พันธนาการจ้าวมังกร เชื่อมใจ สู่ “หัวใจ” – ตอนที่ 22

ตอนที่ 22

บทที่2คุยท้ายบท

ข้าฝัน ฝันสีแดงอันเจิดจรัส แต่ว่าคิดว่ามันไม่ใช่ความฝัน

ที่นี่น่าจะเป็นสถาบันโซลมินาติ อย่างไรก็ตามข้านึกถึงเศษซากอาคารที่พังทลายและบริเวณโดยรอบที่ลุกเป็นไฟในตอนนั้น

「อะ!อึก」

มีแผลทั่วร่างกายของเขา

เศษซากที่ของร่างกายที่ถูกเผาไหม้ กลิ่นของเนื้อไหม้ๆจนติดจมูกและข้าก็คายบางสิ่งออกมา

มีมังกรใหญ่ตัวหนึ่งอยู่ในขุมนรกแห่งนั้น ลำตัวสีดำมีปีกห้าสี มังกรยักษ์ที่น่าจะอยู่ในตัวข้า มันคือเทียแมท

ปากของมันกำลังขยับ ดูเหมือนว่าจะเคี้ยวบางสิ่งบางอย่างอยู่

「อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก…………」

ข้ารู้สึกแย่กับภาพตรงหน้า สัญชาตญาณบอกตัวข้าว่า “อย่ามอง” แต่มันก็สายเกินไปแล้ว

「อะอะ……………………อ๊ากกกกกกกกกก!」

มันเป็นผมยาวๆที่ติดอยู่ในปากของข้าเมื่อข้ามองไปยังเจ้าของผมข้าก็ตัวสั่นเทา

ช่วงเวลาต่อมาก็มีเปลวเพลิงสีดำขนาดใหญ่พุ่งเข้ามาทางข้าและก็ถูกเปลวเพลิงแห่งความวุ่นวายนั่นกลืนกินไป

◇◆◇

「อั่ก! แฮ่กแฮ่กแฮ่ก…………」

โนโซมุที่อยู่บนเตียงตื่นขึ้นมาจากความฝัน

「อะ!」

โนโซมุกุมศีรษะแน่นราวกับภาพในความฝันนั่นมันเป็นความจริง มันเหมือนจริงมากเสียจนเขากลัว

เมื่อเวลาผ่านไปโนโซมุก็ค่อยๆสงบลงและเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

(หลังจากการต่อสู้นั่นข้าหมดสติสินะ……)

โนโซมุจำได้ว่าตอนนั้นทันทีหลังจากที่ไอริสและโซเมียเดินเข้ามาหาเขา เขาก็รู้สึกโล่งใจและภาพตรงหน้าก็กลายเป็นสีดำสนิท

「ผ่านไปนานแค่ไหนแล้วกันนะ……」

ด้วยเหตุนี้โนโซมุจึงมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่มีรอยแตกของผนัง ทุกๆอย่างดูปกติมีเตียงและยังมีโต๊ะทำงานพร้อมเก้าอี้ มีเตาผิง ตู้ที่มีลิ้นชักและของอื่นๆ สิ่งของเหล่านี้ไม่มีการตกแต่งมากมายแต่มีความหรูหราเป็นอย่างมาก ดูเหมือนว่าโนโซมุจะถูกพามายังห้องๆหนึ่ง

โนโซมุมองเห็นสวนขนาดใหญ่จากหน้าต่างในห้อง เห็นได้ชัดว่าอยู่ในคฤหาสน์ของตระกูลฟรานซิส

เมื่อโนโซมุมองไปทางประตูก็พบกับหญิงสาวสองคนมองมาทางนี้ด้วยรอยยิ้ม

「ในที่สุด ก็ตื่นแล้วสินะคะ……」

「สบายดีไหมคะ?คุณโนโซมุ」

ไอริสกับโซเมียเข้ามาพูดกับโนโซมุด้วยรอยยิ้มโล่งใจ

「เอ่อ ข้าหลับไปนานแค่ไหนงั้นเหรอ?」

「ประมาณครึ่งวันได้ค่ะ….แต่ว่าก็ดีแล้วล่ะ ฉันกังวลมากเลยล่ะคะที่จู่ๆคุณก็เป็นลมไป」

「ร่างกายไม่เป็นไรแล้วใช่ไหมคะ?」

บางทีอาจเป็นเพราะปลดปล่อยคิมากจนเกินไปจนเป็นผลกระทบต่อร่างกายทำให้เกิดความเหนื่อยล้าต่อร่างกายอย่างมาก นั่นคือสิ่งที่เข้าใจได้

「เอ่อ…แล้วรูกาโต้ละครับ?」

โนโซมุถามว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นรูกาโต้บอกว่าสัญญาของตัวเขาเองถูกทำลายไปแล้วและลูกบอลกับสัญญาระหว่างตระกูลนั่นก็พังทลายไปพร้อมกัน

หลังจากนั้นเขาก็กลับไปที่จักรวรรดิดิซาร์ตเพื่อรายงานต่อนายท่านของเขา

อย่างไรก็ตามดูเหมือนร่างที่โดนฟันขาดไปนั้นจะหายเป็นปกติหลังจากผ่านไปไม่กี่ชั่วโฒง มันเป็นความสามารถในการฟื้นตัวที่ยอดมากแต่เขาบอกว่า「ก็แบบว่าแผลมันถูกฟันออกมาแบบสวยงามมากจนน่าประทับใจจริงๆครับ เพราะงั้นการฟื้นฟูมันเลยง่ายมาก」เช่นนั้นล่ะ

「ทิม่าและมาร์ก็เตรียมตัวไปโรงเรียนค่ะ แต่ว่าหลังเลิกเรียนเขาจะมาที่นี่ มีเรื่องอยากจะคุยเยอะเลยละค่ะ ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ?」

「……อ่า อืม…………」

โนโซมุสะดุ้งเล็กน้อยกับคำพูดนั่น

ตอนนั้นเองก็มีเสียง「จ๊อกกกกกกก~~」มาจากท้องของโนโซมุ ดูเหมือนว่าเขาอ่อนแรงมากจนหิว

ทั้งสองที่ได้ยินก็หัวเราะคิกคัก โนโซมุที่เขินอายก็ก้มหน้าลง

「ฟุฟุ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวจะนำอาหารมาเสิร์ฟให้นะคะ เพราะฉะนั้นรอสักครู่ โซเมียไปช่วยกันหน่อยนะ。」

「ค่าพี่สาว! ถ้างั้นคุณโนโซมุรออาหารแสนอร่อยได้เลยนะคะ」

น้องสาวของเธอพูดเช่นนั้นและเดินออกไป หลังจากทั้งสองออกไปโนโซมุก็ล้มตัวลงบนเตียงแล้วนอนคิดอีกครั้ง

ข้าไม่รู้จะอธิบายเรื่องของตัวเองยังไงดี แต่ตอนนี้ทำได้แต่ตั้งหน้าตั้งตารออาหารที่กำลังมาเสิร์ฟ

◇◆◇

ในตอนเย็นก่อนพลบค่ำ เมื่อพระอาทิตย์เริ่มตกดินผู้คนในเหตุการณ์เมื่อวานก็เริ่มที่จะมารวมตัวกันให้ห้องของตระกูลฟรานซิส

ก่อนอื่นไอริสก็เริ่มพูดคุยข้อตกลงระหว่างตระกูลฟรานซิสกับตระกูลอูราเซียร์ตที่เป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์นี้

ดูเหมือนว่าเมื่อ 300 ปี ก่อนตระกูลฟรานซิสกำลังต่อสู้กับตระกูลมหาอำนาจอื่นๆ

อย่างไรก็ตามเพราะว่าเกิดความขัดแย้งภายในครอบครัวของตระกูลฟรานซิสก็ทำให้อำนาจด้อยลงจนไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้

ในเวลานั้นเองหัวหน้าของตระกูลฟรานซิสได้ไปอาศัยอยู่กับตระกูลวาเซียร์ตเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการกลบจุดอ่อนของพวกเขา

ตระกูลวาเซียร์ตเป็นตระกูลของแวมไพร์และตระกูลฟรานซิสเองมีกองกำลังจำนวนหนึ่ง แต่ศัตรูดันมีความสามารถอันกล้าแกร่งและเครื่องมือเวทย์ ในทางกลับกันนั้นเองตระกูลฟรานซิสก็ได้จ่ายเงินจำนวนมากให้กับตระกูลวาเซียร์ตเพื่อให้ช่วยเป็นกำลังรบและยืมเครื่องมือเวทย์ของพวกเขามาเป็นเวลา 300 ปี

อย่างไรก็ตามสำหรับรูกาโต้ที่รอจนครบ 300 ปีแล้วนั้นก็ยังไม่ได้ของที่ว่าคืนด้วยเหตุนั้นเองจึงส่งผลให้คนๆหนึ่งในตระกูลฟรานซิสโดนคำสาปและต้องสังหารทายาทคนนั้นเพื่อชดเชยค่าตอบแทนที่พวกเขาไม่สามารถรักษาสัญญาได้ ซึ่งเรื่องควรจะเป็นเช่นนั้น

ในช่วงเวลานั้นรูกาโต้ที่เป็นผู้ดูแลสัญญาระหว่างตระกูลทั้งสองฝ่ายนั้นเฝ้ารอมาถึง 300ปี เขาไม่พยายามผูกสัมพันธ์กับครอบครัวไหนเลยเพื่อแสดงความเป็นกลางให้มากที่สุด

นอกจากนี้เนื่องจากตระกูลวาเซียร์ตเป็นแวมไพร์ที่มีอายุยืนยาวสำหรับเวลา300ปีก็เหมือนการหลับตื่นหนึ่ง

◇◆◇

「……อย่างที่คิดไว้นี่คือ……」

「……อย่าคิดจะหนีนะ」

เมื่อเขาได้ยินเรื่องนี้โนโซมุกับมาร์ก็เดือดได้ที่เลย

ทิม่ายังคงนิ่งเงียบและแสดงท่าทางหวาดกลัว

「……โดยรวมแล้ว! เหนือสิ่งอื่นใดฉันไม่ชอบความคิดนั่นเลย พวกเราสองต่างเป็นหนึ่งเดียวกัน」

「จริงๆ ฉันเองก็โกรธและไม่สามารถให้อภัยเรื่องนี้ได้」

ทั้งไอริสและโซเมียต่างก็ไม่คิดจะซ่อนความโกรธของพวกเขาได้

「นอกจากนี้เตาหลอมวิญญาณนั่นยังหลอมรวมเข้ากับวิญญาณของโซเมีย……」

「ฮะฮะ คนๆนั้น…บอกแล้วว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะแยกจิตวิญญาณของโซเมียที่หลอมรวมในเตาหลอมได้ แต่ไม่คิดว่ามันจะถูกเอามาใช้ในลักษณะนี้เลย….ฉันองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมวิญญาณของโซเมียถึงได้ไปหลอมรวมกับสิ่งนั้น……」

นั่นหมายความว่าตอนนี้พวกเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตพวกเราต่างนิ่งเงียบ

「……ไอริสเธอพอใจที่จะเล่าเรื่องนี้ให้พวกเราฟังรึเปล่า?」

โนโซมุกำลังสงสัยเกี่ยวกับเรื่องของโซเมียในอนาคตจึงได้ถามเธอเช่นนั้น

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เผยแพร่ไม่ได้ของตระกูลฟรานซิสเลย

ยังไงก็ตามไอริสตอบโนโซมุด้วยความจริงใจ

「อืมไม่เป็นไรหรอกค่ะ คราวนี้ฉันเองก็ได้นายช่วยเอาไว้เพราะฉะนั้นนายก็เข้ามาพัวพันกับเรื่องของพวกเราแล้ว ฉันไม่อยากจะปิดบังพวกนายอีกต่อไป แต่ถึงอย่างงั้นก็อย่าให้คนภายในบ้านรู้เรื่องนี้เด็ดขาดคะ」

ไอริสเธอบอกปัดว่าไม่สนใจ และเริ่มเล่าเรื่องราว

「ให้ฉันได้ขอบคุณพวกนายอีกครั้งเถอะนะ ขอบคุณที่ช่วยพวกเราในครั้งนี้ ต้องขอบคุณนายมากๆฉันจึงไม่เสียโซเมียไป ขอบคุณจริงๆ……ขอบคุณนะ」

「ขอบคุณค่ะ……………ขอบคุณจริงๆที่ช่วยฉันเอาไว้คะ!」

◇◆◇

พี่น้องตระกูลฟรานซิสก้มหัวให้พวกเรา โนโซมุรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย มาร์เองก็ดูมีความสุขคงเพราะรู้สึกแบบเดียวกันละมั้ง

「เอ่อ แต่ว่ายังมีเรื่องหนึ่งที่ยังสงสัย……」

「ไม่ใช่แบบนั้นสินะคะ!มันโครตของโครตเท่เลยที่โผล่มาช่วยในตอนนั้นค่ะ!」

「ฟุฟุ ใช่เลยค่ะอย่างที่โซเมียพูด」

โซเมียชูมือมาด้านหน้าและพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น ไอริสเองก็ชมโนโซมุ

「เอ่อข้าไม่อยากจะโดนชมมากนักหรอก………นอกจากนั้นข้ายัง…………」

โนโซมุที่สลบไปหลังสู้เสร็จไม่รู้จะทำตัวยังไงให้เป็นธรรมชาติ

มาร์จ้องมองมาทางโนโซมุอย่างจริงจัง น่าจะเป็นเรื่องที่เขาอยากได้ยินจากปากของข้า…………。

◇◆◇

「…………โนโซมุบอกหน่อยได้ไหม? ว่าตอนท้ายของการต่อสู้นั่นน่ะแกทำอะไรลงไปกันแน่?」

「………………」

ไอริสและคนอื่นๆต่างเงียบกับคำถามของมาร์ บางทีพวกเธอเองก็สนใจเช่นกันทุกคนต่างจ้องมองเขา

「ก็รู้หรอกนะว่าแกน่ะแกร่งกว่าที่คนอื่นๆเขาเคยดูถูกแกเอาไว้ แต่ตอนนั้นตัวแกมันแปลกไป ราวกับหลุดไปคนละโลกกับพวกเราเลย?」

ในขณะที่ความเงียบเข้าครอบงำ โนโซมุเริ่มพูดออกมาอย่างช้าๆ

「นั่นคือ………ตัวข้าที่ปลด “พันธนาการ”ออก……」

「ปลดปล่อยพันธนาการเหรอคะ?」

โซเมียเอียงศีรษะให้กับคำพูดของโนโซมุ โนโซมุยังคงอธิบายต่อไป

「เอ่อทุกคนก็น่าจะรู้เกี่ยวกับความสามารถของข้า ความสามารถในการ “พันธนาการ”ใช่ไหมล่ะ?」

「แน่นอนว่าความสามารถนั่นจะกดพลังของผู้ที่ครอบครองมันให้ต่ำลงในระดับหนึ่งสินะคะ」

「ใช่แล้วล่ะ เพราะแบบนั้นทำให้ตัวข้ามีข้อจำกัดด้านพลังกายและพลังเวทย์ก่อขึ้นมา」

ในขณะที่ยืนยันคำพูดของไอริส โนโซมุก็อธิบายถึงความสามารถของเขา

「เรื่องนี้แม้แต่ตัวข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่าในช่วงปลายปีของปี 2 นั้น ความสามารถนี้ก็ถูกปลดออกมา」

「……บางที อาจจะเป็นเพราะบาดแผลในตอนนั้นสินะ……」

「อืม ตอนนั้นมีหลายอย่างเกิดขึ้นมากมายและข้าก็สามารถปลดพันธนาการของตัวเองได้ แต่ว่าอาการบาดเจ็บของข้านั้นหนักมากในช่วงการสอบปฏิบัติเลยทำให้ผลการเรียนออกมาแย่…………」

「แล้วทำไมถึงไม่ใช้มันมาจนถึงตอนนี้ล่ะ?」

「ก็เพราะว่า…………」

ฉากนั่นย้อนเข้ามาในหัวของเขาอีกครั้ง กลิ่นของเมืองอาร์คาซัมที่ลุกไหม้และผู้คนที่ถูกเผาไหม้ และตัวเธอที่ถูก “หมอนั่น”กลืนกินเข้าไป

「อั่กก!」

「…………โนโซมุคุง?」

「อะ…ขอโทษนะครับ……เอ่อเหตุผลที่เก็บเงียบ……เพราะเมื่อใดที่ข้าปลดปล่อย “พันธนาการ” หากปลดปล่อยมันนานมากเกินไปจะควบคุมพลังของมันไม่อยู่ สามารถใช้งานได้เต็มที่เพียงแค่ 2 นาทีเท่านั้น。」

โนโซมุตอบพร้อมกับซ่อนความกังวลในตัวเขา เขาไม่ได้บอกเรื่องทั้งหมดออกไป

「เพราะว่าแค่ปลดปล่อยพลังนั่น เพียงแค่ข้าสัมผัสหินมันก็แตกเป็นเสี่ยงๆ เพราะฉะนั้นก็เลยพยายามไม่ใช้กับผู้อื่น」

「…………แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะใช้สินะ……………แต่ว่านั่นก็เป็นความสามารถของนาย」

「……เพราะว่าข้ากลัว」

ท้ายที่สุดแล้วโนโซมุก็ไม่ได้บอกเรื่องที่เขาเป็นดราก้อนสเลเยอร์

เมื่อเวลาผ่านไปค่ำคืนก็มาเยือนท้องฟ้า โนโซมุและคนอื่นๆตัดสินใจกลับบ้านไอริสเองก็มาส่งพวกเขาทางหน้าประตูของคฤหาสน์

「ถ้างั้นขอตัวกลับก่อนนะ」

「ไว้เจอกันนะ」

「อืม ไว้เจอกันที่สถาบันนะ……」

「อืม ไว้เจอกัน」

โนโซมุบอกลาพวกเขา ทันใดนั้นโซเมียที่อยู่ข้างๆไอริสก็มากุมมือเขาไว้

「เป็นไรไปงั้นเหรอ?โซเมียจัง」

「คุณโนโซมุคะ! ขอบคุณที่ช่วยหนูไว้นะคะ! ตอนนั้นฉันคิดว่าจะไม่ได้เห็นหน้าพี่สาวอีกแล้วค่ะ…ตอนนี้หนูดีใจเหลือเกินที่ยังมีชีวิตอยู่กับพี่สาวต่อไปได้!」

โซเมียขอบคุณโนโวมุอีกครั้ง ไอริสเองก็เข้ามาขอบคุณเขาอีกครั้งเช่นกัน

「อ่า นั่นสินะถ้าตอนนั้นนายไม่มาช่วยพวกเราละก็ พวกเราคงได้แยกจากกันแล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้นฉันคงไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้….เพราะฉะนั้นขอบคุณจริงๆนะคะ」

โนโซมุรู้สึกโล่งใจกับคำพูดของทั้งสองคนที่พูดกับเขา มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาไม่สามารถพูดมันออกมาได้ ความวิตกกังวลมากมายอยู่ในหัวของข้า แต่อย่างน้อยตอนนี้การปลดปล่อยตัวเองไปตามอารมณ์ก็คงจะไม่แย่เสียเท่าไร

◇◆◇

「……ยังไงซะก็ยังไม่ได้ให้สิ่งนี้กับโซเมียจังเลย」

「???」

โซเมียเอียงศีรษะของเธอด้วยความสงสัย โนโซมุหยิบมันออกมาและยื่นให้เธอในอีกเช้าวันหนึ่ง

「แม้ว่าจะสายไปแล้ว แต่ก็สุขสันต์วันเกิดนะโซเมียจัง」

ข้าหยิบของขวัญที่คิดจะมอบให้เธอออกมา

เป็นเชือกสีขาวดำที่ถูกถักทอเป็นวงแหวนและมีกระดิ่งข้องไว้ด้วย

มันเป็นสิ่งที่ไว้ใส่คู่กับเครื่องประดับแขนของเธอ

「คือว่าข้าพยายามทำออกมาโดยใช้สิ่งนั้นอ้างอิงและคิดว่าคงจะดีถ้าทำด้วยมือของตัวเอง แต่ว่าตัวข้าดันไม่เอาไหนด้านนี้ซะเลย……」

「เอะ! มีความสุขมากเลยล่ะคะ! ขอบคุณมากนะคะคุณโนโซมุ!」

โซเมียพูดเช่นนั้นและใส่ประดับแขนที่มีกระดิ่งที่ข้าทำขึ้น ดูเหมือนว่ามันจะไม่ค่อยสมส่วนกับเธอมากเท่าไรนัก แม้ว่าจะไม่ใช่ของที่ดีเลิศอะไรแต่มันก็ทำให้โซเมียจังมีความสุข

ไอริสยังคงมองน้องสาวของเธอด้วยรอยยิ้ม

ทั้งทิม่าและมาร์ก็ต่างมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า

วันวานที่แสนวุ่นวาย รอยยิ้มที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นอีกเลยในช่วงชีวิตนี้ แน่นอนว่าทุกคนอยากปกป้องรอยยิ้มนั่นเอาไว้

พันธนาการจ้าวมังกร เชื่อมใจ สู่ “หัวใจ”

พันธนาการจ้าวมังกร เชื่อมใจ สู่ “หัวใจ”

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง พันธนาการจ้าวมังกร เชื่อมใจ สู่ “หัวใจ” ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดยนำบางส่วนมาจากนิยาย เรื่อง พันธนาการจ้าวมังกร เชื่อมใจ สู่ “หัวใจ”

บทนำ

สถาบันโซลมินาติ เป็นสถานที่รวมตัวของเหล่าคนหนุ่มสาวที่มีควาฝันทะเยอทะยานมากมาย มีชายคนหนึ่งที่เข้ามาเรียนที่นี่เพื่อสนับสนุนความฝันของคนรัก อย่างไรก็ตาม ความสามารถของชายคนนั้นที่ไม่มีดีด้านไหนเลย ก็ถูกผู้คนต่างกลั่นแกล้ง คนรักก็ทอดทิ้ง ความหวังในชีวิตต่างสูญหาย ช่วงเวลาแห่งชีวิตมาถึงจุดเปลี่ยน ยังไงก็ตามเขาพบกับหญิงชราผู้หนึ่งที่จะคอยเปลี่ยนแปลงเขาไปตลอดการ นี่คือเรื่องราวของชายผู้ที่ถูกทอดทิ้งจะกลับมาลุกขึ้นสู้อีกครั้ง

เรื่องย่อ

สถาบันโซลมินาติ สถานที่ๆคนหนุ่มสาวจากทั่วทุกดินแดนจะมารวมตัวกันเพื่อต่อยอดความฝันและความหวังของตัวเอง ความทะเยอทะยาน สำหรับคนที่ไม่มีอะไรดีสักด้านนั้นจะถูกมองด้วยสายตาเหยียดหยามถูกปฏิบัติแบบไร้ซึ่งมนุษย์ธรรมโดยสมบูรณ์

เป็นเวลากว่าสองปีแล้วที่ชั้นอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ข้า โนโซมุ เบลาตี้ ซึ่งอยู่บนดาดฟ้าของโรงเรียนในช่วงพักกลางวัน

ข้ามาที่นี่เมื่อสองปีก่อน ออกมาจากบ้านเกิดกับเพื่อนสมัยเด็กสองคนเพื่อมายังที่แห่งนี้

คนแรกคือ เคน โนทิส เป็นเพื่อนที่ข้าสนิทด้วยที่สุด

ส่วนอีกคนหนึ่ง คือ ลิซ่า เฮาวน์

สาวสวยผู้มีผมหางม้าสีแดง

เป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตและเป็นคนรักของข้า

เธอเป็นคนที่เอาชนะคนอื่นได้เสมอ เธอเป็นเหมือนดั่งตัวร้ายที่คอยต่อต้านกับหัวหน้าหมู่บ้าน

ข้าพบกับเธอก็เมื่อตอนอายุ 8 ขวบ ตอนที่ข้ากำลังตกปลาในแม่น้ำใกล้หมู่บ้าน

「อะ เอ่อ อืม ว่างหรือเปล่า?」

เป็นตอนนั้นเองที่เธอเข้ามาพูดกับข้า

ผมสีแดงตัดสั้น ท่าทางที่ดูมั่นใจ ใบหน้าของข้าค่อยๆร้อนรุ่ม…ข้าตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกเห็น

พ่อแม่ของเธออาศัยอยู่ในดินแดนที่ห่างไกลออกไป แต่เมื่อพ่อของเธอเสียชีวิตระหว่างเดินทาง เธอจึงตัดสินใจที่จะตั้งถิ่นฐานที่บ้านเกิดของข้า

ตอนเธอยังเด็กมักจะเป็นเด็กที่ซุกซนและอารมณ์ฉุนเฉียว แต่ข้าก็ไม่ได้รังเกียจอะไร และเธอไม่ใช่คนยอมแพ้อะไรง่ายๆ

แล้วก็เด็กที่ทำให้เธอผิดหวังมากที่สุดก็คือนายพลกาคิกับผมด้วยเหตุผลบางอย่าง

เมื่อสามปีก่อนข้าสารภาพรักกับเธอเพราะว่าไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป

รักแรกที่ข้าชอบมาตลอด

เธอตกใจมากกับการสารภาพรักที่กระทันหันของข้า แต่เธอก็ยอมรับข้าและร้องไห้ทั้งน้ำตา

ตอนนั้นเองข้าจึงตัดสินใจที่จะไปสถาบันโซลมินาติกับเธอเพื่อสนับสนุนความฝันของเธอให้เป็นจริง

มันเป็นแรงบัลดาลใจให้ข้า ความฝันของเธอที่บอกข้าตอนยังเด็ก

「ฉันน่ะอยากจะเห็นโลกที่หลากหลายเหมือนกับคุณพ่อ」

ข้ารู้ว่าเธออยากออกไปท่องโลกกว้างเพราะเธอได้ยินเรื่องราวเหล่านั้นมาจากมารดาของเธอ

ตอนนั้นเองเป็นตอนที่ข้าตัดสินใจไปที่สถาบันโซลมินาติ

หากคนที่ตัวเองรักอยากทำความฝันให้เป็นจริง ข้าก็ควรจะสนับสนุน

ด้วยคำพูดเช่นนั้นข้าตัดสินใจว่าจะสนับสนุนเธอตลอดมา

เธอกอดข้าทั้งน้ำตาพร้อมกับบอกว่า「ขอบคุณนะ……ฉันดีใจจริงๆ」

ท่ามกลางการหลับกลางวันของข้าก็ได้ยินเสียงระฆังที่ส่งเสียงบอกเวลาว่าหมดเวลาพักกลางวันแล้ว

ข้าลุกขึ้นพร้อมกับบิดตัวด้วยความขี้เกียจพร้อมกับมุ่งหน้าไปยังห้องเรียน

ถูกบังคับให้ไสหัวไปก็ตั้งหลายครั้ง ตัวข้าที่ไม่สามารถทำคำปฏิญาณนั่นได้

ชั้นเรียนของข้าคือ ชั้นเรียนที่สอง ระดับ 10 เป็นห้องที่ต่ำที่สุดในบรรดาชั้นเรียนที่สอง

ในหมู่พวกนั้นข้าเป็นคนที่อยู่ต่ำสุดเรียกได้ว่าเป็นพวกที่ห่วยของโครตห่วย

เมื่อข้าเข้ามาในชั้นเรียนก็โดนต้อนรับด้วยการหัวเราะเยาะเย้ยเป็นเรื่องปกติ

「ยังจะโผล่หัวมาอีกนะ ไอชั้นต่ำ」

「เมื่อไรมันจะหายๆไปสักทีวะ」

「หวังว่าจะลาออกไปไวๆน้า~」

เสียงที่ดูไร้หัวใจเหล่านั้นเสียดแทงเข้ามาในจิตใจของข้า ข้าทำได้แต่เมินต่อไปและนั่งลงบนเก้าอี้

เมื่อข้านั่งลงก็มีนักเรียนสามคนเข้ามาทางข้า

「แกจะมาทำไม ในเมื่อแกมาที่นี่มันก็ไร้ความหมายอยู่ดีไม่ใช่เหรอไงวะ ไอ้เศษเดนเอ้ย」

มาร์ที่ตัวค่อนข้างใหญ่พูดข่มขู่ข้า

「ยอมแพ้ไปสักทีเหอะวะแกไม่คิดว่ามันเสียเวลาชีวิตบ้างเหรอวะ」

「แกโดนแกล้งขนาดนี้ก็เหมาะกับแกดีนี่ เหมาะสมกับเศษสวะอย่างแก」

พวกนั้นก็ยังคงกรนด่าข้าไม่หยุด

「ช่ายๆ โดนเด็กผู้หญิงหัวแดงที่ท่าทางเหมือนเจ้าหญิงนั่นทิ้งแล้ว ไม่มีอะไรให้แกได้ฝันอีกต่อไปแล้วล่ะ」

พวกนั้นทั้งสามคนยังยืนหัวเราะและพยายามยั่วโมโหข้า ไม่มีใครคิดจะห้ามพวกมัน ในท้ายที่สุดพวกมันก็ไม่ยอมหยุดจนกระทั่งอาจารย์ประจำชั้นเข้ามาในห้อง

ใช่แล้วล่ะ ข้าถูกลิซ่าทิ้ง เธอน่ะเป็นนักเรียนห้อง 1 เลยนะ

ทันทีที่เธอทิ้งข้าไปหลังจากกล่าวลาไม่กี่คำ เธอก็ไม่เคยกลับมาพบข้าอีกเลย

ข้าไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ตั้งแต่นั้นมาเธอก็มองข้าเหมือนเศษสวะ

เป็นเพราะข้าเอาแต่สร้างปัญหายังงั้นเหรอ

ลิซ่าเป็นผู้หญิงที่ถูกขนานนามว่า “เจ้าหญิงผมแดง” เพราะหน้าตาและความสามารถ

ในทางกลับกันตัวข้าที่ไม่มีอะไรดีเด่นหน้าตาบ้านๆ

ตลอดช่วงที่ข้าคบกับเธอ เธอมักจะโดนรังควาญอยู่เสมอ บางทีการที่ข้าโดนทิ้งก็เพราะสร้างความยุ่งยากให้เธออยู่เสมอก็ได้

ข้านั้นไร้ซึ่งเพื่อนและกลายเป็นหมาหัวเน่า

ถึงกระนั้นข้าก็พยายามอยากหนักไม่ละเลยสิ่งต่างๆตามหน้าที่ของตน

สักวันหนึ่งถ้าข้าสามารถรักษาคำสาบานที่ให้ไว้ได้ละก็……….ข้าคิดเช่นนั้น

ในขณะเดียวกันนั้นเองเธอก็ไปคบกับเพื่อนสมัยเด็กที่ข้าสนิทด้วยที่สุด

เธอดูมีความสุขราวกับเธอรักเขาจริงๆ

ในการฝึกซ้อมเป็นคู่พวกเธอสองคนเข้าขากันได้ดีมาก ข้าไม่มีที่ยืนเคียงข้าเธอเลย

ชั่วโมงที่สอง ในช่วงบ่าย

「เฮ้ออ!」

ด้านข้างของดาบจำลองนั่นถูกขว้างมาจากเครื่องยิงดาบจำลอง

เมื่อดาบจำลองที่ถูกยิงมาถูกปากลับไปและแทงเข้าไปที่คอของตุ๊กตา กลไกนั่นก็จะหยุดทำงานลง

หลังจากคาบบรรยายนี่ก็เป็นภาคฝึกปฏิบัติ

นอกจากสนามฝึกซ้อมแล้วยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เช่น สนามทดลองเวทมนตร์ในสถาบันแห่งนี้และนักเรียนที่สามารถศึกษาเรียนรู้ความสามารถของตนตามสถานที่ต่างๆ

สนามฝึกถูกแบ่งออกเป็นหลายพื้นที่เพื่อให้นักเรียกจากหลายๆชั้นมาเรียนที่เดียวกันได้

วันนี้เป็นการฝึกการต่อสู้ระหว่างบุคคลและแต่ละคนก็จะได้ต่อสู้กับหุ่นยนต์ที่มีดาบจำลองเป็นคู่ซ้อมทำการต่อสู้แบบอิสระ โดยใส่พลังเวทย์เข้าไปเพื่อให้หุ่นยนต์นั้นทำงาน

อย่างไรก็ตามหุ่นยนต์สำหรับพวกห้อง 10 นั้นมีคุณภาพแย่และเคลื่อนไหวได้แค่บางส่วน

「อืม ต่อไปจะเป็นการต่อสู้เป็นคู่ เลือกคู่หูได้ตามใจชอบ~」

เมื่ออาจารย์อันริ วาร์ อาจารย์ประจำชั้นของพวกห้อง 10 เรียกออกมา หุ่นยนต์ก็หยุดทำงาน ดังนั้นทุกๆคนก็หยุดและรอการจับคู่

อาจารย์อันริมีผมหยักสีน้ำตาล ดวงตาที่ดูสมวัยและใบหน้าที่ออกไปทางดูดีอย่างมาก

อย่างไรก็ตามอาจารย์คนนี้เป็นบุคคลที่ไม่เหมาะกับโรงเรียนแห่งคุณธรรมแห่งนี้เลยเพราะเขาชอบพูดและทำท่าทางแปลกๆราวกับคนบ้า

เรียกได้ว่าคนที่รับผิดชอบนักเรียนห้อง 10 ถูกโยนมาแบบทิ้งขว้างเลยก็ได้

อย่างไรก็ตามการที่เขาสามารถมาเป็นอาจารย์ได้ก็คงมีความสามารถพอตัว

ในที่สุดการจับคู่ก็ถูกตัดสินและแต่ละฝ่ายต่างเริ่มจำลองการต่อสู้กับคู่ต่อสู้ของตัวเอง แต่ว่าคู่ต่อสู้ของข้าดันเป็น……。

「เอ่อ สำหรับแกแล้ว น่าเสียดายหน่อยนะ」

เป็นมาร์นั่นเองที่กรนด่าข้าเมื่อตอนบ่าย

「มาเริ่มกันเลยดีกว่า เพราะว่าเศษสวะอย่างแกจะทำให้ชั้นเสียเวลา」

มาร์ดึงดาบใหญ่ออกมาจากด้านหลัง

มาร์เป็นผู้ชายที่ตรงไปตรงมา ความสามารถของเขานั่นของจริง ถึงอย่างนั้นก็ยังได้มาอยู่ในห้องห้อง 10 เช่นนี้เพราะชื่อเสียงแย่ๆนั่นละ

ผมเองก็ดึงดาบจำลองออกมาด้วยเช่นกัน

อาวุธของข้าเป็นดาบที่มาจากทางเกาะตะวันออก เรียกกันว่าคาตานะ เป็นดาบที่มีความคมเป็นอย่างมาก กล่าวได้ว่ามันสามารถตัดทุกอย่าไงได้หากใช้ได้อย่างชำนาญ

ยังไงก็ตาม มันใช้เทคนิตชั้นสูงและความหายากของมันเลยไม่ค่อยเป็นที่แพร่หลายนัก

มันเป็นอาวุธที่เหมาะกับข้าที่สุด สำหรับข้าที่ไร้ซึ่งพลัง

「ถ้าอย่างงั้นละก็ เริ่มได้~~~」

การต่อสู้นั่นเต็มไปด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยจากท่าทางของอาจารย์อันริ

「โฮ่ย่าาาาาาาาาาาห์」

มาร์เหวี่ยงดาบใหญ่พร้อมตะโกนก้อง

ผมป้องกันการโจมตีด้วยคาตานะ

ดาบของมาร์ถูกเบี่ยงวิธีและมันก็ฟาดลงทีพื้น

「ฮ่าๆ!」

ก้าวเข้าไปหลังจากมาร์เปิดช่องว่างเล็งไปที่ต้นคอและพยายามจะเอาสันดาบทุบ

「สายไปละโว้ย!」

มาร์เอาถุงมือที่แขนปกป้องดาบของผมไว้ ดาบเลียนแบบที่ไม่มีความคมของดาบดั้งเดิมเหลืออยู่ก็ถูกป้องกันด้วยถุงมือนั่น

มาร์รุดหน้าเข้ามาพร้อมกับยกถุงมือขึ้นป้องกันการโจมตี แต่ข้าก็ก้มลงเพื่อหลบการโจมตี

ข้าพยายามจะโจมตีไปอีกรอบ แต่มาร์นั้นเหวี่ยงดาบใหญ่มาด้วยมือข้างเดียว

ข้าถูกบังคับให้ถอยและกลับไปตั้งหลักใหม่

มาร์ที่ฟาดดาบใหญ่จนพื้นแตกกระจายพยายามมองระหว่างข้าและดาบใหญ่ของมันเอง……。

「อยากโดนหั่นเป็นชิ้นๆเหรอไงวะ」

มาร์พูดเช่นนั้นพร้อมกับรังสีกดดันที่เพิ่มมากขึ้น

“คิ”

เป็นสกิลของทางฝั่งตะวันออกที่จะเพิ่มพลังให้แก่ผู้ใช้งานให้เหนือขีดจำกัดยิ่งขึ้นไป

มาร์พุ่งเข้ามาในคราวเดียว ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมาก

นั่นละคือผลลัพธ์จากการใช้ คิ

ราวกับจะจับเหยื่อตรงหน้าฟาดดาบใหญ่นั่นลงมาในทีเดียว

ข้าเองก็ใช้ “คิ”เช่นกันเพื่อหลบการโจมตีของดาบใหญ่นั่น เสียงของเหล็กดังกระทบกันสนั่นหู

「เหอะ!ลังเลอยู่งั้นเหรอ」

มาร์ที่รู้สึกหงุดหงิดนั่นดูมีท่าทีลังเลจึงไม่สามารถจะตัดสินใจจบการโจมตีในทีเดียวได้

เขาดึงดาบใหญ่ที่จมลงไปบนพื้นและเริ่มที่จะฟันมันมาอีกครั้ง

เขาฟาดฟันดาบใหญ่ไปรอบๆด้วยเรี่ยวแรงอันมหาศาลจาก “คิ”

เสียงของเหล็กปะทะกันดังสนั่นไปทั่วบ่งบอกถึงการต่อสู้อันดุเดือด แต่ว่ามีฝ่ายเดียวที่ได้เปรียบ

การเสริมพลังกายของมาร์มีพละกำลังมากกว่าข้า แต่ผลของการเสริมพลังกายของข้าเองก็ได้ผลเพียงครึ่งเดียวด้วยความสามารถของข้า

มาร์มันเป็นคนเก่งแต่เพราะทำแต่เรื่องแย่ๆเลยได้มาอยู่ในห้อง 10

ในทางตรงกันข้ามแม้หมอนั่นจะมีความสามารถสูง แต่มาร์มันกลับพอใจที่จะกดขี่คนที่ต่ำกว่านั่นมันโครตจะแย่

เทคนิคดาบชั้นสูงของมาร์ไม่สามารถใช้จัดการกับโนโซมุตามปกติได้ แต่ว่าพลังกายของโนโซมุที่ได้รับการเสริมแบบครึ่งๆกลางๆมันก็พอเป็นไปได้

พลังที่ได้มานั่นทำให้พอฟัดพอเหวี่ยงกับดาบของโจรสลัดเท่านั้นเอง

「แหลกไปซะเหอะมึง!!」

บางทีอาจจะเป็นเพราะข้าโดนกดดันจนถูกบดขยี้ในพริบตา แต่ว่าข้าก็กันการโจมตีนั่นได้ยิ่งทำให้มาร์มันหงุดหงิดจนพละกำลังมันเพิ่มมากขึ้นไปอีก

「เหอะ คิดว่าจะบดขยี้ข้าได้ง่ายๆงั้นเหรอ!」

ข้ากัดฟันแน่นเพื่อที่จะไม่เดินไปตามเกมส์ของศัตรู

แม้ว่าพลังในการโจมตีจะเพิ่มขึ้น แต่การโจมตีของมันก็ซ้ำซากและจำเจ ทำให้รับมือได้ไม่ยากเย็น

อย่างไรก็ตามข้าไม่สามารถสวนกลับได้ทำได้เพียงแค่ยื้อเท่านั้น

และถ้าโต้กลับไม่ได้ผลมันก็รู้ๆกันอยู่

ในที่สุดก็มาถึงขีดจำกัด

ข้าไม่สามารถรับการโจมตีของมาร์ได้อีกต่อไป การป้องกันของข้าถูกทำลายลงและไม่มีเวลามาตั้งท่าใหม่ ตอนนั้นเองทีข้าถูกดาบใหญ่นั่นฟาดเข้ามากระแทกกับคาตานะของข้าจนกระเด็น

「จะเหนียวได้สักแค่ไหนกันเชียววะ!」

รูปร่างของข้าบิดเบี้ยวเพราะการโจมตีนั่น ข้าตัวกระเด็นจนตัวไปกระแทกกับกำแพงของสนามฝึกซ้อม

ผลกระทบนั่นทำให้ข้าหายใจติดขัดและการมองเห็นของข้าก็มืดดับลง

「เป็นแค่เศษสวะแท้ๆ แต่ยังกล้าขัดขืน โดนดีไปซะเหอะมึง」

ข้าหมดสติไปพรัอมกับคำพูดของมาร์

「โอ้ยยยย เจ็บแหะ!」

ข้าลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับสติที่พร่ามัวลุกขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดไปทั้งตัว

ข้าก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงในห้องพยาบาล

「เอ้าๆ รู้สึกตัวแล้วไม่ใช่เหรอไงเนี่ย?」

ผู้หญิงสวมชุดโค้ทสีขาวพร้อมกับใส่แว่นนั่นกำลังทำงานอยู่บนโต๊ะพยาบาล

ชื่อของเธอคือนอร์น อัลทิน่า เป็นหมอประจำโรงเรียนที่สวยเอามากๆ

เธอเดินมาทางนี้และขยับนิ้วมาตรงหน้าผมเพื่อตรวจสอบสภาพร่างกาย

「อืมม ดูจากสภาพแล้วสติยังคงดีอยู่ แล้วรู้สึกปวดตรงไหนบ้างรึเปล่า?」

「ข้าปวดหลังนิดหน่อยและหัวเองก็ยังคงมึนๆ แต่ว่าไม่มีตรงไหนผิดปกติแล้วล่ะ」

「อืมมเข้าใจแล้ว ฉันทายาไปที่หลังของนายแล้วล่ะ แต่ถ้ารู้สึกเจ็บหรือปวดตรงไหนก็มาได้ตลอดเวลานะ มันจะดีกว่านะที่มาหาฉันมากกว่าที่จะทนเจ็บกับบาดแผลนั่น」


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท