ตอนที่ 295 ไปตามนัด
แสงราตรีสุกสว่าง ยามราตรีดุจดั่งม่านสีดำเข้มปกคลุมคูเมืองอันสว่างไสวไปด้วยแสงไฟ
เฟิงอู๋โยวมาตามนัด นางจ้ำอ้าวเดินอยู่ริมฝั่งคูเมืองอันคึกคักกว่าปกติ
ฝั่งด้านซ้ายคือโรงเตี๊ยมหลิงเฟิงแต่งประดับด้วยผ้าและโคมไฟสวยงาม บรรยากาศครึกครื้นรื่นเริง
ฝั่งด้านขวาคือโรงเตี๊ยมหลิงเทียนสูงฟ้าราวกับเอื้อมคว้าดาวได้กลับปกคลุมไปด้วยดอกเบญจมาศดาว จรุงกลิ่นหอม
เฟิงอู๋โยวขยี้ตามองโรงเตี๊ยมหลิงเทียนอย่างไม่อยากเชื่อสายตา มันถูกปกคลุมด้วยดอกเบญจมาศขาวนับหมื่นอย่างแน่นขนัด ภายในใจพลันนึกสงสัย
เธอลดสายตาลงช้าๆ มองดูจดหมายเชิญงานเลี้ยงในมือด้วยสีหน้าสับสน “เขาคงไม่ได้เขียนผิดจากโรงเตี๊ยมหลิงเฟิงเป็นโรงเตี๊ยมหลิงเทียนหรอกกระมัง ทั่วทั้งโรงเตี๊ยมหลิงเทียนเต็มไปด้วยดอกเบญจมาศขาว[1]แบบนี้ เห็นได้ชัดว่าใช้สำหรับงานศพ”
“ใช่แล้ว! จะต้องเป็นแบบนี้แน่นอน!”
เฟิงอู๋โยวพยักหน้าอย่างมั่นใจ จากนั้นก็หันกลับไปและเดินไปที่โรงเตี๊ยมหลิงเฟิงที่บรรยากาศครึกครื้น
ด้านนอกโรงเตี๊ยม เจียวเอ๋อร์ในชุดไหมหลากสีสันกำลังเต้นรำประกอบเสียงดนตรี ออกท่วงท่า วาดลวดลายท่ามกลางผู้คนโดยรอบ
ภายใต้แสงไฟระยับระยับ ในดวงตาของนางพลันสะท้อนทิวทัศน์ยามราตรีอันน่าหลงใหลของเมืองหลวงแห่งแคว้นตงหลินออกมา
“ท่านชาย เชิญด้านในเจ้าค่ะ”
เมื่อเจียวเอ๋อร์เห็สง่าราศีอันไม่ธรรมดาของเฟิงอู๋โยว ก็รีบจ้ำเท้าเล็กน้อยเพื่อไปต้อนรับ พานางเข้าไปในโรงเตี๊ยมหลิงเฟิงทันที
ใบหน้าของเฟิงอู๋โยวปรากฏรอยยิ้มเบาบาง ภายในใจพลันรู้สึกคาดหวังขึ้นเล็กน้อย
นางคิดในใจ จวินมั่วหรันจัดงานเลี้ยงอย่างครึกโครมเช่นนี้ จะต้องวางแผนประกาศความสัมพันธ์ของพวกเขาต่อหน้าสาธารณะแน่นอน
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้นางตกใจก็คือ บรรดาแขกจากทั่วสารทิศที่มารวมตัวกันในโรงเตี๊ยมหลิงเฟิงล้วนเป็นทั้งมังกรและมัจฉาปะปนกันอยู่
เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้ไม่มีทางเป็นแขกรับเชิญในงานเลี้ยงของจวินมั่วหรันแน่นอน
หรือว่านางมาผิดที่?
เฟิงอู๋โยวหันกลับ มองไปที่โรงเตี๊ยมหลิงเทียนที่อยู่อีกฝั่งของแม่น้ำอย่างสงสัย เป็นไปได้ไหมว่าจวินมั่วหรันจะเขียนสถานที่ผิด และเขากำลังรอเธออยู่ที่โรงเตี๊ยมหลิงเทียน
ไม่ขนาดนั้นหรอกกระมัง
ในเมื่อตั้งใจจะ ‘เกิดร่วมผ้าห่ม ตายร่วมหลุมศพ’ ไปด้วยกัน ก็ไม่เห็นจะต้องประดับด้วยดอกเบญจมาศขาวแน่นขนัดขนาดนั้นก็ได้ ทำเหมือนกับเป็นงานศพก็ไม่ปาน!
เป็นลางร้ายชัดๆ!
ขณะที่เฟิงอู๋โยวกำลังสับสนอยู่นั้น เฟิงอี้กับเทียนหลิงที่กำลังดื่มสังสรรค์กันอยู่ในโรงเตี๊ยมหลิงเฟิงก็เหลือบเห็นเธอ
“อู๋โยว!”
“พี่อู๋โยว!”
เฟิงอี้กับเทียนหลิงลุกขึ้นพรวดและมาต้อนรับเฟิงอู๋โยวที่มีตัวคนเดียว
เฟิงอู๋โยวตั้งสติกลับมา แต่เมื่อเห็นใบหน้าอันดีใจของเฟิงอี้ก็เอ่ยถาม “ท่าทางพี่ดูมีความสุขขนาดนี้ มีเรื่องน่าดีใจแบบไหนเกิดขึ้นกระนั้นหรือ”
เฟิงอี้พูดขึ้นอย่างมีความสุข “อู๋โยว ข้าได้เตรียมการไว้แล้ว กลางดึก ข้าจะพาเจ้ากับชิงหลวนออกจากตงหลิน”
เฟิงอู๋โยวจำได้ว่าไม่นานมานี้ เฟิงอี้ได้ชวนเธอไปอยู่ที่แคว้นซีเยว่ด้วยกัน ปกปิดชื่อสกุลและอยู่ห่างจากความวุ่นวาย
ในเวลานั้นจวินมั่วหรันทำเธอโกรธจนหัวตื้อไปหมด ดังนั้นเธอจึงตอบรับคำชวนของเฟิงอี้ทันที
ตอนนี้เธอปรับความเข้าใจผิดกับจวินมั่วหรันแล้ว และเธอไม่อยากทิ้งเขาไป
ใบหน้าของเฟิงอู๋โยวแสดงความลำบากใจ นางกล่าวขอโทษ “ข้า…ข้าไม่อยากไปแล้ว”
“เพราะเหตุใด หรือว่าเจ้าตั้งใจจะอยู่ใต้ร่มเงาของเซ่อเจิ้งหวางแห่งแคว้นตงหลินไปตลอดชีวิต”
เฟิงอี้ขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าไม่เข้าใจยิ่งนัก
“ข้ารักเขา”
แววตาของเฟิงอู๋โยวสั่นไหว เมื่อเธอพูดว่ารักออกจากปาก หัวใจของเธอก็เต็มไปด้วยพลังอันอบอุ่น
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฟิงอี้กับหลิงเทียนก็มองหน้ากันอย่างตกตะลึง พวกเขาตะลึงสุดขีด ไม่คิดว่าเฟิงอู๋โยวที่เพิ่งหนีออกไปหนึ่งเดือนจะตกหลุมรักผู้ชายคนหนึ่ง
ไป๋หลี่เหอเจ๋อกับฟู่เย่เฉินที่กำลังดื่มสุราด้วยกันที่โรงเตี๊ยมหลิงเฟิง ได้ยินอย่างชัดเจนว่าเฟิงอู๋โยวพูดอะไร
มือของฟู่เย่เฉินที่ถือพัดอยู่หยุดชะงัก รอยยิ้มบนใบหน้าพลันนิ่งค้าง
เขามองออกตั้งนานแล้วว่าเฟิงอู๋โยวกำลังคิดอะไรอยู่ แต่พอได้ยินนางเผยความในใจออกมากับหูตัวเองแบบนี้ มันกลับเป็นความรู้สึกคนละเรื่องเลย
ไป๋หลี่เหอเจ๋อดูเรียบนิ่ง เขาเทสุราให้ตัวเองเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดวงตาสีดำของเขาลุ่มลึกลงจนไม่เห็นแววตา ต่อให้เขาจะรู้จักฟู่เย่เฉินแต่ก็มองไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในขณะนี้
หลังจากเฟิงอี้สงบสติอารมณ์ลงก็เงยหน้าขึ้นและถามเฟิงอู๋โยวอย่างจริงจังว่า “พูดจริงกระนั้นหรือ”
“จริง”
หัวใจของเฟิงอี้รู้สึกแปลบๆ ขึ้นมาเล็กน้อย แม้เขาจะรู้ว่าจวินมั่วหรันปฏิบัติต่อเธอเป็นอย่างดี แต่เขาก็ยังไม่วางใจ
“อู๋โยว จงจำไว้ว่าพี่ชายคนนี้จะคอยสนับสนุนเจ้าเสมอ” ดวงตาของเฟิงอี้เต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ แต่เขาทำได้เพียงเลือกที่จะเคารพการตัดสินใจของเธอ
“ขอบคุณท่านพี่มาก”
เมื่อคิดว่าเขากำลังจะเริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่และใช้ชีวิตเพื่อตัวเองนับจากนี้ เฟิงอู๋โยวจึงยิ้มร่า “จากลาวันนี้ ไม่รู้ว่าจะมีวันรวมญาติอีกหรือไม่ ข้าจึงขอให้ชีวิตท่านพี่รุ่งโรจน์ตลอดไป”
หลิงเทียนอี้เกิดซาบซึ้งใจจนน้ำตาคลอในดวงตา เขาจับแขนของเฟิงอี้ด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างจับมือของเฟิงอู๋โยว “คืนนี้ ไม่เมาไม่กลับ”
เฟิงอู๋โยวรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย “สหายเทียนฉี เซ่อเจิ้งหวางกำลังรอข้าอยู่ที่โรงเตี๊ยมหลิงเทียน ข้าขอตัวก่อน แล้วจะกลับมา”
“สหายอู๋โยวจำผิดหรือไม่ โรงเตี๊ยมหลิงเทียนเต็มไปด้วยดอกเบญจมาศอันเศร้าสร้อยปกคลุมขนาดนั้น เกรงว่าน่าจะเป็นสถานที่จัดงานศพ แล้วเซ่อเจิ้งหวางจะรอเจ้าอยู่ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยลางร้ายแบบนั้นได้เยี่ยงไร” หลิงเทียนฉีถามอย่างงงงวย
“อาจเป็นธรรมเนียมที่แตกต่างก็เป็นได้ ดอกเบญจมาศขาวถูกใช้เป็นดอกไม้ในงานศพในแคว้นเป่ยหลี แต่อาจจะมีความหมายและประโยชน์ด้านอื่นในแคว้นตงหลินก็เป็นได้”
ขณะเฟิงอู๋โยวกำลังจะก้าวเท้าออกไป แต่กลับถูกขวางด้วยนางรำทรงเสน่ห์ภายในโรงเตี๊ยม
นางรำเดินบิดเอวเข้ามา ข้อมือเล็กสวยซ่อนอยู่ใต้ชายแขนเสื้อบางๆ นางพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านชาย โปรดหยุดก่อน”
“มีอะไร” เฟิงอู๋โยวหยุดชะงัก หันศีรษะไปมองนางรำผู้เลอโฉมทรงเสน่ห์
“ได้โปรดมองไปบนเวที”
นางรำยกมือขึ้นและชี้ไปที่เวทีโค้งมนที่ชั้นล่างของโรงเตี๊ยมหลิงเทียน
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฟิงอู๋โยวก็ก้มหน้ามองไปที่นางบำเรอผู้เลอโฉมในชุดอันสง่างามบนเวที
ทันใดนั้น เสียงดนตรีเครื่องสายบรรเลงขึ้น บุรุษผู้ชายงามในชุดสีแดงทั้งหกคนก็ปรากฏตัวขึ้นบนเวทีทีละคน
เฟิงอู๋โยวคิดในใจ เป็นไปได้หรือว่าบุรุษทั้งหกคนนี้บนเวทีคือของขวัญที่จวินมั่วหรันเตรียมมอบให้นาง
ไม่น่าใช่!
คนอย่างจวินมั่วหรันเป็นคนขี้หึงอย่างมาก แล้วเขาจะใจกว้างมอบนายบำเรอให้นางได้เยี่ยงไร
เฟิงอู๋โยวมองไปที่เหล่าบุรุษรูปงามคล้ายจิตรกรรมภาพตันชิง[2]อันมีชีวิตชีวา ดุจปราชญ์ผู้บริสุทธิ์บนเวที อยู่ๆ ก็คิดว่าแม้ว่าบุรุษเหล่านี้ไม่หล่อเหลาเท่าจวินมั่วหรัน แต่ดูๆ แล้ว พวกเขาก็มีเสน่ห์ในแบบตัวเอง
บุรุษผู้ให้ความรู้สึกเบาบางผ่อนคลายที่ยืนอยู่ด้านหน้า มีดวงตาที่เล็กเฉี่ยวเรียวยาว แววตาคมคาย ให้ความรู้สึกคล้ายคลึงกับจวินมั่วหรัน
ด้านซ้ายของ บุรุษผู้อ่อนโยนในชุดเปิดคอเสื้อจนถึงกล้ามหน้าท้อง รูปลักษณ์ดูเรียบเฉย แต่ริมฝีปากที่เรียวบางของเขาเกือบจะเหมือนกับของจวินมั่วหรันทุกประการ
เมื่อมองลึกลงไป ลูกกระเดือกที่กระเพื่อมขึ้นลงนั้นซ่อนเสน่ห์ที่ไร้ที่สิ้นสุด ทำให้เหล่าสตรีด้านล่างเวทีแห่กันเข้าหาและจับจ้องอย่างไม่ละสายตา
เฟิงอู๋โยวกลืนน้ำลายอย่างไม่รู้ตัว ต้องบอกเลยว่าบุรุษกลุ่มนี้น่าทึ่งมาก ไม่ว่าจะหน้าตาหรือรูปร่าง เรียกได้เลยว่าคัดเลือกมาจากหนึ่งในหมื่น
[1]ดอกเบญจมาศขาว สำหรับสังคมจีนให้ความมายว่า ‘สัจจะ’ หรือ ‘ความจริงแท้’ มักนำมาใช้ประดับงานศพเพื่อแฝงข้อคิดเตือนสติว่าตวามตายคือสัจจะที่มนุษย์ทุกคนไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
[2] ภาพตันชิง คือชื่อเรียกภาพวาดในสมัยจีนโบราณที่วาดขึ้นจากแร่สีแดงและสีเขียว