ตอนที่ 59 รื้อถอนพระราชอุทยาน (รีไรท์)
ตอนที่ 59 รื้อถอนพระราชอุทยาน (รีไรท์)
ในอุทยานอวี้ฮวามีเหล่าองครักษ์ของตำหนักอ๋องซู่มารออยู่ที่นั่นก่อนแล้ว พวกเขาล้วนฟังคำสั่งจากเฉียวเยี่ยน ลากรถขนเครื่องมือทำการเกษตรสองคันใหญ่เข้ามาในวัง จอบ เคียว ขวาน และอื่น ๆ ล้วนมีหมด
นอกจากเครื่องมือการเกษตรก็ยังมีถุงมืออีกหลายถุงใหญ่ เหล่าขันทีนางข้าหลวงที่เป็นข้ารับใช้ในวังปกติไม่ได้ทำงานหนัก สภาพมือจึงเทียบได้กับมือของเหล่าคุณหนู เฉียวเยี่ยนจึงเตรียมถุงมือให้พวกเขาอย่างใส่ใจ
วันนี้เฉียวเยี่ยนสวมอาภรณ์ที่สะดวกต่อการทำงาน ด้านบนสวมเสื้อไขว้สีก่านเซียง[1] ผูกปลายแขนเสื้อแน่น รัดผ้าคาดเอวจนเผยช่วงเอวบางคอดกิ่วขนาดหนึ่งมือโอบ ช่วงล่างเป็นกางเกงขากว้างสีฟ้าคราม ซึ่งมองไกล ๆ แล้วดูเหมือนกระโปรง
นางหวีผมขึ้นเกล้าเป็นหางม้าสูง ปอยผมบางส่วนตกระบนหน้าผาก ใบหน้างดงามขาวนวลเคลือบด้วยรอยยิ้มสดใส ทำให้กลุ่มขันทีนางข้าหลวงต่างเหม่อลอย
เฉียวเยี่ยนยืนอยู่ด้านหน้าผู้คน เปล่งเสียงดังกังวาน บอกงานที่ต้องทำในวันนี้ให้แก่เหล่าขันทีและนางข้าหลวง
พูดง่าย ๆ ก็คือขุดไถที่ในพระราชวัง รื้อถอนดอกไม้พืชพรรณในอุทยานอวี้ฮวาออกให้หมด!
เหล่าขันทีและนางข้าหลวงตกตะลึง ไม่อยากเชื่อหูตัวเอง แต่ละคนเบิกตาอ้าปากค้าง อ้าปากกว้างจนแมลงวันสามารถบินเข้าไปได้
ขุดไถที่ในพระราชวัง? เป็นพวกเขาที่บ้าหรือว่าซู่หวางเฟยเองที่บ้า?
นี่คือรากฐานของบรรพบุรุษ บอกว่าจะขุดก็ขุดได้เลยหรือ?
เฉียวเยี่ยนรู้ความคิดของคนกลุ่มนี้จึงเชิญฮองเฮามา ครั้นฮองเฮาออกคำสั่งด้วยตัวเอง เหล่าขันทีและนางข้าหลวงถึงได้เริ่มทำงานท่ามกลางความมึนงงตกใจ
ดอกพุดซ้อนที่หวงโฮ่วเหนียงเหนียงชื่นชอบ ถูกรื้อถอนไปแล้ว!
ดอกเบญจมาศที่ฝ่าบาทประทานให้เสียนเฟยเหนียงเหนียง? ถูกขุดไปแล้ว! ไม่เหลือแม้แต่ตอ
ดอกกุหลาบที่เต๋อเฟยเหนียงเหนียงมองมันเป็นลูกรัก?
ขันทีจับเคียวเตรียมจะฟันมันทิ้ง แต่ถูกเฉียวเยี่ยนห้ามเอาไว้ กุหลาบนับว่ายังดี สามารถนำมากินได้!
นำกลีบดอกไปทอดกิน หรือนำไปทำซอสก็ได้ อย่างน้อยก็ยังเอามาทำขนมเปี๊ยะดอกไม้ได้
เฉียวเยี่ยนหยิบกรรไกรมาตัดแต่งด้วยตัวเอง และตัดแต่งกิ่งกุหลาบที่แก่และตายออกหมด ปล่อยกิ่งใหม่ ๆ ให้เริ่มแตกหน่อ ไม่นานก็จะผลิดอกกุหลาบตูมออกมา
นอกจากนี้นางยังเลือกตัดกิ่งก้านที่สมบูรณ์มาสองสามกิ่ง เตรียมนำกลับไปปักชำที่ตำหนักอ๋องเพื่อปลูกแทรกไว้รอบ ๆ มุมกำแพง พืชชนิดนี้เติบโตได้ดี และยังเลื้อยไต่กำแพงได้ ถึงตอนนั้นบนกำแพงก็จะเต็มไปด้วยดอกกุหลาบทั้งหอมทั้งสวยงาม ทั้งยังกันขโมยได้ด้วย
การเคลื่อนไหวของเฉียวเยี่ยนยิ่งใหญ่เกินไป ทำให้เหล่าเหนียงเหนียงแต่ละตำหนักรีบมาหลังจากทราบข่าว แม้แต่เหล่าขันทีนางข้าหลวงที่รับผิดชอบหน้าที่เฝ้าประตูหรือต้มน้ำในจุดต่าง ๆ ก็พากันวิ่งมาดูความสนุก
เหล่าเหนียงเหนียงนางบำเรอเห็นอุทยานอวี้ฮวาถูกรื้อถอนจนไม่เหลือเค้าโครงเดิมก็ล้วนมึนงง นี่ถูกศัตรูบุกยึดหรือว่าถูกปล้นกัน?
หัวหน้าโจรเฉียวเยี่ยนเพิกเฉยต่อท่าทางเหมือนเห็นผีของพวกเขา ถือจอบทำงานร่วมกับเหล่าข้ารับใช้ ทำให้เหล่าขันทีนางข้าหลวงที่เห็นรู้สึกมีขวัญกำลังใจ
ต้องสู้ ๆ ! ห้ามให้ซู่หวางเฟยเทียบชั้นได้!
คนงานมากกว่าห้าสิบคนร่วมต่อสู้ครั้งใหญ่ ความเร็วในการรื้อถอนก็ฉับไวขึ้น ดอกไม้พืชพรรณในอุทยานอวี้ฮวาพลันลดลงฮวบฮาบ
พระสนมเสียนเฟยรีบไปดูความสนุก แต่เมื่อเห็นแปลงดอกเบญจมาศที่ฮ่องเต้สั่งพระราชทานให้เมื่อครั้งยังสาวก็พลันกริ้วจนหัวใจจะวายตาย!
นางไม่สนใจภาพลักษณ์ ถลกแขนเสื้อขึ้นไปขอเหตุผลจากเฉียวเยี่ยน
“ซู่หวางเฟย! เปิ่นกงมิได้มีความแค้นใด ๆ ต่อเจ้า เหตุใดต้องรื้อแปลงดอกเบญจมาศของเปิ่นกงด้วย?”
ดอกเบญจมาศเหล่านี้ล้วนเป็นสัญลักษณ์แห่งความรุ่งโรจน์ของนาง เป็นช่วงที่ตนเป็นที่โปรดปรานมากที่สุด และฝ่าบาทก็สั่งคนปลูกให้นางเป็นพิเศษ!
จะรื้อถอนออกไปได้อย่างไร! ทั้งชีวิตนางมีเรื่องให้โอ้อวดเพียงไม่กี่เรื่อง และดอกเบญจมาศนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น!
เฉียวเยี่ยนเก็บจอบ ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มสดใสจนเผยให้เห็นฟันแปดซี่ อธิบายอย่างสุภาพและมีมารยาทกับอีกฝ่าย
“เสด็จพ่ออยากปลูกผักเพื่อสนองความสำราญของพระองค์ หม่อมฉันที่เป็นลูกสะใภ้มิอาจขัดพระราชประสงค์ได้”
“ในเมื่อเสียนเฟยเหนียงเหนียงไม่มีเรื่องอะไรแล้วก็ไปยืนไกล ๆ หน่อยเพคะ จอบนี้ไม่มีตา หากทำให้รองเท้าท่านสกปรกคงไม่ดีแน่”
สิ้นเสียงนั้น นางก็ขุดดินต่อไป ไม่สนใจสีหน้าบิดเบี้ยวของพระสนมเสียนเฟย
หลีกไป หลีกไป มันไม่ใช่เรื่องของเจ้า ไม่ต้องมารบกวนการปลูกผักในฤดูใบไม้ผลิของข้า ฝนในฤดูใบไม้ผลิมีค่าดั่งน้ำมัน เข้าใจหรือไม่?
ฮองเฮาเองก็ผลัดอาภรณ์เป็นแบบสบายตัวเพื่อเข้าร่วมโครงการปลูกผักในฤดูใบไม้ผลิ สวมถุงมือไปร่วมถอนหญ้ากับเหล่านางข้าหลวง
ครั้นเห็นพระสนมเสียนเฟยกริ้วจนหอบหายใจแรง พระนางก็ปีติยินดียิ่งนัก และเมื่อปีติยินดีก็ยิ่งมีแรงทำงาน ถอนหญ้าอย่างขะมักเขม้น!
พระสนมเต๋อเฟยเห็นดอกกุหลาบของนางถูกตัดก็รู้สึกโกรธเคืองอยู่ในใจแต่ไม่ได้พูดอะไร เพียงทำหน้าบึ้งตึงยืนมองอยู่ด้านข้าง
เพิ่งเลิกกักบริเวณเมื่อครั้งก่อนไปได้ไม่นาน นางจึงไม่อยากวู่วามปะทะกับเฉียวเยี่ยนอีก นางเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่าพระทัยของฝ่าบาทและฮองเฮาล้วนเอนเอียงไปทางครอบครัวอ๋องซู่ หากวู่วามทะเลาะกับพวกเขาย่อมไม่เป็นผลดีแน่
เฉียวเยี่ยนเป็นคนอ่อนโยน ยามพูดคุยมักจะยิ้มแย้มและครองใจเหล่าขันทีนางข้าหลวงที่ทำงานร่วมกันตลอดทั้งเช้า
นี่เป็นครั้งแรกที่เหล่าขันทีและนางข้าหลวงถูกปฏิบัติอย่างอ่อนโยนจากเจ้านาย ยามพูดคุยหัวเราะสดใสและทำงานร่วมกับพวกเขา สอนพวกเขาขุดดิน ใช้เคียวอย่างอดทน ทั้งยังเล่าเรื่องตลกกับพวกเขาด้วย
มีนางข้าหลวงใช้เคียวไม่เป็นจนทำบาดมือตัวเอง ซู่หวางเฟยก็ยังพันแผลให้พวกนางด้วยตัวเอง และให้พวกนางไปพักผ่อน
มีเจ้านายดีขนาดนี้ได้อย่างไรกัน? พวกเขาคิดแล้วก็พลันอิจฉาข้ารับใช้ของตำหนักอ๋องซู่ที่สามารถรับใช้ซู่หวางเฟยใกล้ ๆ ได้ ซึ่งน่าจะมีความสุขอย่างมาก
เหล่าองครักษ์ของตำหนักอ๋องซู่ก็ร่วมทำงานด้วยเช่นกัน ครั้นได้ยินคำพูดอิจฉาของเหล่าขันทีและนางข้าหลวงก็ภูมิใจอย่างยิ่ง พลางเล่าถึงการกระทำของหวางเฟยให้พวกเขาฟังพร้อมขุดดินไปด้วย
ตอนนี้เรียกว่าดีแล้วรึ? มันยังดีได้กว่านี้อีก!
หวางเฟยเหนียงเหนียงไม่เพียงแต่ปฏิบัติต่อผู้คนอย่างอ่อนโยน แต่ยังทำอาหารให้พวกเขารับประทานเองด้วย
ไม่ว่าจะเป็นการตุ๋นขาหมูใหญ่สีแดงสด ซี่โครงหมูเนื้อเต็มแท่ง หรือแม้กระทั่งทำหม้อไฟ พวกเขาต่างได้กินกันจนท้องป่องทุกครั้ง
หม้อไฟคืออะไรน่ะรึ?
เฮ้อ พวกเจ้าช่างน่าสงสารจริง ๆ ที่อยู่ในวังทั้งทีแม้แต่หม้อไฟก็ไม่รู้จัก นั่นเป็นสิ่งที่หวางเฟยเหนียงเหนียงของเราคิดค้นมันขึ้นมาเองเลยนะ และยังขายดีมากในภัตตาคาร หม้อหนึ่งหลายตำลึงเชียวนะ!
นอกจากทำอาหารแล้ว หวางเฟยของเรายังหาเงินเก่ง เคยได้ยินเรื่องเรือนกระจกนั่นหรือยัง ท่ามกลางฤดูเหมันต์ด้านนอกล้วนหนาวเหน็บ ทว่าภายในเรือนกระจกนั้นกลับอบอุ่น ผักพวกนั้นล้วนเขียวขจีอวบน้ำ และผักหนึ่งชั่งมีราคาตั้งสามเท่าของราคาปกติเลยล่ะ!
เจ้าลองคิดดู มีบ้านไหนบ้างไม่เบื่อผักกาดขาวและมันฝรั่งในช่วงฤดูหนาว ทว่าไม่ใช่ที่ตำหนักอ๋องซู่แน่นอน พวกเราได้กินผักสดใหม่ทุกมื้อ หากไม่มีสิ่งใดทำก็ไปเก็บผลไม้แดง ดึงหัวไชเท้าในเรือนกระจกออกมาบรรเทาความหิวได้
อะไรนะ? ตำหนักอ๋องซู่ปลูกผักแล้วรึ?
เฮ้อ นั่นหาใช่เรื่องสดใหม่อะไร ตำหนักอ๋องซู่ไม่เพียงแต่ปลูกผักเท่านั้น แต่ยังสร้างเรือนกระจกด้วย ผักพวกนั้นเติบโตได้ดี ผลไม้แดงนั่นมีขนาดใหญ่เท่ากำปั้นเด็ก เปลือกบางฉ่ำน้ำ รสชาติเปรี้ยวหวาน
เหล่าองครักษ์เกือบจะกลายเป็นนักเล่าเรื่องแล้ว ทำให้กลุ่มขันทีและนางข้าหลวงรู้สึกอิจฉาจนกลายเป็นคนขี้อิจฉา
เพ้ย! หากกล่าวกันแบบไม่เกรงใจ ถ้าท่านอ๋องซู่ขึ้นครองบัลลังก์ เช่นนั้นหวางเฟยเหนียงเหนียงก็กลายเป็นฮองเฮาน่ะสิ?
ถึงครานั้นพวกเขาก็ได้ติดตามหวางเฟยเหนียงเหนียงแล้วน่ะสิ?
เฉียวเยี่ยนไม่คิดเลยว่าพฤติกรรมเรียบง่ายของนางจะทำให้ผู้คนมากมายรู้สึกดีกับนางเช่นนี้ นางแค่ไม่คุ้นชินกับการแบ่งแยกชนชั้นฐานะในสมัยโบราณก็เท่านั้น จึงปฏิบัติกับคนอื่นอย่างเท่าเทียม ขอแค่ไม่มีใครมารังแกนาง นางก็ยิ้มแย้มให้คนที่พบเจอแน่นอน
เมื่อฮ่องเต้เลิกพระราชกิจก็ได้ยินหวังกงกงรายงานว่าซู่หวางเฟยได้ขุดไถอุทยานอวี้ฮวาแล้ว จึงเร่งฝีพระบาทในระหว่างเสด็จพระราชดำเนินอย่างตื่นเต้น
เขาตั้งตารอมาทั้งฤดูหนาว หากไม่ใช่เพราะหิมะหนาเกินไป เขาก็อาจส่งคนไปไถที่ในพระราชวังนานแล้ว เพราะเรือนกระจกของเฉียวเยี่ยนนั้นน่าสนใจจริง ๆ
ในช่วงฤดูหนาวปีก่อน เฉียวเยี่ยนส่งผักเข้ามาในวังจำนวนมาก ซึ่งทำให้เขาใช้ชีวิตในช่วงฤดูหนาวแตกต่างออกไปจากเดิม
ในช่วงฤดูหนาวที่ผ่าน ๆ มา ต่อให้เขาจะเป็นฮ่องเต้ก็ต้องยอมรับว่ากลุ้มใจเรื่องการได้เสวยแต่หัวไชเท้าและผักกาดขาว ทว่าปีที่แล้วไม่เหมือนกัน แม้ภายนอกจะมีหิมะตกหนัก แต่เขาก็ยังได้เสวยผักที่สดใหม่
ด้วยเหตุนี้ เขาก็ยิ่งอยากสร้างเรือนกระจกไว้ในวัง
[1] สีก่านเซียง คือ สีม่วงดอกไลแลค
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
สนมเสียนเฟยมาร่วมปลูกผักไหมเจ้าคะ เบญจมาศน่ะโดนขุดทิ้งไปแล้วก็ปลูกใหม่ได้ ปลูกเก๊กฮวยที่เป็นเบญจมาศชนิดกินได้แทนสิจะได้ดูมีประโยชน์ขึ้นมาบ้าง สร้างสตอรี่ขึ้นมาใหม่ทดแทนความรู้สึกที่เสียไปไงคะ ท่านเสียใจเพราะมันเป็นของแทนใจฝ่าบาท ท่านก็สร้างสตอรี่ใหม่ว่าเก็กฮวยต้นนี้ข้าเป็นคนปลูกเองเสียเลย หันกลับมารักตัวเองค่ะแล้วจะไม่รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เสียไป
เดาว่าหลังจากนี้คงมีคนรอสมัครเป็นข้ารับใช้ตำหนักอ๋องซู่เป็นแถวยาวเหยียดแน่
ไหหม่า(海馬)