ตอนที่ 298 นางเป็นฝ่ายเริ่มก่อน
“เพ้ย! ศีรษะเคลื่อนไหวไหลลื่นอะไร พวกเขาก็แค่ใกล้กันเกินไป จมูกชนกัน พอรู้สึกอึดอัดก็เลยเปลี่ยนตำแหน่งก็แค่นั้น”
จุยเฟิงพูดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ใบหน้าเผยแววยิ้มและมองดูทั้งสองคนคลอเคลียกันอย่างปลื้มใจเป็นที่สุด
แต่ขณะที่กำลังปลาบปลื้มใจ ภายในใจของจุยเฟิงก็รู้สึกกังวลขึ้นมา
เดิมทีเขาวางแผนไว้ว่าหลังจากเฟิงอู๋โยวรักษาอาการป่วยทางจิตใจของจวินมั่วหรันหายแล้ว เขาจะจัดเตรียมเรือนนางสนมสองสามคนเพื่อให้ตระกูลจวินสามารถจุดธูปสืบต่อได้
แต่ดูจากสถานการณ์ปัจจุบัน จวินมั่วหรันตกหลุมรักเฟิงอู๋โยวอย่างลึกซึ้งและต้องการจะทะนุถนอมไว้ข้างกายดั่งหยก
แล้วแบบนี้เมื่อไหร่ตระกูลจุนจะมีทายาทสักที
จุยเฟิงถอนหายใจอย่างเศร้าโศก “ถ้าแม่ทัพเฟิงเป็นสตรี ปัญหาทั้งหมดจะได้รับการแก้ไข!”
บนเวที จวินมั่วหรันสัมผัสถึงลมหายใจของเฟิงอู๋โยวเร็วขึ้นเรื่อยๆ เขาเข้าใจผิดคิดว่านางมีอารมณ์ขึ้นมาอีกครั้ง ดังนั้นเขาจึงโอบเอวของนางด้วยมือข้างหนึ่งและพากระโดดขึ้นไปในอากาศ เพียงพริบตาก็พานางขึ้นมาถึงห้องบนชั้นสองของโรงเตี๊ยมหลิงเฟิง
เขาปิดประตูอย่างรีบร้อน จ้องเขม็งไปที่เฟิงอู๋โยวในสภาพใบหน้าแดงเรื่อ ดวงตาพร่ามัวตรงหน้าเขา “อภิเษกสมรสกับข้า แล้วข้าจะให้เจ้า”
“ให้อะไรข้า”
เฟิงอู๋โยวจับหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลง ลมหายใจเริ่มหนักหน่วง เมื่อครู่นางเครียดจนลืมหายใจไปชั่วขณะ เป็นเหตุให้หายใจไม่ทันและแก้มแดงเรื่อ
“ทั้งที่รู้ยังถามอีก”
จวินมั่วหรันยกมือขึ้นสะกิดจมูกของนางและพูดขึ้นอย่างเอ็นดู “อภิเษกสมรสกับข้าผู้นี้ แล้วข้าจะตอบแทนเจ้าด้วยความรักทั้งวันทั้งคืน”
“ตอบแทนด้วยความรักทั้งวันทั้งคืน ข้าคงตายตาเตียง”
เฟิงอู๋โยวบ่นในใจ แม้ว่านางจะกระหายในตัวเขาแต่ก็ไม่ได้กระหายจนถึงขั้นเป็นบ้าขนาดนั้น
นางไม่มีทางทนได้ทั้งวันทั้งคืนแน่นอน
“ข้าผู้นี้จะทำตัวรักหยกถนอมบุปผา เจ้าจงอย่ากังวลกับเรื่องเล็กน้อยพรรค์นี้เลย ฤกษ์มงคลอภิเษกสมรสคือวันที่เจ็ดเดือนหน้า เจ้าพร้อมหรือไม่”
“ใช่ว่าข้าไม่อยาก ข้าแค่อยากให้ร่างกายของข้าแข็งแรงกว่านี้ก่อนแล้วค่อยแต่ง”
จวินมั่วหรันหุบยิ้ม “มีข้าอยู่ ต่อให้เจ้าอ่อนแอก็ไม่ใช่ปัญหา”
เฟิงอู๋โยวไม่คิดเช่นนั้น “แน่นอนว่ามันไม่ใช่ปัญหาสำหรับเจ้า แต่สำหรับข้ามันเป็นจุดอ่อนร้ายแรง ลองคิดดู ถ้าเกิดเจ้าอารมณ์พลุ่งพล่านเผลอตีข้าขึ้นมาข้าจะทำเยี่ยงไร โต้กลับก็ไม่ได้ หลีกเลี่ยงก็ไม่ได้ ได้แต่จำใจยอมรับ แบบนี้น่าสงสารจะตาย”
“ข้าจะลงมือกับเจ้าได้เยี่ยงไร”
จวินมั่วหรันคิดว่าเรื่องที่เฟิงอู๋โยวกังวลเป็นเรื่องไร้สาระทั้งเพ แต่ในเมื่อเฟิงอู๋โยวยังไม่พร้อมที่จะอภิเษกสมรสกับเขา ดังนั้นก็ต้องรอต่อไป
สักวันหนึ่งนางจะต้องอภิเษกสมรสกับเขาด้วยความเต็มใจ
“มั่วหรัน ขอเวลาข้าอีกหน่อย ตกลงหรือไม่” อยู่ๆ เฟิงอู๋โยวก็เงยหน้าขึ้น กะพริบตาปริบๆ แล้วพูดอย่างนุ่มนวล
“ได้”
จวินมั่วหรันลดสายตามองเฟิงอู๋โยวที่กะพริบตาปริบๆ ด้วยความสงสัยเล็กน้อย
เขาคิดว่านางรู้สึกเคืองตา แต่หลังจากคิดอยู่พักหนึ่งก็รู้สึกว่านางกำลังเล่นหูเล่นตาอยู่
การเล่นหูเล่นตาของนางแลดูทะเล้นสดใสจนใครก็ไม่อาจสัมผัสถึงความสวยงามเสน่หาได้
โชคดีที่แม้ว่าเฟิงอู๋โยวจะเหล่ตาเบ้ปาก ในสายตาของจวินมั่วหรันนางก็ยังสวยงามไร้ที่ติ
ดวงตาของเขาหรี่ลง จากนั้นก็จับเฟิงอู๋โยวนั่งลงบนตัก “อย่ากลัวเลย ข้าจะไม่วู่วาม ข้าจะให้เจ้าทำความคุ้นเคยตั้งแต่เนิ่นๆ”
เฟิงอู๋โยวไม่มีท่าทางหวาดกลัวแม้แต่น้อย นางพูดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา “วู่วามหน่อยก็ไม่เป็นไร”
“เจ้า…ช่วยรักนวลสงวนตัวหน่อยไม่ได้หรือ”
จวินมั่วหรันรู้สึกจนปัญญา เขาคิดไม่ออกว่าเฟิงอู๋โยวที่ยืนกรานต่อต้านเขาก่อนหน้านี้ ไฉนถึงก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ไม่เพียงแต่ไม่กลัวการสัมผัสจากเขา แต่ยังแสดงความคาดหวังออกมาอย่างเห็นได้ชัด
หารู้ไม่ว่าการปรับความเข้าใจเมื่อตอนกลางวันได้ขจัดความเข้าใจผิดทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาไปแล้ว
เฟิงอู๋โยวคิดในใจ ในเมื่อจวินมั่วหรันได้รับพิษจนร่างกายเสียหาย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็ไม่สามารถทำให้นางตั้งครรภ์ได้
ในเมื่อตั้งครรภ์ไม่ได้ พิษที่ตกค้างอยู่ในร่างกายก็ทำร้ายนางไม่ได้
ดังนั้นความกังวลก่อนหน้านี้จึงสูญสิ้นไป
“มั่วหรัน เจ้าชอบสตรีที่รักนวลสงวนตัวใช่หรือไม่”
มือทั้งสองข้างของเฟิงอู๋โยวลูบคลำร่างกายของเขา ขณะนั้นสายตาของนางจึงย้ายไปมองชุดกระโปรงสีชมพูอ่อนรัดรูปบนร่างกายของเขา
นางใช้นิ้วเกี่ยวดึงพู่ระย้ายาวหนึ่งนิ้วบนหน้าอกของเขาอย่างเบามือ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็ไต่ไปบนหน้าท้องของเขาอย่างคุ้นเคย ปลายนิ้วนุ่มๆ ของนางสัมผัสกับแผงกล้ามเนื้อหน้าท้องของเขา
“ข้าชอบแค่เจ้าเท่านั้น” ต่อให้ถูกเฟิงอู๋โยวทรมานเช่นนี้ มือทั้งสองข้างของเขาก็ยังคงอยู่นิ่ง
แต่ถ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไป เขากลัวว่าจะควบคุมตัวเองไม่ได้จนต้องการนางในทันที
เมื่อเห็นว่าเขาไม่ขยับ เฟิงอู๋โยวก็ชี้ที่ชุดคลุมบนตัว “มั่วหรัน ดูสิ! เพื่อให้กลมกลืนกับเจ้า ข้าจึงจงใจใส่ชุดคลุมสีดำ เจ้าไม่สงสัยหรือว่าภายในชุดคลุมสีดำ ด้านในเป็นเสื้อสีอะไร แล้วเจ้าไม่อยากรู้หรือว่าเสื้อชั้นในสีอะไร จริงสิ ข้าลืมบอกไป คืนนี้ข้าเตรียมตัวมาอย่างดี ใส่ชุดชั้นในแบบใหม่มา เจ้าไม่อยากดูหน่อยหรือ”
“…”
ลมหายใจของจวินมั่วหรันถี่กระชั้นขึ้นเรื่อยๆ เขาหันศีรษะอย่างไม่เป็นธรรมชาติ และพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย “ข้ารอเจ้าอยู่ที่โรงเตี๊ยมหลิงเทียนมาครึ่งค่อนวัน ไฉนถึงไม่โผล่มา”
“ดอกเบญจมาศสีขาวเป็นดอกไม้ที่ใช้สำหรับงานศพในเป่ยหลี ข้าเห็นทั่วทั้งโรงเตี๊ยมหลิงเทียนปกคลุมไปด้วยดอกเบญจมาศสีขาวแบบนั้นจึงเข้าใจผิดคิดว่าเจ้าบอกสถานที่ผิด ดังนั้นข้าจึงจับพลัดจับผลูมาที่โรงเตี๊ยมหลิงเฟิง” แม้เฟิงอู๋โยวจะพูดเช่นนี้ แต่มือทั้งสองข้างก็ยังคงลูบคลำสำรวจร่างกายของจวินมั่วหรันไม่หยุด
จวินมั่วหรันขมวดคิ้วเล็กน้อยและเอ่ยเสียงทุ้ม “ข้าบอกให้เถี่ยโส่วซื้อดอกไม้มาตกแต่งสร้างบรรยากาศ แต่ไม่ได้ใส่ใจว่าเขาซื้อดอกไม้อะไรมา”
เฟิงอู๋โยวหัวเราะเบาๆ “ไม่น่าแปลกใจเลย”
ก่อนหน้านี้นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดจวินมั่วหรันถึงประกับกำแพงด้วยดอกเบญจมาศสีขาว
เมื่อได้ยินว่ากำแพงดอกเบญจมาศสีขาวเป็นผลงานชิ้นเอกของเถี่ยโส่ว เฟิงอู๋โยวก็เข้าใจอย่างกระจ่างขึ้นทันที
เถี่ยโส่วไม่น่าไว้ใจมาโดยตลอด ไม่มีใครรู้หรอกว่าเขาสามารถทำเรื่องขายหน้าได้มากแค่ไหน
ถึงต่อให้เป็นเช่นนั้น เฟิงอู๋โยวก็ยังไม่เข้าใจ นางคิดอยู่เสมอว่าในเมื่อเถี่ยโส่วสามารถอยู่เคียงข้างจวินมั่วหรันได้ เขาคงไม่แย่ถึงขนาดจัดการเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ไม่ได้หรอกกระมัง
พอคิดไปคิดมา จวินมั่วหรันน่าจะรู้จักเถี่ยโส่วดีกว่านาง ขนาดเขายังไม่คิดว่าเถี่ยโส่วแปลกประหลาดเลย ดูเหมือนว่านางน่าจะขี้สงสัยและคิดมากเกินไป
เมื่อเฟิงอู๋โยวตั้งสติกลับมาได้ มือเรียวๆ ของนางก็เริ่มปลดกระดุมตรงสาบเสื้อสีดำบนตัวนาง “มั่วหรัน เป็นเพราะเจ้าเคยเห็นสตรีอวบอึ๋มมาชินตา เจ้าจึงไม่สนใจข้ากระนั้นหรือ”
จวินมั่วหรันไม่คิดว่าเฟิงอู๋โยวจะพูดวกกลับมาเรื่องเดิม
มันไม่ง่ายเลยที่เขาจะตัดสินใจเก็บครั้งแรกของพวกเขาไว้จนกว่าจะถึงคืนวันอภิเษกสมรส แต่นางกลับไม่หยุด ราวกับว่าทุกๆการกระทำของเขาเหมือนเป็นการจุดไฟให้ตัวเองมากขึ้น
“เด็กดี หยุดหาเรื่องกันได้แล้ว”
จวินมั่วหรันจับมือของนางที่อยู่ไม่สุขเอาไว้ เสียงของเขาแหบแห้งมาก
เฟิงอู๋โยวคว่ำปากก่อนลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและผลักเขาออกไป “จวินมั่วหรัน ถ้าเจ้าไม่ยอมก็ย่อมมีคนยอม! เจ้าคงไม่รู้ว่าไป่หลี่เหอเจ๋อได้คัดสรรบุรุษรูปงามมาคอยปรนเปรอข้าถึงหกคน”
ก่อนที่นางจะพูดจบ เสียงบุรุษอันไพเราะก็ดังมาจากด้านนอกประตู
“ท่านชายเฟิง บ่าวได้รับคำสั่งมาจากท่านราชครูไป๋หลี่ จากนี้ไปข้าน้อยจะรับใช้ท่านอย่างสุดใจและสุดกำลังขอรับ”
“ท่านชายเฟิงต้องการให้บ่าวปรนนิบัติข้างกายหรือไม่ขอรับ”
“ท่านชาย พวกบ่าวขอเข้าไปได้หรือไม่ขอรับ”