ตอนที่ 37 เริ่มงานเรือนกระจก ฝึกอบรมคนงาน (รีไรท์)
ตอนที่ 37 เริ่มงานเรือนกระจก ฝึกอบรมคนงาน (รีไรท์)
เฉียวเยี่ยนเพาะต้นกล้ามากมาย ไม่ว่าจะเป็นกล้ามะเขือเทศ กล้าแตงกวา ผักกาดขาว ผักปวยเล้ง…
ต้นกล้าที่มีปริมาณมากที่สุดก็คือกล้าพริก นางหว่านเมล็ดพริกที่เก็บไว้อย่างดีทั้งหมดไปแล้ว เมื่อเก็บเกี่ยวพริกฤดูแรกได้ นางก็จะหาคนมาปรับปรุงกิจการหอฮวาอวิ้นเสียใหม่ แล้วก็ขายหม้อไฟ
มู่ฉินเจินรู้สึกแปลกใจกับเรือนกระจกของนางยิ่งนัก ทุกวันหลังกลับมาจากค่ายทหารก็จะเข้าไปในนั้น ช่วยเฉียวเยี่ยนเพาะกล้า และเติมสารละลายธาตุอาหารลงในน้ำ
สารละลายธาตุอาหารนี้เฉียวเยี่ยนได้เจือจางให้ได้สัดส่วนพอเหมาะไว้ล่วงหน้าแล้ว และเก็บรักษาไว้ในถังขนาดใหญ่ รอจนระดับน้ำลดลง เหล่าข้ารับใช้ก็เทสารละลายธาตุอาหารลงไปในน้ำ
ตอนที่อยู่กันแบบส่วนตัว เหล่าข้ารับใช้ก็แอบเรียกไหสารละลายธาตุอาหารนั้นว่าน้ำศักดิ์สิทธิ์
เป็นไปได้อย่างไรที่จะปลูกพืชผักเหล่านั้นในน้ำได้ ต้องเป็นอิทธิฤทธิ์ของน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่หวางเฟยเหนียงเหนียงหมักไว้เป็นแน่
……
กลางเดือนสิบ เรือนกระจกที่สร้างในหมู่บ้านลวี่หลัวได้สร้างเสร็จไปแล้วส่วนหนึ่ง หลังจากเฉียวเยี่ยนตรวจสอบแล้วก็เตรียมปลูกผักครั้งใหญ่
นางสั่งทำถาดเพาะกล้า แปลงเพาะกล้า และชั้นวางถาดเพาะในปริมาณมาก บรรดาช่างไม้เร่งทำงานกันมือเป็นระวิงจนเลยเวลาทำงาน
รถม้าที่ขนวัสดุอุปกรณ์ไปยังหมู่บ้านลวี่หลัวได้ดึงดูดให้เหล่าคนใหญ่คนโตมากมายในเมืองหลวงสนใจการเคลื่อนไหวในตำหนักอ๋องซู่ จึงส่งคนไปถามไถ่ดู แล้วก็ได้ความว่าหวางเฟยเหนียงเหนียงกำลังสร้างบ้านเพื่อปลูกผักอยู่ในบ้าน
พวกเขาพลันนึกเหยียดหยาม นี่มันไม่น่าขบขันรึ…ปลูกผักไว้ในบ้าน เกรงว่าซู่หวางเฟยคงถูกลาเตะสมองมาเลยโง่เขลาเช่นนี้กระมัง สมแล้วที่คิดเรื่องนี้ออกมาได้!
หลังจากไถ่ถามเสร็จ พวกเขาก็ไม่ใส่ใจเรื่องนี้อีก เมื่อไม่มีสิ่งใดทำก็นำเรื่องนี้ไปคุยกันยามว่างหลังอาหาร และหัวเราะเยาะกับความคิดแปลก ๆ ของเฉียวเยี่ยน
เฉียวเยี่ยนไม่มีเวลาสนใจข่าวลือเหล่านั้น ตอนนี้นางแทบอยากแยกร่างตัวเองในการเทียวไปเทียวมาระหว่างเรือนกระจกที่ต่าง ๆ ทุกวัน เฝ้าดูพวกคนงานติดตั้งชั้นวางต้นกล้า บ่อเพาะกล้า และแปลงเพาะกล้า
มู่ฉินเจินเห็นนางยุ่งเช่นนี้ก็ปวดใจเล็กน้อย จึงทิ้งองครักษ์ไว้ที่นี่สองคนเพื่อวิ่งเต้นดำเนินเรื่องแทนให้ ส่วนที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับคำสั่งของเฉียวเยี่ยน
ครั้นมีองครักษ์สองสามคนคอยช่วย เฉียวเยี่ยนก็รู้สึกเบาใจลงไปไม่น้อย แต่เรื่องส่วนใหญ่นางจำต้องออกโรงเอง เรือนกระจกเป็นสิ่งที่ริเริ่มขึ้นในยุคนี้ นอกจากนางแล้ว ไม่มีผู้ใดเข้าใจสิ่งก่อสร้างนี้เลย อีกทั้งพวกลอกเลียนแบบมากมายก็ล้วนอยากให้นางไปชี้แนะ
เริ่มแรกนางสร้างเรือนกระจกไว้ก่อนห้าหลัง รอบเรือนกระจกก็สร้างบ้านพักแบบง่าย ๆ แถวหนึ่ง ใช้เป็นส่วนของที่พักคนงาน ห้องครัว และยังทำเป็นห้องเก็บของไว้เก็บเครื่องมือการเกษตร
เรือนกระจกแต่ละหลังมีพื้นที่ใหญ่มาก เหลือเรือนหนึ่งไว้ใช้เป็นเรือนเพาะกล้า ส่วนเรือนกระจกที่เหลือใช้ปลูกผักและปลูกมันเทศ
ในเรือนกระจกสำหรับปลูกผักถูกจัดการอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย มีบ่อเพาะเลี้ยงพร้อมสรรพ นอกจากนั้นเฉียวเยี่ยนยังให้คนงานสร้างชั้นวางถาดเพาะกล้าอยู่ส่วนบนสุด ถึงตอนนั้นก็สามารถปลูกถั่ว แตงต่าง ๆ ให้มันเลื้อยไปตามชั้นวางได้ เพราะนางตั้งใจจะใช้พื้นที่ว่างในเรือนกระจกให้เกิดประโยชน์มากที่สุด
ส่วนเรือนกระจกที่ปลูกมันเทศไม่ต้องขุดบ่อเพาะเลี้ยง แค่ปรับพื้นดิน ขุดขึ้นแปลง นำกล้ามันเทศที่ดูแลมาอย่างดีปลูกลงบนแปลงก็เสร็จสิ้นแล้ว
หลังจากเตรียมเรือนกระจกทั้งหมดเรียบร้อยก็ย่างเข้าเดือนสิบเอ็ดพอดี ต้นกล้าผักที่เฉียวเยี่ยนเพาะในตำหนักอ๋องซู่ก็โตพอจะย้ายปลูกได้ เหลือเพียงขนต้นกล้าเหล่านี้ไปยังหมู่บ้านลวี่หลัวและเริ่มปลูกได้เลย
แต่ก่อนจะย้ายกล้าผักไปปลูก นางต้องฝึกอบรมเหล่าคนงานก่อน ให้พวกเขาได้เข้าใจการปลูกผักในเรือนกระจกจริง ๆ ถึงจะเริ่มทำงานได้
นางส่งบ่าวสองสามคนที่ชำนาญในการย้ายปลูกกล้าผักและผู้ดูแลช่วงหลังไปทำงานที่หมู่บ้านลวี่หลัว ให้พวกเขาเป็นหัวหน้าคนงาน เป็นผู้นำพาเหล่าคนงานทำงาน
นอกจากคนงานที่ทำงานอยู่ประจำแล้ว เฉียวเยี่ยนยังหานายหน้าให้ซื้อตัวชายฉกรรจ์มีฝีมือมาสองสามคน แบ่งที่พักให้กับพวกเขา และให้พวกเขาทำงานลาดตระเวนเป็นกะ รักษาความปลอดภัยให้เรือนกระจก
ในวันที่สามเดือนสิบเอ็ด เฉียวเยี่ยนเตรียมฝึกอบรมให้เหล่าคนงาน นางได้ส่งคนไปแจ้งพวกชาวบ้านก่อนแล้วหนึ่งวัน พอเช้าวันรุ่งขึ้นก็ให้มารวมตัวกันที่เรือนกระจก
มู่ฉินเจินได้ยินว่านางเตรียมจะเริ่มงานแล้วก็กังวลว่าชาวบ้านบางคนจะเป็นตัวแสบไม่ฟังคำสั่ง จึงตัดสินใจไปกับนางด้วย
เช้าวันนี้ เฉียวเยี่ยนตื่นตั้งแต่เช้า เด็กทั้งสองก็ถูกนางปลุกให้ตื่น ในเมื่อพ่อของเด็ก ๆ จะไปด้วย นางจะทิ้งลูกไว้ที่บ้านได้อย่างไร
หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จสิ้น หนึ่งครอบครัวสี่คนก็นั่งรถม้าเดินทางไปยังหมู่บ้านลวี่หลัว
ภายในรถม้ากว้างขวางมากและมีเบาะรองนั่งนุ่ม ๆ ทั้งยังติดตั้งตู้ใบเล็กไว้ สามารถวางของว่างของเด็ก ๆ ได้
มู่ฉินเจินหาคนมาปรับแก้โครงสร้างในรถหลังจากที่เฉียวเยี่ยนและพวกเด็ก ๆ กลับมาเมืองหลวง ทำให้ยามนี้สี่คนนั่งข้างในก็ไม่แน่นแล้ว และเด็กทั้งสองยังกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นพรมได้
เดินทางราว ๆ ครึ่งชั่วยามก็มาถึงหมู่บ้านลวี่หลัว และทันทีที่ลงมาจากรถก็เห็นเรือนกระจกขนาดใหญ่ห้าหลังที่สร้างขึ้นริมแม่น้ำ แลดูเป็นผืนสีขาวอันกว้างใหญ่ไพศาล
นี่เป็นครั้งแรกที่มู่ฉินเจินมาที่นี่ นัยน์ตาลุ่มลึกสั่นไหวเล็กน้อย
เด็กทั้งสองตื่นตะลึงจนอ้าปากค้าง เรือนกระจกในตำหนักก็ว่าใหญ่มากแล้ว แต่ที่นี่กลับยิ่งใหญ่กว่า จนคิดว่าน่าจะใช้เวลานานกว่าพวกเขาจะสำรวจเรือนกระจกหลังหนึ่งเสร็จ
พวกเขาลงรถม้ากันมาได้พักหนึ่งก็มีบ่าวคนหนึ่งเข้ามาต้อนรับ
เดิมทีหงรุ่ยเป็นบ่าวที่คอยวิ่งเต้นคนหนึ่งในตำหนักอ๋องซู่ แต่หลังจากเฉียวเยี่ยนเริ่มปลูกผักในตำหนัก เขาก็แสดงความสามารถอันยอดเยี่ยม เรียนรู้ได้เร็ว และมีทักษะในการปลูกผัก เฉียวเยี่ยนจึงส่งเขามาเป็นคนคุมงานในหมู่บ้านลวี่หลัว
หงรุ่ยนำบ่าวและสาวใช้ที่เหลือทำความเคารพพวกเจ้านาย และเริ่มรายงานสถานการณ์ในปัจจุบัน
ชาวบ้านที่มาทำงานมารวมตัวกันหมดแล้ว บางทีอาจจะเป็นเพราะตื่นเต้นเกินไป พวกเขาจึงมารอที่นี่ตั้งแต่เช้าก่อนจะถึงเวลาเสียอีก
เฉียวเยี่ยนไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ได้แต่พามู่ฉินเจินและเด็กทั้งสองไปเยี่ยมชมเรือนกระจก
พวกชาวบ้านต่างยืนอยู่บนลานกว้างด้านหน้าเรือนกระจก ชะเง้อคอมองอ๋องซู่และซู่หวางเฟยผู้เป็นตำนาน บางคนเคยเห็นเฉียวเยี่ยนแล้วก็จริง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะตกใจอีกครั้ง
หากว่าตามคำพูดของพวกเขา หวางเฟยเหนียงเหนียงช่างดูราวกับพระโพธิสัตว์บนสวรรค์ ทั้งงดงามและจิตใจดี ที่สำคัญที่สุดคือไม่ถือตัวกับพวกเขา เวลาคุยกับพวกเขาก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่มีการวางมาดเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นมู่ฉินเจิน ทุกคนต่างรู้สึกว่าตรงหน้าสว่างจ้า หากหวางเฟยเหนียงเหนียงงดงามมากเพียงนี้ ก็มีเพียงบุรุษรูปโฉมอย่างท่านอ๋องซู่คนเดียวเท่านั้นถึงจะเหมาะสมกับนาง
ทว่ารังสีนั้นรุนแรงเกินไปและยังเย็นเยือก ขนาดอยู่ห่างไกลกัน พวกเขายังรู้สึกหนาวเยือกจนน่าหวาดกลัว
เพียงมู่ฉินเจินยืนอยู่ตรงนั้นและไม่กล่าวสิ่งใด กลุ่มคนเหล่านั้นก็ยืนก้มหน้าอย่างสงบเสงี่ยม และคำนับด้วยความเคารพ
เฉียวเยี่ยนรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับเรื่องนี้ หากท่านอ๋องอยากเป็นองครักษ์ ก็คงทำให้ฝูงชนตกใจได้โดยไม่ต้องลงมือ
เด็กทั้งสองรู้ว่ามารดาจะทำงาน จึงยื่นหน้ามองกลุ่มฝูงชนภายใต้การจูงมือของบิดาอย่างเชื่อฟัง
เฉียวเยี่ยนยืนอยู่ตรงหน้าเหล่าคนงาน และยื่นกฎคนงานที่เขียนไว้ก่อนหน้านี้ให้กับหงรุ่ย เพื่อให้เขาอ่านดัง ๆ
คนที่มาทำงานกับนางต้องรักษากฎ กฎข้อแรกที่นางเขียนคือห้ามเผยแพร่ข้อมูลทุกอย่างในเรือนกระจกออกสู่ภายนอก ไม่เช่นนั้นไม่เพียงแต่จะถูกปรับเท่านั้น แต่ยังต้องถูกฟ้องร้องขึ้นศาลด้วย
เรื่องการลงโทษ การให้รางวัล และสวัสดิการต่าง ๆ นางล้วนเขียนไว้ในกฎคนงานทั้งหมด เหล่าคนงานต่างฟังอย่างตั้งใจ และไม่มีใครคัดค้านแม้แต่คนเดียว
นางให้เงินสูงขนาดนี้ ให้รักษากฎหน่อยก็เป็นสิ่งที่ควรทำมิใช่รึ? ยังจะมีความเห็นอะไรอีก
หลังจากป่าวประกาศกฎคนงานเสร็จสิ้น เฉียวเยี่ยนก็แบ่งกลุ่มคนงานทั้งหมดเป็นชายกลุ่มหญิงกลุ่ม ทุกกลุ่มจะมีหัวหน้างานที่ชำนาญสองคน หลังจากแบ่งกลุ่มเสร็จ ผู้คุมงานก็มอบหมายงานให้พวกเขา
เฉียวเยี่ยนหาช่างเย็บผ้าและสั่งให้เย็บชุดทำงาน ถุงมือ หมวก ผ้ากันเปื้อนเป็นจำนวนมาก ซึ่งคนงานทุกคนรับชุดทำงานสองชุดทุกปี พอถึงปีหน้าก็เปลี่ยนเป็นชุดใหม่
หลังจากทุกคนสวมใส่อุปกรณ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว เฉียวเยี่ยนก็พาพวกเขาเข้าไปในเรือนกระจก เริ่มอธิบายวิธีการย้ายปลูกและวิธีดูแลต้นกล้าให้พวกเขาฟัง
มู่ฉินเจินจูงมือเด็กทั้งสองเดินตามหลังไป และฟังเฉียวเยี่ยนอบรมพวกคนงานอย่างเงียบ ๆ สายตาเขาจับจ้องไปที่เฉียวเยี่ยน รู้สึกว่านางที่ใจเย็น สงบ และจริงจังในเวลานี้เปล่งประกายนัก
เฉียวเยี่ยนสบสายตาเข้ากับมู่ฉินเจิน และนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มให้เขา ก่อนจะอธิบายให้กับเหล่าคนงานต่อไปอย่างตั้งใจ
คนงานไม่น้อยสังเกตเห็นสายตาของท่านอ๋องและหวางเฟยประสานกัน ก็แอบอุทานว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาช่างดีจริง ๆ ทุกการเคลื่อนไหวล้วนติดตาตรึงใจยิ่งนัก
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ตอนนี้หัวเราะไปเถอะพวกคนใหญ่คนโตทั้งหลาย เพราะหัวเราะทีหลังมันดังกว่า ท่านอ๋องเริ่มมีใจให้หวางเฟยแล้วล่ะสิ อนาคตอ๋องโบ๋มาแน่ โบ้แน่ ๆ โบร๋ววววว
ไหหม่า(海馬)