ตอนที่ 410 ได้ลูกพี่ลูกน้องเพิ่มมาอีกหนึ่งคน
เฟิงอู๋โยวพูดขึ้นอย่างเย้าหยอก “เช่นนั้นจะรอเจ้าสองวัน”
ขณะหันกลับไป นางก็ลอบถอนหายใจ
เดิมทีนางคิดว่า หากปล่อยให้จวินมั่วหรันพบว่าร่างกายอันมีตำหนิของนาง เขาจะต้องโกรธจัด จนอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตก็เป็นได้
ยังดีที่เขาดูอารมณ์ดีและไม่โกรธ
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางก็ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะโมโหเดือดดาลในคืนแรกที่ส่งตัวเข้าหอ
อันที่จริงตอนที่จวินมั่วหรันได้ยินว่าเฟิงอู๋โยวเคยพบเจอเรื่องไม่ดีมาก็รู้สึกโกรธ
เขาคิดในใจ คนที่ลงมือวางยาพิษเฟิงอู๋โยวอย่างเหี้ยมโหดซ้ำแล้วซ้ำเล่า นอกจากเป่ยถางหลีอินแล้วก็คงไม่มีคนอื่น
ในเมื่อเป่ยถางหลีอินกล้าวางโอสถปลุกกำหนัดเฟิงอู๋โยว เขาก็ยินดีที่ทำให้นางได้ชดใช้กลับเป็นร้อยเท่า
“แม่ทัพเฟิง ข้ารับใช้ผู้ต้อยต่ำไม่มีทางไปแล้ว ขอท่านได้โปรดรับผู้ต้อยต่ำเยี่ยงข้าไว้ด้วยเถิด!”
ด้านนอก หรงชุ่ยคุกเข่า ‘ผลุบ’ ลงพื้น ใบหน้าเป็นทุกข์ คำพูดคำจาน่าสงสาร
ดวงตาทรงกลีบดอกท้อของเฟิงอู๋โยวหยุดอยู่บนใบหน้าดอกสาลี่ต้องหยาดฝนอันละเอียดหมดจดของหรงชุ่ยอยู่ครู่หนึ่ง ปริปากเอ่ยขึ้น “เกิดอะไรขึ้น”
“นับวัน ท่านหญิงจวินก็ยิ่งอารมณ์ร้อนขึ้นเรื่อยๆ ครั้นรู้สึกไม่สบายตัว ก็ลงมือลงไม้กับข้ารับใช้ผู้ต้อยต่ำเยี่ยงข้า เมื่อวาน ท่านหญิงใช้เข็มปักผ้าแทงนิ้วทั้งสิบของข้าน้อย ทำเอานิ้วข้าน้อยระบมไปหมด ท่านแม่ทัพเฟิงเจ้าคะ ข้าน้อยทนต่อไปไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ ขอท่านโปรดเมตตาช่วยเหลือข้าน้อยด้วยเจ้าค่ะ”
คำพูดของหรงชุ่ยก็มีแต่เรื่องโกหก ตั้งแต่นางแกล้งตายแต่กลับโผล่หน้าออกมาเป็นพยานตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับจวินฝู จวินฝูก็มองนางว่าเป็นหนามในเนื้อ ตะปูในตา
ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงการดุด่าตบตีไม่ได้ไปโดยปริยาย
“จะอยู่ที่เรือนแพทย์พยากรณ์ก็ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่ถ้าข้ารู้ว่าเจ้าคิดไม่ซื่อ ข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่นอน”
ดวงตาของเฟิงอู๋โยวขยับไหว ภายในใจเริ่มรู้สึกระวังตัวขึ้นมา
หรงชุ่ยคิดไม่ถึงว่าเฟิงอู๋โยวจะพูดจาว่าง่ายเช่นนี้ จึงยิ้มร่า “ขอบพระคุณท่านแม่ทัพเฟิงสำหรับการอุปการะเจ้าค่ะ!”
นางก้มศีรษะคำนับเฟิงอู๋โยวและพูดอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ “นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ข้าน้อยจะคอยรับใช้ปรนนิบัติแม่ทัพเฟิงจนกว่าชีวิตจะหาไม่เจ้าค่ะ”
“เรือนแพทย์พยากรณ์ไม่ได้มีกฎระเบียบมากมายอะไร ไม่จำเป็นต้องแสดงความเคารพขนาดนั้นก็ได้”
เฟิงอู๋โยวพูดขึ้นอย่างหน่ายอารมณ์ นางสังเกตเห็นแววเจ้าเล่ห์ที่ผุดขึ้นในดวงตาของหรงชุ่ย ก็รู้สึกปวดขมับขึ้นมาทันที
หลังจากทะลุมิติมา นางไม่เคยทำเรื่องล่วงเกินกฎแห่งสวรรค์อะไรทั้งนั้น
ไฉนถึงมีผู้คนจ้องเล่นงานนางมากมายขนาดนี้
มือของจวินมั่วหรันยื่นเข้ามาโอบเอวเล็กบางของนางพลางเอ่ยเสียงขรึม “ไม่ต้องคิดมาก ข้าจะจัดการอย่างเหมาะสม เรื่องสำคัญเร่งด่วนในตอนนี้คือดูแลรักษาร่างกายให้ดีและคลอดบุตรีผู้ขาวนวลดุจหยกละเอียดให้ข้า”
“น่าไม่อาย ใครจะคลอดบุตรให้เจ้า”
“ปากไม่ตรงกับใจ ยั่วยวนข้าทั้งคืนยังบอกว่าไม่อยากคลอดบุตรให้ข้าอีก! ข้างหูของข้ายังมีเสียงครางกระเส่าของเจ้าวนเวียนอยู่เลย อย่ามัวทำเฉไฉ”
“พูดจามั่วซั่ว! ข้าเคยครางเสียงกระเส่าเมื่อไหร่ เจ้าจงเอาหลักฐานออกมา!”
เฟิงอู๋โยวอับอายจนโกรธ ยกเท้าแตะก้นจวินมั่วหรันหนึ่งที จากนั้นก็ลากเขาออกจากห้อง
“เจ้าหมา! ข้าไม่เคยครางเสียงกระเส่า! ไม่เคย!”
เฟิงอู๋โยวปั้นสีหน้าไม่ถูก นางพูดขึ้นพลางปิดประตูสนิทดัง ‘ปึ่ง’
จวินมั่วหรันหงุดหงิดขึ้นเล็กน้อย นอกจากเฟิงอู๋โยวแล้วก็ไม่เคยมีใครกล้าทำกับเขาเช่นนี้
หากเป็นเมื่อหลายเดือนก่อนหน้านี้ เฟิงอู๋โยวคงถูกเขาตีตายไปตั้งนานแล้ว
เขาในตอนนี้ไม่มีความคิดจะลงไม้ลงมือกับนางแม้แต่น้อย
ในสายตาเขาแล้ว นางก็เป็นแมวแม่ลูกอ่อนจอมเกรี้ยวกราดที่กางเล็บแยกเขี้ยว
แม้จะชอบวางท่าเข้มแข็ง แต่อันที่จริงก็มีด้านที่อ่อนโยนของนางอยู่
ตอนนี้ รุ่งสางเผยตัว แสงอรุณสาดส่องทั่วนภา
เป่ยถางหลงถิงตื่นเช้า ดวงตาทั้งสองข้างเป็นประกาย เดินเข้าเรือนแพทย์พยากรณ์อย่างกระปรี้กระเปร่า
เขาเห็นจวินมั่วหรันที่ถูกเฟิงอู๋โยวผลักออกจากห้องก็ขมวดคิ้วแน่นและรีบจ้ำเท้าบึ่งเข้าไปด้านหน้าจวินมั่วหรันพร้อมพูดขึ้นอย่างโมโห “เจ้าทำอะไรนิวนิวของข้า บุรุษยังมิแต่งงาน สตรียังไม่ออกเรือน จะอยู่ร่วมห้องกันได้เยี่ยงไร”
“ข้าจะรับผิดชอบ”
ริมฝีปากเรียวบางของจวินมั่วหรันปริเอ่ย น้ำเสียงพร่าแหบเจือแววเกียจคร้าน
เมื่อคืน เฟิงอู๋โยวยั่วยวนจิตใจเขาจนฟุ้งซ่าน อารมณ์ของเขาถูกกระตุ้น แต่ก็พยายามใช้ตบะที่เหนือผู้คนสะกดความใคร่อยากภายในใจลง
ได้ยินเช่นนี้ เป่ยถางหลงถิงก็รู้สึกเกลียดชังเป็นที่สุด จึงสบถอย่างโมโห “สวะ!”
“…”
จวินมั่วหรันคิดในใจ หากเขาทำอะไรขึ้นมา แล้วจะต้องถอยเพราะเรื่องแค่นี้ด้วยหรือ
ยังไม่ทันได้อธิบายอะไร เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเฟิงอู๋โยวใกล้จะออกเรือนแล้ว อยู่ๆ เป่ยถางหลงถิงก็ขอบตาแดงเรื่อ
สีหน้าของเขาเคร่งขรึมลง พูดขึ้นอย่างอยู่ในครรลองครองธรรม “เจ้าหนูขี้หน้าเหม็น ห้ามกลั่นแกล้งนิวนิวเด็ดขาด นางอาจจะไม่บอบบาง อาจจะไม่ออดอ้อนเอาใจเหมือนสตรีอื่น แต่ในเมื่อเจ้าตัดสินใจจะร่วมชีวิตกับนางไปตลอดชีวิตแล้ว ก็ควรปฏิบัติกับนางอย่างรักเดียวใจเดียว”
“ดูเหมือนคนที่ทำให้นางผิดหวังจะไม่ใช่ข้า”
จวินมั่วหรันโต้อย่างมีเหตุผล เป่ยถางหลงถิงเคยลงไม่ลงมือกับเฟิงอู๋โยว ถ้าเขาไม่เห็นแก่เฟิงอู๋โยว ป่านนี้เขาตัดแขนเป่ยถางหลงถิงทิ้งไปตั้งนานแล้ว
“เจ้า!”
เป่ยถางหลงถิงถูกจวินมั่วหรันยั่วโมโห แต่ก็ไร้ทางโต้ตอบ
เพราะว่ามันเป็นความจริง
“ลูกพี่ลูกน้องอู๋โยวมีเจ้าในใจจริงๆ หรือเนี่ย! เสียแรงที่ข้ามองเจ้าเหมือนเพื่อนสนิทและเชื่อใจเจ้า นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะปิดบังข้ามาหลายปีขนาดนี้”
ในตอนนี้เอง หลิงเทียนฉีก็พาคนรับใช้กลุ่มหนึ่งเข้ามาในเรือนแพทย์พยากรณ์ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
เขาชี้นิ้วสั่งคนรับใช้ที่อยู่ด้านหลังให้วางของกำนัลหลายกล่องที่หลิงซงไป่กำชับกับเขาอย่างหนักหนาว่าต้องมอบให้เฟิงอู๋โยวให้ได้ พร้อมกับพยักเพยิดใส่จวินมั่วหรัน
จวินมั่วหรันมองหลิงเทียนฉีอย่างไม่สบอารมณ์พลางเอ่ยเสียงเย็น “อู๋โยวมีลูกพี่ลูกน้องตั้งแต่เมื่อไหร่”
ใบหน้าหลิงเทียนฉีผุดรอบยิ้มบางๆ ก่อนอธิบายอย่างอดทน “เซ่อเจิ้งหวางอย่าได้กังวล ข้าไม่ได้มาแย่งคนจากท่าน อู๋โยวไม่ได้เป็นแค่องค์แห่งแคว้นเป่ยหลีเท่านั้น แต่ยังเป็นบุตรีแห่งตระกูลหลิงของพวกเราอีกด้วย วันนี้ข้าได้รับคำสั่งจากท่านพ่อให้นำของกำนัลพวกนี้มามอบให้ลูกพี่ลูกน้อง เพื่อแสดงความยินดีกับลูกพี่ลูกน้องที่จะได้อภิเษกสมรส”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้ ข้ายังมีเรื่องสำคัญต้องทำ เอาไว้ยามว่างวันหลังค่อยร่วมต้มเหล่าบ่มชา[1]กระดกจอกสุราดื่มพูดคุยกับท่านพี่”
ครั้นได้ยินคำพูดเตือนสติของหลิงเทียนฉี จวินมั่วหรันก็นึกขึ้นมาได้ว่าเฟิงอู๋โยวยังมีท่านลุงที่เป็นถึงอัครเสนาบดีฝ่ายขวาอยู่ที่แคว้นเป่ยหลีอีกหนึ่งคน
ได้ยินมาว่าหลิงซงไป่เป็นคนยุติธรรมเที่ยงตรงและพยายามทวงคืนความยุติธรรมให้เฟิงอู๋โยวหลายครั้ง
ตระกูลหลิงคือตระกูลของแม่เฟิงอู๋โยว ดังนั้นเขาต้องเกรงใจหลิงเทียนฉีไปโดยปริยาย
ครั้นจวินมั่วหรันสะบัดชายแขนเสื้อจากไป หลิงเทียนฉียังคงยืนนิ่งไม่ได้สติกับที่อยู่นาน
“เซ่อเจิ้งหวางเอ่ยปากเรียกข้าว่าท่านพี่?”
หลิงเทียนฉีหยิกหน้าตัวเองอย่างไม่อยากเชื่อ หลังจากตระหนักได้ว่าไม่ใช่ความฝันก็ยิ้มอย่างดีใจยกใหญ่
เขาไม่คิดว่าไม่ฝันว่าเทพสงครามผู้ดุดันแห่งแคว้นตงหลินจะเรียกเขาว่าท่านพี่!
เป่ยถางหลงถิงรู้สึกอิจฉาขึ้นในใจ เขาคิดในใจว่าหากจวินมั่วหรันยอมเรียกเขาว่า ‘พ่อตา’ เขาก็จะเอ็นดูจวินมั่วหรันเหมือนบุตรชายในตระกูลคนหนึ่ง
[1]ต้มเหล่าบ่มชา หมายถึงดื่มด่ำกับชีวิต