ตอนที่ 354 ข้าสามขวบ / ตอนที่ 355 ข้ามสะพานเซียน
ตอนที่ 354 ข้าสามขวบ
ณ ภูเขาด้านหลังสุสาน
ท้องฟ้ามืดครึ้ม ทางเดินเล็กๆ บนภูเขาที่ไร้ผู้คนมีลมหนาวพัดมาเป็นระลอก หนาวเย็นเข้ากระดูกราวกับผีภูเขากำลังขบฟันดูดเลือดอยู่ข้างโสต ชวนให้ผู้คนหวาดหวั่นสั่นสะท้าน
ดวงจันทร์โดดเดี่ยวเยือกเย็นและเงียบเหงา ส่องแสงสีฟ้าจางราวกับนัยน์ตาปีศาจขนาดใหญ่อันลึกล้ำ สร้างบรรยากาศชวนขู่ขวัญ
เสียงร้องของอีกาดังขึ้นเป็นระยะๆ บินวนเวียนอย่างอ้อยอิ่งอยู่บนกิ่งไม้แห้งเหี่ยว มันมักเคลื่อนไหวฉับพลันเหนือความคาดหมาย ทำให้ทั้งสัตว์ปีนและสัตว์เดินดินตกใจหนีกระเจิดกระเจิง
เฟิงอู๋โยวรีบสาวเท้าเดินไปที่สุสานอย่างรวดเร็ว ดวงตาทรงดอกท้ออันเฉียบคมผุดแววร้อนรนใจ นางกวาดมองไปยังสุสานร้างที่ถอดเรียงเป็นแถว
“จุยเฟิง เจ้าอยู่ไหน”
ทันใดนั้น ด้านหลังสุสานร้างที่อยู่ด้านหน้าออกไปไม่ไกล มีเสียงผู้ชายเล็กบางเจือแววซื่อๆ ดังลอยมา
เสียงนั้นฟังดูบริสุทธิ์และน่าดึงดูดเป็นยิ่งนัก เหมือนกับเสียงของจวินมั่วหรันที่สุด
ดวงตาของเฟิงอู๋โยวเป็นประกายทันที นางก้าวเดินตามเสียงไปอย่างรวดเร็ว
ตอนที่เดินอ้อมสุสานร้าง สายตาก็พลันจดจ้องไปยังจวินมั่วหรันที่นั่งขดตัวสั่นระริกไปทั่วทั้งตัวอยู่หน้าป้ายหลุมศพ จวินมั่วหรันจ้องนางอย่างหวาดระแวงเช่นกัน
เขาพูดเสียงเย็น “ขืนก้าวเข้ามาใกล้อีกก้าวเดียว ข้าจะบดขยี้เจ้าให้เละเป็นขี้โคลนเลย!”
ทันทีที่พูดจบ จวินมั่วหรันก็ชักดาบสะบั้นมังกรออกมาจากเอว ดาบคมกริบชี้ตรงไปยังปลายจมูกของเฟิงอู๋โยว
เฟิงอู๋โยวยื่นนิ้วสองนิ้วออกไป คีบใบดาบออกเบาๆ
นางจ้องมองสีหน้าที่ตื่นกลัวจนซีดเซียวของจวินมั่วหรัน เหมือนกับได้เห็นท่าทางอับจนหนทางของจวินมั่วหรันตอนที่ถูกข้าศึกตามฆ่าอย่างน่าเวทนาเมื่อหลายปีก่อน เห็นแล้วสงสารจับใจ
“ไม่ต้องกลัว ข้าไม่ใช่คนเลว”
เฟิงอู๋โยวค่อยๆ ย่อตัวลง จ้องมองเขาตาแน่นิ่งพร้อมเอ่ยเสียงอ่อนโยน “บอกข้าได้หรือไม่ ว่าเจ้าชื่ออะไร”
“จวินไป๋หรัน”
“อายุกี่ขวบแล้ว” เฟิงอู๋โยวลูบผมดำขลับของเขาอย่างเบามือ จากนั้นก็คว้าเขามากอดไว้ในอ้อมแขน
“สามขวบ”
“…”
มุมปากของเฟิงอู๋โยวเกร็งกระตุก อยู่ๆ ก็รู้สึกประหลาดใจกลับคำพูดที่เขาเปล่งขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“กลับไปที่ตำหนักเซ่อเจิ้งหวางกับพี่นะ”
เมื่อเปรียบเทียบบุคลิกอื่นอย่างจวินหงหรันกับจวินหลานหรัน เฟิงอู๋โยวมีความอดทนต่อจวินไป๋หรันมากกว่าหน่อย
จวินไป๋หรันเม้มริมฝีปากเรียวบางแน่น ก่อนตอบอย่างเขินอาย “ข้ายังเดินไม่เป็น”
“…”
เฟิงอู๋โยวราวกับถูกสายฟ้าฟาด นางรู้แค่ว่าจวินไป๋หรันสติปัญญาเหมือนเด็กน้อย แต่คิดไม่ถึงว่า ความสามารถในการสะกดจิตตัวเองของเขาจะกล้าแกร่งขนาดนี้!
จวินไป๋หรันมองเฟิงอู๋โยวด้วยสายน่าสงสาร ดึงแขนเสื้อของนางอย่างระมัดระวัง “พี่ชาย ข้าเดินไม่เป็น”
“ได้! พี่จะแบกเจ้าเอง”
เฟิงอู๋โยวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก หันกลับไปยกเขาขึ้นพาดบ่า “เกาะดีๆ!”
“พี่ชาย ไฉนถึงตัวเตี้ยเช่นนี้ ยังสูงไม่เท่าข้าเลย!”
“คงเป็นเพราะถูกภาระอันหนักอึ้งของชีวิตกดทับจนเอวโค้งงอกระมัง”
“พี่ชาย ข้าหิวแล้ว”
จวินไป๋หรันพูดพลางเอียงศีรษะ ดวงตาใสแวววาวทั้งสองข้างจ้องที่บริเวณสาบเสื้อด้านหน้าของเฟิงอู๋โยว “พี่ชาย ข้าขอกินได้หรือไม่”
“ไม่ได้ อดทนไว้!”
เฟิงอู๋โยวจนปัญญา นางมองจวินมั่วหรันที่ดูหยิ่งยโสและสันโดษด้วยสายตาไม่เข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นบุคลิกหลักหรือว่าบุคลิกรองของเขา ไฉนจึงเอาเปรียบนางอยู่เสมอ!
จวินไป๋หรันไม่พอใจ แต่เมื่อไม่ได้รับการอนุญาตจากเฟิงอู๋โยว เขาจึงทำได้แค่ซบอยู่บนหลังของเฟิงอู๋โยวอย่างเชื่อฟัง
มือทั้งสองข้างของเฟิงอู๋โยวรับน้ำหนักของจวินมั่วหรัน เพื่อป้องกันการบาดเจ็บที่เกิดจากการลากเท้าไปกับพื้น นางต้องอุ้มร่างกายของเขาด้วยแรงทั้งหมดที่มีและก้าวเดินไปอย่างยากลำบาก
เดินไปจนถึงด้านหน้าหลุมศพเก่าหลุมหนึ่ง เฟิงอู๋โยวกวาดสายตามองดินสีแดงด้านหน้าหลุมศพที่ร่วนเล็กน้อย ภายในใจคิดว่าที่นี่คงจะเป็นสถานที่ที่แอบซ่อนตราพยัคฆ์แห่งแคว้นหยุนฉิน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เฟิงอู๋โยวก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบอุ้มจวินไป๋หรันไปวางไว้บนเนินสุสาน และพูดเกลี่ยกล่อมเขาด้วยน้ำเสียงไพเราะ “รออยู่ที่นี่เฉยๆ นะ! พี่ขุดหลุมศพลูกนี้เสร็จ จะพาเจ้าไปกินให้อิ่มหนำสำราญเลย”
ตอนที่ 355 ข้ามสะพานเซียน
จวินไป๋หรันพยักหน้าอย่างงุนงงและตอบอย่างเชื่อฟัง “ให้ท่านพี่เป็นคนตัดสินใจ”
แต่อันที่จริง เขาอยากลิ้มรสของเฟิงอู๋โยวมากกว่า
แม้ว่าในจิตใต้สำนึกของจวินไป๋หรันจะอายุเพียงสามขวบ แต่ความรักที่เขามีต่อเฟิงอู๋โยว ดูเหมือนจะติดตัวเขามาตั้งแต่กำเนิด
เมื่อรักแล้วก็ยากจะถอดถอน
เฟิงอู๋โยวนั่งลง ถกแขนเสื้อขึ้นและพยายามขุดดิน
จวินไป๋หรันยกมือสองข้างเท้าคาง ดวงตาเปล่งประกายดุจดวงดาว พูดขึ้นเสียงเบา “ท่านพี่ อย่าทำลายแขนที่บอบบางราวรากบัวอ่อนของท่านเลย หากต้องการขุดดิน จงออกแรงที่ขาทั้งสองข้างตะกุยจากด้านหลังเหมือนหมา
เหมือนหมา? !
จวินไป๋หรันจะให้ข้าเลียนแบบหมา!
ล้อเล่นอะไรกัน ถ้าไม่เห็นแก่สติสัมปชัญญะที่ยังเป็นเด็กของเขา นางจะเถียงคอเป็นเอ็นกับเขา
เฟิงอู๋โยวได้แต่ส่ายหัวและขุดดินต่อไปอย่างเงียบๆ
ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที ในที่สุดนางก็ขุดจนเห็นโลงศพ
“ท่านพี่ เรานอนเล่นซ่อนหาในนั้นดีหรือไม่”
“ทั้งเหม็นทั้งมืด มีอะไรน่านอนเล่น ถ้าเจ้าอยากซ่อน ข้าจะให้เจ้าซ่อนหลังจากกลับถึงตำหนักเซ่อเจิ้งหวางแล้ว”
เฟิงอู๋โยวอมยิ้ม อยู่ๆ นางก็รู้สึกว่าจวินไป๋หรันที่ไร้เดียงสาน่ารักมาก
ตัวสูงแปดศอกกว่า ยังมีหน้าทำเสียงเหมือนเด็กแล้วอ้างว่าตัวเองอายุแค่สามขวบ
แค่คิดก็อดหัวเราะไม่ได้
เมื่อเฟิงอู๋โยวไม่อนุญาต จวินไป๋หรันก็คว่ำปากอย่างรู้สึกน้อยใจ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ เขาใช้มือดึงหญ้าบนหลุมศพใส่บนศีรษะตัวเอง
ตอนนี้เฟิงอู๋โยวยุ่งจนไม่มีเวลาสนใจเขา
นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก ก่อนกระโดดลงไปในหลุม มือทิ้งสองข้างออกแรงดันฝาโลงที่เต็มไปด้วยกลิ่นดินออกไปข้างๆ
เดิมทีคิดว่าด้วยความเร็วของนางน่าจะนำหน้าหยุนเฟยไป๋ได้หนึ่งก้าว จนสามารถชิงตราพยัคฆ์แห่งแคว้นหยุนฉินได้
คิดไม่ถึงว่าในโลงว่างเปล่าไร้เงาตราพยัคฆ์ ไม่มีแม้แต่เส้นผมสักเส้นเดียว
เฟิงอู๋โยวตบต้นขาของตัวเองพร้อมถอนหายใจอย่างเสียดาย “ให้ตายเถอะ! ช้าไปหนึ่งก้าว”
จวินไป๋หรันมองหน้าที่ซีดลงฉับพลันของเฟิงอู๋โยว ภายในใจนึกอยากทำให้นางมีความสุข
เขาปีนลงไปในหลุมฝังศพอย่างระมัดระวัง แต่ก็กลิ้งตกลงในโลงเสียงดัง “ปัง”
“ท่านพี่ ท่านยังมีข้า”
จวินไป๋หรันเดาว่าเฟิงอู๋โยวคงจะผิดหวังเพราะในโลงว่างเปล่า
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เขาทำตัวเองให้เป็นสมบัติในโลง
เห็นจวินไป๋หรันที่นอนในโลงและเอามือจับจมูกไว้แน่นเพราะกลิ่นที่เน่าเหม็น ทำเอาเฟิงอู๋โยวพูดไม่ออก แต่ก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ
จวินไป๋หรันที่บ๊องๆ ก็อบอุ่นอยู่เหมือนกัน
“ไป๋หรัน ไฉนเจ้าถึงไว้ใจข้าถึงขนาดนี้”
เฟิงอู๋โยวถามเขาอย่างไม่เข้าใจ สำหรับจวินไป๋หรัน พวกเขาเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
ดังนั้น เฟิงอู๋โยวจึงรู้สึกสงสัยเป็นอย่างยิ่งนักว่าความไว้ใจที่จวินไป๋หรันมีให้นางมาจากไหน
จวินไป๋หรันอมยิ้ม ใบหน้าของเขาสดใสเป็นประกาย รอยยิ้มชวนให้รู้สึกถึงสายลมแห่งวสันต์ฤดู
เขาหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบอย่างเคร่งขรึม “ข้ารู้สึกเหมือนเคยเห็นท่านพี่ในความฝัน”
“จริงหรือ”
ความสุขผุดขึ้นในใจของเฟิงอู๋โยว นางรู้ดีว่าสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคหลายบุคลิก ทุกครั้งที่เปลี่ยนบุคลิกภาพ นั่นหมายถึงการสูญเสียความทรงจำเกี่ยวกับบุคลิกภาพอื่นๆ
สาเหตุที่จวินไป๋หรันอยากใกล้ชิดนางน่าจะเป็นเพราะได้รับอิทธิพลจากความปรารถนาของจวินมั่วหรัน
“ใช่”
จวินไป๋หรันพยักหน้าระรัว จากนั้นก็ยื่นมือเรียวยาวได้รูปลูบท้องน้อยตัวเอง “ท่านพี่ ให้ข้ากินสักคำได้หรือไม่ ข้าหิว”
เฟิงอู๋โยวเห็นสายตาของเขามองมาทีคอเสื้อของตัวเอง จึงรีบปิดคอเสื้ออย่างไม่รีบร้อน “ไม่ได้”
“เพราะเหตุใด”
“ไม่สะอาด กินแล้วจะไม่สบาย” เฟิงอู๋โยวยกนิ้วป้องปากให้หยุดพูดและพูดหลอกเขา
“ท่านพี่โกหก! ไม่สะอาดก็กินได้ ไม่ป่วย”
เฟิงอู๋โยวเอามือก่ายหน้าผาก นางไม่อยากเถียงเรื่องนี้กับจวินไป๋หรันอีก จึงเปลี่ยนเรื่องคุยใหม่ “รีบขึ้นมา ข้าจะพาเจ้ากลับไปอาบน้ำชำระร่างกาย”
“ท่านพี่ ข้าอายุแค่สามขวบ ขึ้นไปเองไม่ได้” จวินไป๋หรันกางแขนอันเรียวยาวออกเพื่อให้เฟิงอู๋โยวอุ้มเขา
สุดท้าย เฟิงอู๋โยวทำได้เพียงกระโดดลงไปในโลงเพราะไม่มีทางเลือก และทำท่าจะอุ้มจวินมั่วหรันขึ้น
กึก!
ขนาดโลงไม่ได้กว้างนัก และทันทีที่นางย่อตัวลง ศอกของนางก็ชนเข้ากับฝาโลง
กึกๆๆ!
เฟิงอู๋โยวขมวดคิ้วเล็กน้อย หันกลับมาดูด้วยความสงสัย และเคาะบนฝาโลงที่เต็มไปด้วยสนิม
ไม่ถูกต้อง!
ปกติการฝังโลงเดี่ยวควรกลบปิดทั้งสี่ด้านด้วยดิน
นางเคาะฝาโลงอีกครั้ง ได้ยินเสียงสะท้อนกลับ เหมือนมีช่องว่างหลังฝาโลง
หรือว่าอีกด้านของฝาโลงจะติดกับโลงอีกใบ
ก่อนหน้านี้ เฟิงอู๋โยวเคยได้ยินมาว่าการฝังศพคู่สามีภรรยามักจะมีช่องเล็กๆ ระหว่างโลงทั้งสองใบ หรือที่เรียกกันว่า ‘สะพานเซียน[1]’
ถ้ามีโลงอีกใบซ่อนอยู่ที่อีกด้านของโลงศพจริง ตราพยัคฆ์แห่งแคว้นหยุนฉินที่ถูกหยุนเฟยไป๋ชิงไปน่าจะเป็นของปลอม
ตราพยัคฆ์แห่งแคว้นหยุนฉินของจริงน่าจะอยู่ในโลงอีกใบ
ไฟแห่งความหวังจุดประกายขึ้นภายในใจของเฟิงอู๋โยวอีกครั้ง
นางใช้เท้าถีบฝาโลงสองสามครั้งจนเป็นรู
เป็นไปอย่างที่คิด!
อีกด้านหนึ่งของโลงศพมีโลงอีกใบจริงๆ
สิ่งที่น่ายินดียิ่งกว่าคือหยุนเฟยไป๋พบตราพยัคฆ์แห่งแคว้นหยุนฉินของจริง
เฟิงอู๋โยวถือตราพยัคฆ์แห่งแคว้นหยุนฉินในมือ ยิ้มอย่างมีความสุข “ต้องขอบคุณความรอบคอบของท่านพี่ที่ซ่อนตราพยัคฆ์ไว้อย่างดี!”
[1]สะพานเซียน หมายถึง ในสมัยโบราณจะมีช่องคล้ายหน้าต่างเล็กๆ ระหว่างโลงศพของสามีภรรยา เป็นความหวังว่าชาติหน้าจะได้กลับมาแต่งงานกันอีก