิงอู๋โยวอยู่กับไป๋หลี่เหอเจ๋อในราชรถหยก ร่างกายสั่นสะท้านไปด้วยความโกรธ สีหน้ามืดมิดราวกับก้นหม้อ
แต่เมื่อเขาพบว่าเป็นจี้มั่วอิ้นเหรินที่อยู่ในราชรถหยก ความโกรธก็ทุเลาลงไปมาก
เมื่อเห็นจี้มั่วอิ้นเหรินในชุดของไป๋หลี่เหอเจ๋อ อยู่ๆ อารมณ์ของเขาก็แจ่มใสขึ้นมา ริมฝีปากเรียวบางขึ้นเล็กน้อย ร่างกายพลันผ่อนคลายลง
หลังจากนั้นไม่นาน จวินมั่วหรันก็จับคอเสื้อด้านหน้าของจี้มั่วอิ้นเหรินด้วยมือข้างหนึ่ง พูดขึ้นอย่างเย็นชา “ไฉนฝ่าบาทต้องไปหาเฟิงอู๋โยว”
จี้มั่วอิ้นเหรินหดคอและพูดอย่างเคอะเขิน “ข้าแค่คุยกับเขาแก้เบื่อ”
“คุยกันเรื่องอะไร”
แววอิจฉาซ่อนอยู่ในดวงตาสีดำประกายทองของจวินมั่วหรัน ทุกครั้งที่เฟิงอู๋โยวพบกับจี้มั่วอิ้นเหริน นางมักจะแสดงออกมาราวกับกับเห็นซาลาเปาไส้ปูของโรงเตี๊ยมหลิงเฟิ่งก็ไม่ปาน ประหนึ่งอยากกระโจนเข้าไปงับสักสองสามคำ
“เฟิงอู๋โยวบอกว่าเขายิ่งใหญ่อลังการกว่าท่าน” จี้มั่วอิ้นเหรินตอบเสียงเบา
“เขาพูดว่าอะไรอีก” มุมปากของจวินมั่วหรันรั้งขึ้นเล็กน้อย เขารู้แล้วว่า ‘ความยิ่งใหญ่อลังการ’ ที่หลุดมาจากปากนางเป็นเรื่องโกหก ทุกครั้งที่เขาได้ยินนางโม้ก็อดขำไม่ได้
แต่ไหนแต่ไรมา จี้มั่วอิ้นเหรินไม่กล้าโกหกต่อหน้าจวินมั่วหรัน ดังนั้นพอจวินมั่วหรันถามขึ้นอีกครั้ง เขาจึงสารภาพออกมาหมดเปลือก “ข้ารู้มาว่าเฟิงอู๋โยวเชี่ยวชาญโรครักษายากของบุรุษ จึงต้องการโอสถวิเศษจากเขาเพื่อเตรียมไว้ในยามฉุกเฉิน”
“เอาออกมา”
“เซ่อเจิ้งหวางหยุดรังแกข้าได้หรือไม่” จี้มั่วอิ้นเหรินหน้าคว่ำอย่างไม่พอใจ แต่สุดท้ายก็ยอมส่ง โอสถลมบูรพาไร้ฤทธิ์ให้แต่โดยดี
“ซาลาเปาน้อย หากข้าไม่รังแกฝ่าบาทแล้วจะให้รังแกผู้ใดเล่า”
จวินมั่วหรันรับขวดโอสถลมบูรพาไร้ฤทธิ์มาอย่างอารมณ์ดีและลูบศีรษะกลมๆ ของจี้มั่วอิ้นเหริน
จี้มั่วอิ้นเหรินรู้สึกหดหู่ใจ เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเพราะเหตุใดจวินมั่วหรันกับเฟิงอู๋โยวถึงชื่นชอบศีรษะของเขามากนัก กครั้งที่อยู่กันตามลำพัง พวกเขามักจะ ‘ลูบๆ คลำๆ’ อยู่ร่ำไป
คลิก
จวินมั่วหรันหรี่ตาลง ใช้นิ้วเรียวยาวดีดฝาปิดออก เทโอสถเม็ดสีดำห้าถึงหกเม็ดออกมาแล้วยัดเข้าปากทันที
“เซ่อเจิ้งหวาง ห้ามกินโอสถนี้ซี้ซั้ว!” เมื่อเห็นเช่นนี้ จี้มั่วอิ้นเหรินก็รีบนั่งลงบนตักของจวินมั่วหรัน และพยายามล้วงเอาเม็ดโอสถออกจากปากเขา
“โอสถที่อู๋โยวเป็นคนปรุง กระหม่อมเพิ่งได้ชิมเป็นครั้งแรก” จวินมั่วหรันสะบัดแขนเรียวยาวของเขาไปด้านข้าง ฟาดใส่จี้มั่วอิ้นเหริน ที่กำลังตื่นตระหนกอยู่ในอ้อมแขนออกไป
จี้มั่วอิ้นเหรินขมวดคิ้วพลางพึมพำเสียงต่ำ “เซ่อเจิ้งหวาง นี่คือโอสถลมบูรพาไร้ฤทธิ์ ถ้ากินมากเกินไป ร่างกายจะรับไม่ไหว”
“แค่กๆๆ”
แม้จวินมั่วหรันจะไม่รู้ว่าโอสถลมบูรพาไร้ฤทธิ์เป็นโอสถชนิดใด แต่เขาก็ตื่นตระหนกเมื่อได้ยินคำว่า ‘ไร้ฤทธิ์’
เขาหลุบตาลงเล็กน้อย จ้องไปที่เป้ากางเกงของตัวเองครู่หนึ่ง จากนั้นก็พุ่งพรวดออกจากราชรถหยกอย่างตื่นตระหนก
เขาอยากไปที่เรือนแพทย์พยากรณ์และให้เฟิงอู๋โยวรักษาให้เขา
แต่เขาไม่ต้องการให้เฟิงอู๋โยวเห็นสภาพทุกข์ใจของตัวเอง ดังนั้นจึงกลับไปที่ตำหนักเซ่อเจิ้งหวางอย่างหมดสภาพ
“จุยเฟิง ไปตามแพทย์หลวงซูมาเดี๋ยวนี้”
“แพทย์หลวงซูถูกฮ่องเต้แห่งแคว้นเป่ยหลีเรียกตัวไปที่เรือนพำนัก ไม่แน่ใจว่าจะเสร็จธุระภายในครึ่งชั่วยามนี้หรือไม่ขอรับ”
“เช่นนั้นไปลากตัวกู่หนานเฟิงมาจากเรือนแพทย์พยากรณ์มาให้เร็วที่สุด”
“ขอรับ”
“ช่างเถิด ข้าไปเองดีกว่า”
ทุกครั้งที่จวินมั่วหรันก้าวหนึ่งก้าว สีหน้าของเขามืดลงทีละนิด
เขาสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาจะพิชิตเฟิงอู๋โยวได้เยี่ยงไร
ให้ตายเถิด!
ข้าไม่ควรกินโอสถซี้ซั้ว!
จวินมั่วหรันอยากจะร้องไห้ เป็นครั้งแรกที่เขาเอนศีรษะไปพิงไหล่ของจุยเฟิง “จุยเฟิง ข้ารู้สึกเหมือนกำลังจะตาย”
จุยเฟิงพยุงเอวของจวินมั่วหรันอย่างระมัดระวัง สีหน้าฉายแววกังวล “ท่านใต้เท้าจะไม่เป็นอะไรขอรับ”
“หากข้า…กลายเป็นขันที เจ้าคิดว่าเฟิงอู๋โยวจะคิดมากเรื่องนี้หรือไม่” สีหน้าของเขามืดมนราวกับน้ำหมึก เขารู้สึกว่าร่างกายของเขาในตอนนี้อ่อนแรง แม้แต่จะยกขายังยกไม่ขึ้น
“คิดขอรับ แม่ทัพเฟิงเป็นคนรักสนุกและให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ถ้าท่านกลายเป็นขันที แม่ทัพเฟิงคงเป็นดอกซิ่งแดงข้ามกำแพงขอรับ” จุยเฟิงพูดอย่างเคร่งขรึม เขาราดน้ำมันใส่กองไฟอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
“เขากล้าทำกระนั้นหรือ”
“ท่านใต้เท้า ทางที่ดีท่านควรถามเขาด้วยตัวเอง”
จุยเฟิงคลี่ยิ้ม คิดในใจว่าทั้งเฟิงอู๋โยวและจวินมั่วหรันเป็นพวกความรู้สึกตื้นเขินด้วยกันทั้งครู่ หากเขาไม่เติมไฟให้พวกเขา พวกเขาอาจไม่มีทางก้าวไปถึงขั้นนั้นได้
[1] ลมบูรพา เป็นคำที่ปรากฏในเรื่องสามก๊ก ความหมายเดิมหมายถึงกำลังหลัก กำลังรบที่สำคัญ แต่คำนี้ยังหมายถือลมที่พัดในฤดูใบไม้ผลิ และฤดูใบไม้ผลิเป็นฤดูที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต เหมาะแก่การผสมพันธุ์ ดังนั้นลมบูรพาในความหมายนี้จึงหมายถึงกำลังวังชาหรือสารกำหนัดที่พลุ่งพล่าน
[2] 1 เค่อ เท่ากับ 15 นาที