ตอนที่ 28 เข้าวัง (รีไรท์)
ตอนที่ 28 เข้าวัง (รีไรท์)
หวังกงกงมองเด็กน้อยอย่างเอ็นดู ดวงตาเปียกรื้น เขาที่เป็นขันทีจะบังอาจให้จวิ้นจู่เรียกว่าปู่ได้อย่างไร แต่จวิ้นจู่น้อยคนนี้ช่างน่ารักมากจริง ๆ ไม่เหมือนลูกหลานเชื้อพระวงศ์องค์อื่นที่เห็นเขาก็ชี้นิ้วสั่ง
“จวิ้นจู่น้อยดีกับบ่าวเกินไปแล้ว บ่าวขอบพระทัยในความกรุณาของพระองค์”
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ฟังจนสับสนมึนงง ไยนางถึงไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านปู่ผิวขาวอ้วนคนนี้พูดเลยสักคำ?
มู่ฉินเจินวางชามตะเกียบในมือลง อุ้มเจ้าปลาอ้วนตัวน้อยกลับไปนั่งที่โต๊ะอาหารดี ๆ “เด็กดี รีบกินข้าวเถิด เจ้าดูสิ พี่เจ้าใกล้จะกินหมดแล้ว”
คนตัวเล็กหันไปมองพี่ชายก็เห็นว่าจานข้าวของเขาเหลือข้าวไม่มากแล้วจริง ๆ จึงร้อนรนขึ้นมาทันที “ท่านพี่ ท่านรอน้องด้วยสิ!”
เสี่ยวฉวนเอ๋อร์ไม่พูดอะไร แต่กลับชะลอความเร็วในการกินลง และมองดูน้องสาวที่กินคำใหญ่เต็มคำเป็นครั้งคราว
นี่เป็นครั้งแรกที่หวังกงกงเห็นเด็กกินข้าวอย่างเชื่อฟังเช่นนี้ เวลานายน้อยในวังเหล่านั้นกินข้าวก็ต้องให้กลุ่มขันทีและนางกำนัลวิ่งไล่ป้อน
หลังจากดูเด็กทั้งสองกินข้าวจนพอใจแล้ว หวังกงกงก็ปอกเปลือกมันเทศย่างในมือตามที่เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์สอนเมื่อครู่
เปลือกสีขี้เถ้าถูกลอกออก เผยให้เห็นเนื้อสีแดงส้มข้างใน และส่งกลิ่นหอมหวานออกมา
หลังจากปอกเปลือกมันเทศเสร็จ เขาก็กัดคำเล็กไปก่อนเพื่อชิมรสชาติ แต่เมื่อมันเทศเข้าปาก เขาก็ตกใจ ไอ้ของหน้าตาอัปลักษณ์นี้กลับมีรสชาติดีเช่นนี้เชียว!
ทั้งนุ่มทั้งหอมหวาน ส่วนที่ไหม้นั้นจะหวานเป็นพิเศษ และส่งกลิ่นไหม้หอมหวนออกมา
หวังกงกงผู้ผ่านโลกมามากมายกลับมาเสียอาการต่อหน้ามันเทศย่างลูกเล็ก ๆ เขายัดมันเทศเข้าปากสองสามคำ รีบกลืนกินลงไปจนแทบจะทำให้ตัวเองสำลักตาย
เฉียวเยี่ยนรีบสั่งฮุ่ยเซียงรินชาให้เขา หวังกงกงดื่มชาจนหมด ในที่สุดก็คลายความรู้สึกฝืดคอ
ใบหน้าเขาแดงก่ำด้วยความลำบาก “บ่าวทำขายหน้าท่านอ๋องกับหวางเฟยแล้ว”
หลังจากชิมมันเทศย่างแล้ว เขาก็กินอาหารอย่างอื่นบนโต๊ะ เมื่อเขาชิมเนื้อสัตว์ตุ๋นสีแดงสดเข้าไป เขาก็ต้องตกใจอีกครั้ง
รสชาติแสนวิเศษนี้คืออะไรกัน?
มันให้ความรู้สึกชาลิ้นเล็กน้อย และเมื่อกินจนหมด ปากก็ร้อนเหมือนมีไฟลุกขึ้นมา แต่กลับหยุดกินไม่ได้
ฮื้อ ดูเหมือนต้องพาพ่อครัวประจำตำหนักอ๋องซู่กลับวังแล้ว! นี่มันอร่อยเกินไปแล้ว!
……
หลังจากกินข้าวเสร็จ เฉียวเยี่ยนก็ให้ฮุ่ยเซียงเก็บกวาดชามและตะเกียบ ส่วนนางกลับไปที่ห้องเก็บข้าวของเตรียมเข้าวัง
อวิ๋นเซียงถูกขายออกไปแล้ว และยังมีไอ้พวกตัวแสบสองสามคนในจวนถูกขายไปพร้อมกับนางด้วย หลังจากนางจากไป เฉียวเยี่ยนก็ไม่ให้ลุงฉูจัดคนมาให้อีก เพราะไม่ชินกับการให้คนอื่นคอยปรนนิบัติ
มู่ฉินเจินเองก็ไม่ชอบให้ใครเข้าใกล้ ดังนั้นภายในเรือนจิ่งเสวียน นอกจากฮุ่ยเซียงและเหล่าองครักษ์สองสามคนแล้วก็ไม่มีข้ารับใช้คนอื่นอีก
การไปค้างคืนในวังหลวง ของใช้ของเด็กสองคนต้องมีครบทุกอย่าง เสื้อผ้า แปรงสีฟัน แก้วน้ำ ขวดนมน้อย และเพื่อความปลอดภัย นางยังนำผ้าอ้อมไปเผื่อด้วยสองสามผืน
ตอนนี้เด็กทั้งสองยังดื่มนมผงอยู่ ซึ่งนางซื้อจากร้านค้าในระบบมาด้วยราคาสูงลิ่ว นอกจากนี้ยังให้อาหารเสริมที่จำเป็นต่อการพัฒนาสติปัญญาเด็กด้วย
ลูกทั้งสองเดินตามก้นแม่มา เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์เห็นผ้าอ้อมตัวเองที่ไม่เห็นมานานก็หยิบขึ้นมาหนึ่งผืนด้วยความดีใจ “กางเกงในของลูก!”
ครั้นเสี่ยวฉวนเอ๋อร์เห็นผ้าอ้อมก็รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย เขาอายุสามขวบแล้ว ยังต้องใส่ผ้าอ้อมอยู่อีกหรือ!
หลังจากเก็บข้าวของเสร็จแล้วออกมา ก็เห็นมู่ฉินเจินยืนอยู่หน้าประตูรอนางอยู่แล้ว นางเอ่ยอย่างสงสัยว่า “ท่านก็จะเข้าวังไปด้วยกันด้วยหรือ?”
มู่ฉินเจินพยักหน้า “พอดีเลย ข้ามีเรื่องจะปรึกษากับเสด็จพ่อ”
เฉียวเยี่ยนเงียบไป ไม่ถามอะไรมากความอีก และเมื่อนึกถึงเรื่องมันเทศ นางก็เอ่ยขึ้นว่า “ต้นกล้ามันเทศแตกหน่อแล้ว หากท่านต้องการรายงานต่อราชสำนัก ก็เอาไปรวมเป็นกำหนดการได้เลย”
ส่วนเรื่องพริก นางยังไม่ให้มู่ฉินเจินรายงานต่อราชสำนัก เพราะวางแผนจะใช้มันหาเงินอยู่
นางเพิ่งได้รับเมล็ดพริกมาจากระบบในปีนี้ และจำนวนพริกที่นางปลูกในตอนนี้ก็มีไม่มากนัก พริกที่ปลูกในบ้านไร่ล้วนเก็บมาไว้ที่เมืองหลวงและนำมาตากแดดทำเป็นเมล็ดพันธุ์ทั้งหมดแล้ว รอถึงต้นปีก็สามารถขยายการปลูกได้
……
ยามตะวันลับฟ้า ครอบครัวเฉียวเยี่ยนก็เข้ามาในวัง ฮ่องเต้ยังคงพิจารณาพระราชสาส์นอยู่ในห้องทรงพระอักษร หวังกงกงจึงพาสามแม่ลูกไปยังตำหนักฮองเฮา ขณะที่มู่ฉินเจินก็ไปปรึกษาเรื่องต่าง ๆ กับฮ่องเต้
ฮองเฮากำลังประทับอยู่ในตำหนัก ตั้งตารอเหล่าพระนัดดาของพระนางเข้ามาอยู่แล้ว เมื่อได้ยินนางกำนัลเข้ามารายงาน ก็เสด็จไปที่หน้าประตูต้อนรับเฉียวเยี่ยนและเด็ก ๆ ด้วยตัวเองอย่างมีความสุข
ทันทีที่ฮองเฮาเสด็จ ขันทีและนางกำนัลที่อยู่ด้านหลังก็ตามไปเป็นพรวน เมื่อเฉียวเยี่ยนเห็นความเอิกเกริกเช่นนี้ มุมปากก็กระตุกอย่างช่วยไม่ได้
ลูกทั้งสองชอบเสด็จย่าคนสวยของพวกเขามาก จึงก้าวขาสั้น ๆ วิ่งไปหา
คนหนึ่งตะโกนขึ้นว่า “หลาน ๆ ของข้า!”
ขณะที่เด็กทั้งสองตะโกนว่า “เสด็จย่า!”
เฉียวเยี่ยนรู้สึกว่าฉากนี้เหมือนกับสวี่เซียนและไป๋ซู่เจินพบกันที่สะพานหัก และนางคือหลวงจีนฝาไห่ที่ขัดขวางไม่ให้พวกเขาพบกัน[1] อย่างไรอย่างนั้น
ในที่สุดเด็กทั้งสองก็เข้าสู่อ้อมกอดของเสด็จย่า ฮองเฮาสูดกลิ่นน้ำนมบนตัวเด็กทั้งสองอย่างพึงพอใจ ราวกับปีศาจที่ดำรงชีวิตด้วยการดูดพลังหยาง
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ปากหวานเป็นพิเศษ นางโอบพระปรางค์ของฮองเฮาและหอมไปหลายฟอด “เสด็จย่าคนสวย ท่านคิดถึงหลานหรือไม่เจ้าคะ?”
ฮองเฮาได้ยินประโยคนั้นก็รู้สึกเบิกบานพระทัย “คิดถึงสิ! คิดถึงมาก ๆ ! ย่าเฝ้ารอเจ้าทั้งสองเข้าวังทุกวันเลย”
หลังจากเข้าไปในตำหนักแล้ว ฮองเฮาที่เจอเด็ก ๆ ได้ยากก็เริ่มจับมือพระสุณิสาอย่างเฉียวเยี่ยนมาอยู่ข้าง ๆ ตัวเองและพูดคุยเรื่องในชีวิตประจำวันอย่างสนิทสนม
“มู่ฉินเจิน เด็กคนนั้นไม่ได้รังแกเจ้าใช่หรือไม่? หากเขารังแก เจ้าไม่ต้องกลัว บอกแม่มาได้เลย แม่จะทุบตีเขาแทนเจ้าเอง!”
เฉียวเยี่ยนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ขอบพระทัยเสด็จแม่ เขามิได้รังแกหม่อมฉันเลยเพคะ”
“จริงสิเสด็จแม่ หม่อมฉันเตรียมของขวัญมาให้ท่านด้วย”
เฉียวเยี่ยนพูดจบก็ให้นางกำนัลคนหนึ่งนำกล่องเครื่องสำอางออกมาจากสัมภาระของนาง
เครื่องสำอางนี้นางใช้คะแนนซื้อกับระบบตัวน้อย เป็นแบรนด์ใหญ่ที่มีชื่อเสียงในยุคปัจจุบัน แต่น่าเสียดายที่มันแพงเกินไป เครื่องสำอางชุดหนึ่งต้องใช้คะแนนซื้อไปเกือบพันแต้ม!
ฮองเฮาทรงแย้มสรวลจนรอยย่นปรากฏขึ้นที่หางพระเนตร แล้วตรัสด้วยความรักความเมตตา “เจ้าพาเด็กเข้ามาในวังได้ ข้าก็พอใจมากแล้ว ไม่ต้องเตรียมของขวัญอะไรมาให้หรอก”
แม้พระนางจะกล่าวเช่นนี้ แต่เมื่อเฉียวเยี่ยนนำชุดเครื่องสำอางมาวางไว้ตรงหน้า พระนางก็ต้องประหลาดใจจนมิอาจละสายตาไปได้
เฉียวเยี่ยนยิ้ม เป็นอย่างที่คาดไว้จริง ๆ ไม่มีผู้หญิงคนไหนต้านทานเครื่องสำอางหรูหราได้หรอก
นางเปิดกล่องออกมา ข้างในมีขวดและกระปุกอยู่บางส่วน
“ขวดนี้เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวให้ชุ่มชื่น ใช้เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ส่วนขวดนี้คือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า…”
เฉียวเยี่ยนบอกประสิทธิภาพของเครื่องสำอางแต่ละขวดให้ฮองเฮาทราบ และยิ่งฮองเฮาทรงสดับก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้น พระเนตรเป็นประกายจนใกล้จะเปล่งแสงออกมาแล้ว
โดยเฉพาะลิปสติกสองสามแท่งนั้น พระนางแทบอยากลองใช้มันทันที ชาดที่พระนางใช้ปกติทุกวันนั้นมีคุณภาพดีที่สุดในรัชสมัยเทียนลี่แล้ว แต่เมื่อเทียบสีของชาดเหล่านั้นกับของขวัญชิ้นนี้ มันก็แทบจะไม่เข้าตาเลย
เฉียวเยี่ยนเห็นความคาดหวังในแววตาของฮองเฮา จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เสด็จแม่ ฝีมือการแต่งหน้าของหม่อมฉันนั้นไม่เลวเลย ให้หม่อมฉันลองแต่งให้ดีหรือไม่เพคะ?”
ฮองเฮาพยักพระพักตร์หลายครั้ง เรียกนางกำนัลเตรียมน้ำอุ่นมาเพื่อล้างหน้าทันที
หลังจากล้างพระพักตร์ให้ฮองเฮาเสร็จสิ้น เฉียวเยี่ยนก็เริ่มแต่งหน้าให้อีกฝ่าย ลูกทั้งสองหมอบอยู่ข้าง ๆ มองท่านแม่แต่งหน้าอย่างตั้งใจ มองรูปโฉมเสด็จย่าที่เปลี่ยนไปทีละนิด และตกใจจนอ้าปากค้าง
ราว ๆ หนึ่งก้านธูป เฉียวเยี่ยนก็แต่งหน้าจนเสร็จ จากนั้นก็เลือกหยิบลิปสติกสีสว่างมาทาให้พระนาง ราศีบนพระพักตร์ฮองเฮาพลันเปลี่ยนไปทันที
“เสร็จแล้วเพคะ เสด็จแม่ ท่านดูสิเพคะว่าพอใจหรือไม่?”
ฮองเฮาส่องกระจกสัมฤทธิ์ดูอย่างถี่ถ้วน และชมด้วยความประหลาดใจซ้ำ ๆ “เสี่ยวเยี่ยน ฝีมือของเจ้าช่างยอดเยี่ยมนัก ชั่วครู่เดียวก็ทำให้ข้าดูเด็กลงไปสิบกว่าปี!”
อีกทั้งแป้งและชาดชุดนี้ก็เหมาะมากด้วย หลังจากทารองพื้นแล้วก็กลืนเป็นสีเดียวกับสีผิว ไม่ขาววอกจนเกินไป
[1] ตัวละครและเหตุการณ์จากเรื่อง ตำนานนางพญางูขาว
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ทำคะแนนผ่านฮองเฮาได้แล้ว ทีนี้จะขออะไรก็ทางสะดวกแล้วล่ะเฉียวเยี่ยน
ไหหม่า(海馬)